ผู้จัดการออนไลน์-- ทางการพม่าเริ่มขับไล่ผู้ประสบภัยจากพายุนาร์กิส ให้ออกจากโรงเรียนหลายแห่งในกรุงย่างกุ้ง เพื่อให้นักเรียนสามารถเข้าเรียนได้ ทั้งๆ ที่สถานที่เรียนต่างๆ ยังไม่มีความพร้อมอย่างสิ้นเชิง คุณครูกล่าวว่าเป็นห่วงเรื่องสุขอนามัยของเด็กๆ
หลังจากที่ไซโคลนนาร์กิสพัดเข้าถล่มสร้างความเสียหายให้แก่บ้านเรือนจำนวนมาก ทำให้นางเต่วิน (Htay Win) ซึ่งเป็นครอบครัวหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากเหตุภัยพิบัตินี้ต้องไปอาศัยโรงเรียนแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่นอกกรุงย่างกุ้งเป็นที่พักชั่วคราว
แต่เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่จากทางการได้บังคับให้พวกเขาทั้งหมดต้องย้ายออกและกลับไปยังบ้านที่เดิมซึ่งถูกพายุพัดทำลายเสียหาย รวมทั้งยังกล่าวว่าลูกๆ ของเธอควรจะกลับมาเรียนในวันจันทร์
เธอจึงต้องไปกู้เงินเป็นจำนวน 5.50 ดอลลาร์เพื่อนำไปจ่ายค่าธรรมเนียมในการเล่าเรียน และ เธอต้องจ่ายเงินที่กู้มาในสิ้นเดือนนี้รวมทั้งดอกเบี้ยอีก 20%
"ฉันไม่มีทางเลือกอื่น จำเป็นต้องหาทางให้ลูกๆ ทั้ง 2 คนเข้ารับการศึกษา แต่ฉันไม่เหลืออะไรเลย ฉันเป็นหม้าย บ้านก็พังเสียหายหลังจากที่เกิดเหตุพายุพักถล่ม และต้องไปกู้ยืมเงินมาซื้อไม้ไผ่เพื่อนำไปทำเป็นที่พักอาศัย" นางเต่วินแม่ค้าขายผักวัย 42 ปี กล่าว
"เจ้าหน้าที่ให้ข้าวเราเพียง 2 กระป๋องเท่านั้น นอกจากนั้นเราก็ไม่ได้รับอะไรอีก มีผู้ที่เดินทางมาบริจาคสิ่งของให้แก่ผู้ประสบภัยด้วยตัวเองจำนวนหนึ่ง แต่ก็ถูกเจ้าหน้าที่ห้ามไว้"
ครอบครัวของนางเต่วินเป็นหนึ่งในจำนวนผู้ที่ไร้ที่อยู่อาศัยกว่า 400 คนที่ถูกบังคับให้ย้ายออกจากโรงเรียนเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (30 พ.ค.) ซึ่งก่อนหน้านี้ใช้เป็นที่พักชั่วคราว คุณครูคนหนึ่งกล่าวว่าบางคนก็โชคดีพอที่จะหาผ้าใบกันน้ำมาทำเป็นที่พักได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วเป็นผู้ที่ไม่มีอะไรเลย
ทางการยืนยันว่า โรงเรียนต่างๆ โดยรอบกรุงย่างกุ้งนั้นเปิดทำการเรียนการสอนในวันจันทร์ (2 มิ.ย.) หลังจากที่ต้องปิดมาเป็นเวลานาน เนื่องจากพายุที่พัดถล่มเมื่อวันที่ 2-3 พ.ค. เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตหรือสูญหายถึง 133,000 รายและประชาชนอีกกว่า 2.4 ล้านคนต้องเผชิญกับความยากลำบาก
ส่วนโรงเรียนในบริเวณที่ราบปากแม่น้ำอิรวดียังคงต้องใช้เวลาอีก 1 เดือนถึงจะเปิดทำการเรียนการสอนได้ปกติ แต่องค์การยูนิเซฟ (UNICEF) กล่าวว่า มีโรงเรียนถึง 3,000 โรงถูกพายุพัดทำลายเสียหายและทำให้นักเรียนกว่า 500,000 คนยังคงไม่มีที่เรียน
ที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง แมลงบินหึ่งไปทั่วตึกซึ่งเป็นอาคาร 3 ชั้น ห้องเรียนมีกลิ่นเหม็นจากของเสียที่ขับถ่ายจากผู้คนที่เข้ามาพักอาศัย บรรดาคุณครูต่างกังวลเกี่ยวกับสุขภาพอนามัยของนักเรียน แต่ก็เกรงกลัวที่จะท้าทายอำนาจของรัฐมากกว่า
"โรงเรียนที่ฉันสอนอยู่นั้นไม่สะอาดพอ ฉันกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของนักเรียน เราต้องฉีดยาฆ่าเชื้อโรคในบริเวณรอบๆ โรงเรียน และหวังว่าหน่วยแพทย์ไร้พรมแดนหรือองค์กร World Vision จะยื่นมือเข้ามาช่วย" ครูคนหนึ่งกล่าว
มีนักเรียนเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้นจากจำนวนทั้งหมด 870 คนที่มาเรียนในสัปดาห์แรกนี้ เนื่องจากผู้ปกครองส่วนใหญ่ไม่มีเงินพอที่จะส่งลูกๆ มาเรียน
คุณครูคนเดียวกันกล่าวต่อว่า "ผู้ปกครองบางคนต้องไปกู้ยืมเงินเพื่อนำมาใช้จ่ายค่าเล่าเรียนของลูก แม้อัตราดอกเบี้ยที่เรียกเก็บจะอยู่ในระดับที่สูงก็ตาม ฉันบอกกับเด็กๆ ว่าพวกเขาสามารถมาโรงเรียนได้แม้ว่าจะไม่มีชุดนักเรียนที่ถูกต้อง"
ขณะเดียวกัน เด็กๆ บางคนถูกส่งไปทำงานในโรงงานแทน เพื่อช่วยครอบครัวหาเงินเลี้ยงชีพ.