xs
xsm
sm
md
lg

เขมรถอยไม่สร้างตลาดชายแดนพระวิหารแถมอพยพออก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

<br><FONT color=#cc00> ภาพแฟ้มเอเอฟพีวันที่ 4 เม.ย.2552 หรือเพียง 1 วันหลังการปะทะรอบใหม่ที่ชายแดนด้านภูมะเขือ ทหารกัมพูชาเดินสำรวจดูสภาพทั่วไปของอาณาบริเวณที่ก่อนหน้านั้นเป็นแหล่งค้าขายของราษฎรราว 300 ครอบครัว ตลาดชายแดนใกล้ทางขึ้นปราสาทพระวิหารแห่งนี้ถูกยิงทำลายราบ ทางการ จ.พระวิหารบอกว่ากำลังจะอพยพราษฎรในรัศมี 20 กม.ออกไปจากเขตมรดกโลก ไม่มีการสร้างตลาดขึ้นใหม่อีกแล้ว  </FONT></br>

ASTVผู้จัดการออนไลน์ -- ทางการกัมพูชาจะไม่สร้างตลาดค้าขายชายแดนที่ถูกยิงทำลายในช่วงที่เกิดการปะทะระหว่างทหารกัมพูชากับทหารไทยต้นเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา แต่ประกาศใหม่ว่ากำลังจะอพยพราษฎรราว 700 ครอบครัว ออกจากอาณาบริเวณใกล้กับปราสาทพระวิหารทั้งหมด หลังจากที่นั่นกลายเป็นแหล่งมรดกโลก

สถานีวิทยุเสียงอเมริกาภาคภาษาเขมร รายงานเรื่องนี้บนเว็บไซต์ โดยอ้างคำพูดของนายปราบทัน (Preap Tann) ผู้ว่าราชการจังหวัดพระวิหาร ซึ่งขัดแย้งกับคำให้สัมภาษณ์ของนายเขียว กัญฤทธิ์ (Khieu Kanharith) รัฐมนตรีกระทรวงแถลงข่าว สัปดาห์ที่แล้วที่ระบุว่า รัฐบาลมีแผนจะสร้างตลาดค้าขายชายแดนแห่งนั้นขึ้นมาใหม่

ทางการกัมพูชา กล่าวหาว่า ทหารไทยยิงปืนครกถล่มตลาดชายแดนที่ตั้งอยู่ใกล้กับทางขึ้นปราสาทพระวิหารทางฝั่งไทย หลังจากทหารได้อพยพราษฎรราว 300 ครอบครัวออกไปจากที่นั่นราว 1 ชั่วโมงก่อนหน้านั้น ทำให้ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ

“เราไม่จะไม่อนุญาตให้ราษฎรอาศัยยอยู่ในอาณาบริเวณอนุรักษ์ปราสาทพระวิหารขององค์การยูเนสโก เพื่อพิทักษ์แหล่งมรดกโลก และสภาพแวดล้อมธรรมชาติรอบๆ แหล่งดังกล่าว” วิทยุเสียงอเมริกา (Voice of America) กล่าว
<br><FONT color=#cc00>อีกมุมหนึ่งของตลาดค้าขายชายแดนที่ถูกยิงทำลายลงโดยไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ที่นี่กำลังจะเป็นอดีตไปชั่วนิรันดร์ เพราะอยู่ในรัศมี 20 กม.เขตคุ้มครองมรดกโลก แต่ที่นี่อยู่ในเขตแดนพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชาและยังไม่มีคำอธิบายว่ายูเนสโกจะจัดการพื้นที่นี้อย่างไร หลังจากรับขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารไปแล้ว </FONT></br>
ราษฎรชาวเขมรได้ทยอยข้ามภูเขาเข้าไปตั้งหลักแหล่งค้าขายที่บริเวณดังกล่าวตั้งแต่หลายปีก่อน จำนวนได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นชุมชนขนาดใหญ่ กลายเป็นตลาดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคและของที่ระลึกให้แก่นักท่องเที่ยว รวมทั้งชาวเขมรเอง

อาณาบริเวณดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของเขตแดนพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชา ตลอดเวลาเกือบ 50 ปี ที่ผ่านมา

เจ้าหน้าที่กัมพูชา กล่าวก่อนหน้านี้ ว่า ราษฎร 300 ครอบครัวที่เคยอาศัยทำกินอยู่บริเวณตลาดชายแดน ถูกโยกย้ายไปตั้งถิ่นฐานในที่แห่งใหม่ห่างออกไปราว 20 กิโลเมตร ในท้องที่ อ.จอมกะสาน จ.พระวิหาร
<br><FONT color=#cc00> ภาพเอเอฟพีวันที่ 4 เม.ย.2552 ทหารเขมรกับทหารไทย อาวุธครบมือ พบปะพูดคุยกันได้ตามปกติที่บริเวณทางขึ้นไปยังวัดแห่งหนึ่งใกล้ปราสาทพระวิหาร ก่อนหน้านั้นเพียงวันเดียวห่างจากที่นี่ออกไปทางทิศตะวันตกราว 1 กม.เศษ มีการปะทะดุดเดือดทหารไทยเสียชีวิตไป 2 คน  </FONT></br>
<br><FONT color=#cc00> ภาพเอเอฟพีวันที่ 4 เม.ย.2552 ทหารเขมรกับ ทหารชุดดำ ของไทยกลุ่มนี้ไม่ติดอาวุธ ปะปนกันอยู่ในบริเวณพื้นที่พิพาท ใกล้ปราสาทพระวิหาร </FONT></br>
ผวจ.จังหวัดพระวิหาร กล่าวว่า ยังมีอีกราว 400 ครอบครัวที่ตั้งหลักแหล่งเป็นชุมชนอยู่บริเวณเชิงเขา ใต้หน้าผาเป้ยตาดี (จากองค์ปราสาท) ก็จะต้องถูกอพยพโยกย้ายออกไปเอยู่บริเวณที่เรียกว่า สะโรส-กดอล (Sros Kdol) ในเขต อ.จอมกะสาน เช่นเดียวกัน

