ผู้จัดการออนไลน์ - มีผู้คนล้มตายและสูญหายเป็นจำนวนมาก ในวันเสาร์ (3 พ.ค.) ที่ผ่านมา ในเขตเมืองลาบุตตา (Labutta) เมื่อไซโคลนนาร์กีสทำให้เกิดฝนตกหนัก เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำในแม่น้ำอิรวดีเอ่อล้นขึ้นสูง 20 ฟุต หรือ 6 เมตรเท่าๆ กับความสูงของอาคาร 2 ชั้น ซึ่งได้กวาดทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางทาง
กระแสน้ำที่เอ่อสูงขึ้นอย่างฉับพลัน ได้เอ่อขึ้นท่วมบ้านเรือนราษฎร ท่วมทุกสิ่งทุกอย่างสูงถึงยอดไม้ ผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์เล่าเรื่องนี้กับผู้สื่อข่าวเอเอฟพีในพื้นที่
เมืองลาบุตตา ตั้งอยู่ที่ปากแม่น้ำสายหลักของประเทศ ก่อนวันเสาร์ที่ผ่านมา เคยเป็นที่อยู่อาศัยของประชากรราว 90,000 คน บัดนี้ได้กลายเป็นเมืองร้าง ผู้คนส่วนใหญ่ไร้ที่อยู่และยังไม่ได้รับการช่วยเหลือใดๆ ตลอดช่วง 5 วันที่ผ่านมา
ผู้รอดชีวิต กล่าวว่า เคยมีทหารเดินทางเข้าไปยังเขตเมืองลาบุตตา โดยเรือ นำสิ่งของไปแจกจ่ายเพียงเล็กน้อย แต่เรือก็ไปจอดตายอยู่ที่นั่นเนื่องจากน้ำมันหมด
มีเจ้าหน้าที่ขององค์การเวิลด์วิชัน (World Vision) เดินทางไปถึงที่นั่นเช่นเดียวกัน แต่ทำได้เพียงแค่แจกจ่ายสารสำหรับกวนน้ำให้ใส ให้เป็นน้ำสะอาด
ยังไม่สามารถประเมินได้ว่า มีผู้รอดชีวิตอยู่ในเขตเมืองนี้จำนวนเท่าไร ในขณะที่ผู้คนนับพันๆ ได้ตัดสินใจทิ้งเมือง มุ่งหน้าสู่เมืองอื่นเพื่อหาอาหารและน้ำดื่มประทังชีวิต
สำนักข่าวเอเอฟพี ได้เผยแพร่ภาพศพคนและสัตว์เลี้ยงในสภาพที่กำลังขึ้นอึดลอยอยู่ตามท้องนาที่น้ำท่วมขังใกล้กับเมืองลาบุตตา ศพเริ่มเน่าเปื่อย และส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่วอาณาบริเวณ
รอบๆ ตัวเมืองเต็มไปด้วยร่างคนกับสัตว์ตายที่เริ่มกลายเป็นสีดำ ส่วนใหญ่เริ่มเน่าเปื่อย ใต้แสงแดดที่แผดร้อน หลายศพขึ้นไปติดค้างตามริมทางเดินเมื่อน้ำเริ่มลดระดับลงหลังพายุผ่านไปเมื่อ 5 วันก่อน
“กลิ่นแห่งความตายคละคลุ้งไปทั่วเมือง ผู้คนเดินผ่านศพโดยใช้ผ้าหนาปิดจมูกกันกลิ่นเหม็น บ้างก็ใช้ยาหม่องทาเพื่อช่วยบรรเทากลิ่น..” ผู้สื่อข่าวเอเอฟพี อ้างการบอกเล่าของผู้รอดชีวิต
ก่อนหน้านี้ เคยมีการบอกเล่าเกี่ยวกับชะตากรรมของชาวเมืองเบ๊าะกาเลย์ (Bokalay) ที่อยู่ในเขตที่ราบปากแม่น้ำอิรวดีเช่นกัน เมืองนี้เพียงแห่งเดียวมีผู้เสียชีวิตถึง 10,000 คน แต่ยังไม่มีการยืนยันเรื่องนี้จากผู้ที่เห็นเหตุการณ์