พนมเปญ (เอเอฟพี/รอยเตอร์) - สมเด็จฯ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา กล่าวเตือนอย่างแข็งกร้าวในวันจันทร์ (13 ต.ค.) ให้ไทยต้องถอนทหารจากเขตพิพาทชายแดนในทันที หรือไม่ก็จะต้องเสี่ยงต่อ “การต่อสู้ด้วยอาวุธในระดับใหญ่โต” หลังจากสองฝ่ายไม่สามารถบรรลุข้อตกลงใดๆ ได้
สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโชฮุนเซน กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่าได้เตือนรัฐมนตรีต่างประเทศไทย นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ว่าถ้าหากไม่มีการถอนทหารออกไปอย่างรวดเร็วทหารไทยก็อาจจะต้องเผชิญหน้ากับ “ไฟแห่งปรปักษ์” เมื่อความตึงเครียดการเผชิญหน้าที่ดำเนินมายาวนานแพร่ขยายออกไป
“ถ้าหากพวกเขาไม่สามารถถอนได้ในคืนนี้ พรุ่งนี้พวกเขาจะต้องถอนออกไป” สำนักข่าวเอเอฟพีอ้างคำกล่าวของสมเด็จฯ ฮุนเซน
“เราได้พยายามอดทน แต่ผมได้บอกรัฐมนตรีต่างประเทศไทยในวันนี้ว่า พื้นที่นั้นเป็นเขตแดนแห่งความเป็นความตาย” ผู้นำกัมพูชากล่าว
ส่วนสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานโดยอ้างคำกล่าวของสมเด็จฯ ฮุนเซนว่า “ทหารไทยต้องถอนออกไปจากดินแดนกัมพูชาภายในวันพรุ่งนี้ (วันอังคาร)” และ “เราจะไม่อนุญาตให้พวกเขายึดครองดินแดนของเรา”
ผู้นำกัมพูชา กล่าวว่า ทหารไทย 84 นายยังคงลาดตระเวนลึกเข้าในดินแดนกัมพูชา ห่างจากที่ตั้งของทหารกัมพูชาเพียงประมาณ 30 เมตร
นายกรัฐมนตรีกัมพูชาให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวในกรุงพนมเปญหลังจากรัฐมนตรีต่างประเทศของไทยได้เข้าเยี่ยมคำนับเพื่อหารือข้อราชการ ซึ่งก่อนหน้านั้นนายสมพงษ์ยังได้พบเจรจากับนายฮอร์นัมฮอง (Hor Nam Hong) รัฐมนตรีต่างประเทศในความพยายามแก้ไขปัญหาพิพาทพรมแดนใกล้ปราสาทพระวิหาร
“ผมได้บอกกับผู้ร่วมตำแหน่งฝ่ายไทยว่า การส่งทหารจำนวนมากเข้าแนวชายแดนนั้นอันตราย พวกเขาสามารถก่อให้เกิดการปะทะด้วยอาวุธ”
“การยิงปืนแค่เพียงนัดเดียวก็สามารถทำให้เกิดการต่อสู้ด้วยอาวุธในระดับใหญ่โตได้” นายฮอร์นัมฮองกล่าว
รมว.ต่างประเทศกัมพูชา กล่าวอีกว่า การเจรจาในวันจันทร์กับฝ่ายไทยไม่สามารถมีความตกลงใดๆ เนื่องจากว่า รมว.ต่างประเทศของไทย “ไม่สามารถเซ็นอะไรได้”
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายทหารของไทยได้ปฏิเสธการกล่าวหาว่าล้ำแดนกัมพูชาใกล้กับปราสาทพระวิหาร
พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบกไทยก ล่าวกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า จะเป็นการรุกรานได้อย่างไร ในเมื่อพื้นที่ดังกล่าวเป็นดินแดนพิพาทที่ทั้งสองฝ่ายต่างกล่าวอ้างสิทธิ
พล.อ.เนียงฟัต (Neang Phat) ปลัดกระทรวงกลาโหมกัมพูชายอมรับว่า ได้มีการเสริมทหารเข้าพื้นที่ชายแดนจริง เพื่อตอบโต้ฝ่ายไทยแต่ปฏิเสธที่เปิดเผยจำนวน
พล.ต.เสรย์แด๊ก (Srey Dek) ผู้บัญชาการทหารในพื้นด้านปราสาทพระวิหาร กล่าวในวันเดียวกันว่า ขณะนี้ทหารไทยได้เข้าไปในอาณาบริเวณพิพาท และกำลังเผชิญหน้ากับฝ่ายกัมพูชา
แต่ พล.ต.กนก เนตระกะเวสนะ ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารีของไทยที่ประจำในพื้นที่กล่าวว่า ทหารไทยเพียงแต่ลาดตระเวน และสำทับว่า “ทหารไทยต้องรับผิดชอบพื้นที่ พวกเราอยู่ในที่ของพวกเรา”
ความตึงเครียดระหว่างสองประเทศที่มีชายแดนติดกันนี้เริ่มขึ้นในเดือน ก.ค. หลังจากองค์การยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ขณะที่ฝ่ายไทยยังคงยืนยันในสิทธิ์เหนือดินแดนเนื้อที่ราว 4.5 ตารางกิโลเมตรรอบๆ ปราสาท
กัมพูชาได้ตกลงถอนทหารกว่า 1,000 คนที่เผชิญหน้ากับทหารไทยราว 500 นาย ออกจากพื้นที่ สองฝ่ายตกลงลดจำนวนลงให้เหลือเพียงประมาณฝ่ายละ 50 คนเท่านั้น
อย่างไรก็ตามความขัดแย้งได้แพร่ลามออกไปยังพื้นที่แนวชายแดนทั้งทางตะวันตกและตะวันออกของปราสาทพระวิหาร เนื่องจากการแบ่งเขตแดนยังไม่มีความชัดเจน
วันที่ 3 ต.ค.ที่ผ่านมา ทหารไทยกับทหารกัมพูชาได้ปะทะกันด้วยอาวุธเป็นครั้งแรกที่ชายแดนด้านภูมะเขือ ห่างจากปราสาทพระวิหารไปทางตะวันออกราว 2 กม. ในท้องที่ จ.ศรีสะเกษ เช่นเดียววัน มีทหารไทย 2 นาย กับทหารฝ่ายกัมพูชา 1 นายได้รับบาดเจ็บ
ทหารไทยกับทหารกัมพูชายังคงเผชิญหน้ากันที่ชายแดนด้านปราสาทตาเมือน กับปราสาทตาควาย ที่อยู่ห่างออกไปทางตะวันตกในพื้นที่ จ.สุรินทร์
สัปดาห์ที่แล้วนายทหารกัมพูชาในพื้นที่ได้ให้สัมภาษณ์วิทยุเสียงอเมริกา กล่าวหาว่า ทหารไทยจำนวน 20 นายได้ข้ามพรมแดนลึกเข้าไปราว 1.5 กม. และต่อมาฝ่ายกัมพูชา ได้ส่งตัวกลับไปยังที่ตั้งด้านปราสาทตาเมือน