ผู้จัดการออนไลน์ -- คณะรัฐบาลพม่าได้เปิดการประมูลซื้อขายอัญมณีอีกครั้งหนึ่งเมื่อวันอังคาร (24 มิ.ย.) ในกรุงย่างกุ้ง โดยงานจะจัดขึ้นเป็นระยะเวลาทั้งสิ้น 11 วัน ขณะที่ประเทศยังคงตกอยู่ในภาวะที่ยากลำบากหลังจากที่ถูกไซโคลนพัดถล่มเมื่อเดือนที่ผ่านมา สื่อของรัฐกล่าว
หลังสือพิมพ์นิวไลท์ออฟเมียนมาร์ ได้ประกาศว่า การขายอัญมณี หยกและไข่มุกจะมีไปจนถึงวันที่ 4 ก.ค.ในกรุงย่างกุ้ง ซึ่งเป็นเสมือนศูนย์รวมทางเศรษฐกิจของประเทศ แม้จะยังคงมีภาพอาคารต่างๆ ที่ได้รับความเสียหายจากพายุนาร์กิสพัดถล่มเมื่อต้นเดือน พ.ค.ปรากฏให้เห็นอยู่ก็ตาม
คณะรัฐบาลทหารยังคงไม่ให้รายละเอียดใดๆ เกี่ยวกับการเปิดประมูลจำหน่ายอัญมณีครั้งนี้ แต่เจ้าหน้าที่คนหนึ่งของศูนย์ประชุมแห่งชาติพม่า (Myanmar Convention Centre) ได้ยืนยันว่ามีการเปิดประมูลดังกล่าวในเช้าวันอังคารนี้ โดยมีผู้เข้าร่วมประมูลทั้งจากในและนอกประเทศ
ก่อนหน้านี้ ในเดือน มี.ค.พม่าได้เปิดประมูลอัญมณีทั้งสิ้นกว่า 7,700 ชิ้น ซึ่งสามารถสร้างรายได้ให้แก่ประเทศคิดเป็นจำนวนเงินกว่า 153 ล้านดอลลาร์
แม้พม่าจะเป็นหนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุดของโลก แต่ก็เป็นเป็นแหล่งอัญมณีชั้นเลิศที่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติเช่นเดียวกัน โดยการเปิดประมูลแต่ละครั้งก็ได้สร้างรายได้ให้แก่ประเทศไม่ต่ำกว่า 100 ล้านดอลลาร์ และการขายอัญมณีนี้ก็เป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของคณะปกครองทหารพม่าด้วย
รัฐบาลทหารพม่า คาดการณ์ว่า จะต้องใช้เงินกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อนำไปฟื้นฟูประเทศหลังจากที่เกิดภัยพิบัติไซโคลนถล่มบริเวณที่ราบปากแม่นิอิรวดีและกรุงย่างกุ้ง ในระหว่างวันที่ 2-3 พ.ค.ที่ผ่านมา ทำให้มีผู้เสียชีวิตและสูญหายกว่า 138,000 ราย
ในการประชุมนานาชาติเพื่อระดมเงินช่วยเหลือเหตุภัยพิบัติดังกล่าว ซึ่งจัดขึ้นเมื่อปลายเดือน พ.ค.นั้น สามารถรวบรวมเงินช่วยเหลือได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นเมื่อเทียบกับจำนวนทั้งหมดที่รัฐบาลทหารพม่าร้องขอ
สหรัฐฯ และสหภาพยุโรป ได้ขยายเวลาในการลงโทษคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจพม่าต่อไป หลังจากที่มีการปราบปรามกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงเพื่อประชาธิปไตยเมื่อปีที่แล้ว ขณะที่รัฐบาลสหรัฐฯ และองค์กรเพื่อสิทธิมนุษยชนต่างๆ ได้กระตุ้นให้บรรดาผู้ซื้ออัญมณีหยุดซื้อและต่อต้านการเปิดประมูลขายครั้งนี้อีกด้วย
ประเทศจีนและไทย ซึ่งเป็นลูกค้าอัญมณีรายใหญ่ของพม่า ยังคงเข้าร่วมในการประมูลดังกล่าวที่จัดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง แม้จะมีเสียงคัดค้านจากนานาชาติอันเนื่องมาจากการใช้ความรุนแรงปราบปรามผู้ประท้วงเพื่อประชาธิปไตยเมื่อเดือน ก.ย.ปีที่แล้วก็ตาม