ASTVผู้จัดการออนไลน์ -- ทางการเวียดนามแสดงความห่วงใยต่อหนุ่มสาวคนทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองใหญ่ต่างๆ ที่หันไปใช้สวนสาธารณะเป็นสถานที่พลอดรักกันมากขึ้น ภาพคู่รักกอดจูบกันดูดดื่มมีความสุข แต่สร้างความปวดร้าวแก่พ่อแม่ผู้ปกครองกระทั่งผู้พบเห็นทั่วไป
และเจ้าหน้าที่กล่าวว่าหลายกรณีได้เลยเถิดยิ่งกว่านั้น
การพลอดรักตามสถานที่สาธารณะของคนหนุ่มคนสาว พบเห็นได้ทั่วไปในกรุงฮานอย และนครโฮจิมินห์ ในยุคที่วัฒนธรรมตะวันตกหลั่งไหลเข้าสู่ประเทศคอมมิวนิสต์แห่งนี้อย่างเชี่ยวกราก หญิงสาวในยุคใหม่กล้าที่จะเปิดเผยความในต่างๆ มากยิ่งขึ้น หลังจากที่เคยปิดบังซ่อนเร้นมานานนับศตวรรษ
ถึงแม้จะปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ แต่สังคมเวียดนามโดยรวมยังเป็นสังคมวิถีพุทธ ครอบครัวต่างๆ ยังยึดมั่นใจจารีตนิยมดั้งเดิม พ่อแม่ผู้ปกครองสั่งสอนให้ลูกสาวรักนวลสงวนตัว รักษาพรหมจรรย์จนถึงวันส่งตัวเข้าห้องหอหลังพิธีสมรส
แต่สังคมเริ่มเปลี่ยนไปพร้อมๆ กับการพัฒนาเศรษฐกิจทุนนิยมกับการลงทุนของต่าง ชาติที่หลั่งไหลเข้าไปพร้อมกับวัฒนธรรมที่แปลกปลอม
ทางการคอมมิวนิสต์ไม่ได้แสดงความกังวลมากนักต่อพฤติกรรมของหนุ่มสาววัยเจริญพันธุ์ที่เริ่มเปลี่ยนไปจากวิถีดั้งเดิม จนกระทั่งเมื่อเร็วๆ นี้..
ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้ว สื่อต่างๆ ได้ออกรณรงค์อย่างกว้างขวาง เตือนให้ชายหนุ่มหญิงสาวตระหนักถึงค่านิยมและวัฒนธรรมอันดีงามที่บรรพบุรุษสั่งสมมา ให้รู้จักอดทนและอดกลั้น รักษาสุขภาพ มีเพศสัมพันธ์เมื่อถึงวัยและเวลาอันควร
เจ้าหน้าที่ฝ่ายอนามัยกรุงฮานอย กล่าวว่า ถึงแม้การพลอดรักตามสวนสาธารณะจะพบเห็นจนกลายเป็นสิ่งธรรมดาก็ตาม แต่หลายกรณีจากการพลอดรักได้ลุกลามไปเป็นการร่วมรัก หลายกรณีเป็นเพศสัมพันธ์ที่ไม่มีการป้องกัน เสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคร้ายแรงทางเพศต่างๆ
นักจิตวิทยาสังคม ยังคงกล่าวโทษระบบการศึกษาของประเทศ ที่ยังไม่มีการบรรจุวิชาเพศศึกษาเข้าในหลักสูตรและการเรียนการสอน เพื่อให้เยาวชนได้เรียนรู้สิ่งที่ถูกและควร และสอนวิถีแห่งการดำรงตนกับเพื่อนต่างเพศในวัยเจริญพันธุ์
แต่นักวิชาการก็ถกเถียงกันมานานว่า วิชาเพศศึกษาอาจจะเป็นดาบสองคม
ผู้เชี่ยวชาญอีกจำนวนหนึ่ง กล่าวว่า ระบบครอบครัวแบบจารีตที่เคยอบอุ่นกำลังล่มสลายในสังคมทุนนิยม จากที่เคยอยู่กับพร้อมหน้ากันในครอบครัวใหญ่ ตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายายจนถึงรุ่นหลานเหลน ปัจจุบันครอบครัวชาวเวียดนามเริ่มเล็กลงเรื่อย ลูกๆ แยกออกไปอาศัยในที่อื่นเพื่อทำงานอาชีพ
ความห่างเหินได้ทำให้พ่อแม่ผู้อาวุโสโอกาสน้อยลงที่จะอบรมสั่งสอนลูกหลาน ผู้เชี่ยวชาญกล่าว
ในนครโฮจิมินห์คู่รักจำนวนมาก ยึดสวนหย่อมอนุสรณ์สถานประธานโฮจิมินห์ ที่บริเวณหน้าสำนักงานคณะกรรมการประชาชนเป็นแหล่งพลอดรักในยามพลบค่ำ จำนวนมากกว่านั้นยึดสวนหย่อมริมแม่น้ำไซ่ง่อน กับสาธารณะใหญ่ในเขตต่างๆ เป็นพื้นที่ที่จะได้อยู่ใกล้ชิดกัน
ส่วนในเมืองหลวง สถานที่ที่หนุ่มสาวใช้เป็นหัวหาดพลอดรักก็ยังเป็นสวนสาธารณะรอบๆ บึงฮว่านเกี๊ยม (Hoan Kiem) ในย่านตัวเมืองเก่า สวนหย่อมรอบๆ ทะเลสาบโห่ไต (Ho Tay) หรือสวนสาธารณะริมแม่น้ำแดง
อีกจำนวนหนึ่งปักหลักที่สวนสาธารณะอินทิรา คานธี กระทั่งสวนสาธารณะเลนิน ที่เคยมีความความขลัง
หนุ่มสาวกลุ่มใหญ่จะไปปรากฏตัวตามสถานที่ต่างๆ เหล่านี้ในเวลาบ่อยคล้อยหลังเลิกงานจนถึงยามเย็น โดยยึดเก้าอี้นั่ง ใต้ต้นไม้ หรือกระทั่งข้างๆ พุ่มไม้เป็นหัวหาด
แต่อีกกลุ่มหนึ่งจะไปจับจองสถานที่ในยามค่ำคืนและอยู่กันจนดึกดื่น เจ้าหน้าที่ของทางการกล่าวว่ากลุ่มหลังนี้มีปัญหา
อย่างไรก็ตาม ทางการกรุงฮานอยยังไม่มีนโยบายขับไล่หนุ่มสาวคู่รักออกจากสวนสาธารณะ เพียงแต่ในปัจจุบันได้เปิดไฟสว่างขึ้น ป้องกันการทำอนาจารและอาชญากรรมไปพร้อมๆ กันทั้งนี้ เป็นรายงานของสำนักข่าวเวียดนามเอ็กซ์เพรส