ASTVผู้จัดการออนไลน์ -- กลุ่มที่อ้างตัวเองเป็นราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการปะทะกันครั้งล่าสุดที่ชายแดนด้านปราสาทพระวิหาร ได้ยื่นหนังสือต่อสถานเอกอัครราชทูตไทย ในกรุงพนมเปญ เรียกร้องค่าเสียหายเป็นเงิน 9 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 315 ล้านบาท สำหรับสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า “ทหารไทยได้ยิงปืนใหญ่ถล่ม” ตลาดค้าขายที่บริเวณทางขึ้นสู่ปราสาทพระวิหาร ที่อยู่ในเขตแดนพิพาททางฝั่งไทยจนพินาศย่อยยับ
นายเมืองสน (Moeung Son) ประธานมูลนิธิอารยธรรมเขมร (Khmer Civilization Foundation) เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวในกรุงพนมเปญ ว่า ตัวเขาเองได้เป็นตัวแทนยื่นหนังสือต่อสถานทูตไทย ตั้งแต่วันที่ 23 เม.ย.ที่ผ่านมา เรียกร้องเงินค่าเสียหายให้แก่ชาวเขมรจำนวน 261 ครอบครัวที่บ้านเรือนได้รับความเสียหาย จากสิ่งที่เขากล่าวว่า เกิดจากการยิงปืนใหญ่ของทหารไทยเมื่อวันที่ 3 เม.ย.ที่เกิดการปะทะ
“ถ้าหากฝ่ายไทยยอมชดใช้ รัฐบาลก็จะไม่ต้องเสียงบประมาณเพื่อช่วยเหลือผู้ตกเป็นเหยื่อเหล่านี้ นี่เป็นประเด็นแรก..” นายสน กล่าว
“และประเด็นที่สอง สิ่งที่เราอยากจะเห็น ก็คือ ศักดิ์ศรีของเราและความน่าเชื่อถือของรัฐบาลไทย ในการเคารพต่ออธิปไตยและสิทธิมนุษยชนในประเทศเพื่อนบ้าน” เจ้าหน้าที่คนเดียวกันกล่าว
ส่วน นายฟายสีฟาน (Phay Siphan) โฆษกสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลก็กำลังรวบรวมเอกสารต่างๆ เพื่อประเมินค่าความเสียหายต่อทรัพย์สินของราษฎร จากน้ำมือของทหารฝ่ายไทย
ฝ่ายทหารกัมพูชา กล่าวหาก่อนหน้านี้ ว่า ในวันที่เกิดการปะทะ ทหารไทยได้ยิงปืนครกนับร้อยลูกเข้าใส่บริเวณตลาดค้าขายชายแดนที่ตั้งอยู่ใกล้กับทางขึ้นไปยังปราสาทพระวิหาร จากฝั่งไทย แต่โชคดีที่มีการอพยพราษฎรออกจากพื้นที่ดังกล่าวประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านั้น จึงไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ
อาณาบริเวณดังกล่าวอยู่ในพื้นที่พิพาทที่ถูกปล่อยปละละเลยมาเป็นเวลานาน ราษฎรชาวเขมรได้ข้ามภูเขาเข้าไปตั้งหลักแหล่ง ปลูกเพิงพักและกระต๊อบเป็นที่อยู่อาศัย ปักหลักค้าขายที่นั่น และ จะอพยพออกไปจากพื้นที่ทุกครั้งที่เกิดความตึงเครียดตามแนวชายแดนด้านนั้น
ฝ่ายกัมพูชา ยังกล่าวหาอีกว่า ในเหตุการณ์ปะทะครั้งล่าสุด ทหารไทยยังได้ยิงปืนหลากชนิดเข้าใส่ปราสาทพระวิหาร ทำให้เกิดความเสียหายจำนวนหนึ่งด้วย แต่ยังไม่มีการแถลงตอบโต้เรื่องนี้จากฝ่ายทหารของไทย