นายปราบ กล่าวอีกว่า ตามกฎของคณะกรรมการมรดกโลกนั้นจะต้องไม่มีราษฎรอาศัยอยู่อาณาบริเวณรัศมี 20 กม.รอบๆ องค์ปราสาท เรื่องนี้เป็นไปตามพระราชกฤษฎีกาฉบับหนึ่งซึ่งสถาปนา "เขตคุ้มครอง" ขึ้นมา ครอบคลุมบริเวณรอบปราสาท ภูเขาและอาณาบริเวณโดยรอบ

แต่ยังไม่มีคำอธิบายว่าการดำเนินการของฝ่ายกัมพูชาจะส่งผลอย่างไรต่อ “เขตแดนพิพาท” รอบๆ ปราสาทพระวิหารเนื้อที่กว่า 4 ตร.กม.ซึ่งทั้งไทยและกัมพูชาต่างส่งทหารเข้าประจำการมาเกือบ 1 ปี ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจำนวนจะไม่มากเหมือนช่วงปลายปีที่แล้วก็ตาม
<br><FONT color=#cc00> ภาพเอเอฟพีวันที่ 5 เม.ย.2552 ทหารไทยเข้าไปยังบริเวณวัดแห่งหนึ่งบนทางขึ้นปราสาทพระวิหาร วัดนี้ตั้งอยู่ในพื้นที่พิพาทเช่นเดียวกัน นายทหารระดับผู้บังคับบัญชาของสองฝ่ายนัดพบเจรจรากันที่นั่น เพื่อหาทางเลี่ยงการปะทะ </FONT></br>
ศาลระหว่างประเทศกรุงเฮก ได้พิจารณากรณีพิพาทไทย-กัมพูชา ว่า ด้วยปราสาทพระวิหาร และมีคำพิพากษาในปี 2505 ยกปราสาทเก่าแก่ซึ่งขณะนี้อายุประมาณ 900 ปีให้แก่ฝ่ายกัมพูชา เมื่อครั้งที่สมัยสมเด็จพระนโรดมสีหนุ เป็นนายกรัฐมนตรี

เพียงข้ามเดือนต่อมารัฐบาลไทยสมัย จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ทักท้วง รักษาสิทธิ์ความเป็นเจ้าของพื้นที่รอบๆ องค์ปราสาท เนื่องจากอยู่ในเขตสันปันน้ำของไทย

วีโอเอภาคภาษาเขมร กล่าวว่า กัมพูชากับไทยระหองระแหงกันมาตลอดเกี่ยวกับ “ดินแดนพิพาท” ดังกล่าว โดยถือแผนที่กันคนละฉบับอ้างเส้นเขตแดนกันคนละเส้น การเผชิญหน้าเริ่มมาตั้งแต่เดือน ก.ค.2551 เมื่อกัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่ฝ่ายเดียว
<br><FONT color=#cc00> ภาพเอเอฟพีวันที่ 5 เม.ย.2552 ห่างออกไปจากปราสาทพระวิหาร 1 กม.เศษๆ ทางทิศตะวันตก ทหารกัมพูชายังคงตั้งอยู่ในที่มั่น ลานอินทรี ชายแดนด้านภูมะเขือ จุดที่เกิดการปะทะครั้งล่าสุด 2 วันก่อนหน้านั้น </FONT></br>
การเผชิญหน้าได้กลายเป็นความตึงเครียด สองฝ่ายปะทะกันครั้งแรกวันที่ 15 ต.ค.2551 ในบริเวณที่เรียกว่า “ลานอินทรี” ห่างจากปราสาทออกไปทางตะวันตก 1 กม.เศษๆ ทหารกัมพูชาเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 2 คน อีก 1 คน เสียชีวิตเวลาต่อมา ฝ่ายไทยได้รับบาดเจ็บประมาณ 10 คน มี 1 อาการสาหัสเสียชีวิตที่โรงพยาบาลเวลาต่อมา

การปะทะครั้งล่าสุดเกิดขึ้นที่จุดเดิม ทหารไทยเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 2 นาย ฝ่ายกัมพูชาไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ ฝ่ายทหารของไทยกล่าวว่า ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจาก “ความเข้าใจผิด”

ผู้บัญชาการทหารระดับภาคของสองฝ่ายได้พบเจรจาในเวลาต่อมาที่บริเวณวัดใกล้ปราสาทพระวิหาร และ ยืนยันนโยบายที่จะลดการเผชิญหน้า

รัฐมนตรีกลาโหมไทย พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ กับ รมว.กลาโหมกัมพูชา พล.อ.เตียบัญ (Tea Banh) ได้พบเจรจาจากันในเสียมราฐ ระหว่างวันที่ 28-29 เม.ย.ที่ผ่านมา แต่ไม่มีความตกลงอะไรใหม่ๆ ออกมา
กำลังโหลดความคิดเห็น