xs
xsm
sm
md
lg

เริ่มแล้ว! วาระโลกร้อนที่บราซิล จับตาบทบาทไทยในเวที COP30

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ประเด็นสำคัญที่บราซิลในฐานะประเทศเจ้าภาพ และประธานการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 30 หรือ COP30 (ระหว่างวันที่ 10 - 21 พฤศจิกายน 2568 ณ เมืองเบเล็ง สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล )ต้องการมุ่งเน้น ประกอบด้วย 5 ข้อหลัก

1.ประการแรกคือ การส่งเสริมให้ประเทศต่าง ๆ ปรับปรุงแผนการมีส่วนร่วมด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศ ผ่านการพัฒนา NDC 3.0 เพื่อปิดช่องว่างในความทะเยอทะยาน

2.ต่อมาคือการจัดทำมาตรฐานตามเป้าหมายการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศระดับโลก (Global Goal on Adaptation: GGA) โดยมุ่งเน้นให้เกิดการดำเนินการตามแผนการปรับตัวแห่งชาติ (NAP) อย่างเป็นรูปธรรม และมีการกำหนดตัวชี้วัดเพื่อประเมินความก้าวหน้า

3.ด้านการเงิน เป็นอีกประเด็นที่บราซิลกำลังผลักดันแผนการเงินใหม่ (New Collective Quantified Goal on Climate Finance: NCQG) หรือ Baku to Belém Roadmap to 1.3T โดยตั้งเป้าหมายเงินทุนไว้ที่ 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ ภายในปี ค.ศ. 2035 พร้อมการปฏิรูปสถาบันการเงินระหว่างประเทศเพื่อให้ประเทศกำลังพัฒนาสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างเท่าเทียม

4.ประเด็นที่ต้องจับตาความคืบหน้าคือ การจัดตั้งกองทุนสำหรับการตอบสนองต่อความสูญเสียและความเสียหาย (The Fund for responding to Loss and Damage - FRLD) เพื่อเร่งให้กลไกของกองทุนนี้สามารถใช้งานได้จริง มีแนวทางที่ชัดเจนในการเปิดรับข้อเสนอโครงการจากประเทศกำลังพัฒนา และช่วยให้ประเทศที่มีความเสี่ยงสูงสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนนี้ได้ง่ายขึ้น

5.สุดท้ายคือประเด็นวาระครบรอบ 10 ปีความตกลงปารีส (Paris Agreement) ซึ่งเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2025 โดยจะมีการประเมินความก้าวหน้าในด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การปรับตัว และการเงิน

ในการประชุมที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 10-21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568 ณ เมืองเบเล็ง ต้องการสะท้อนถึงการรวมพลังของประชาคมโลกในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างมีประสิทธิภาพ

บราซิลจึงยังได้ให้ความสำคัญกับการริเริ่มความร่วมมือระดับนานาชาติในหลายมิติ เช่น การฟื้นฟูและหยุดยั้งการตัดไม้ทำลายป่า การเร่งเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน การเชื่อมโยงประเด็นความหลากหลายทางชีวภาพ การต่อต้านการแปรสภาพเป็นทะเลทราย และการพัฒนาที่ยั่งยืน


ไทยมุ่งดำเนินงานสู้โลกร้อนอย่างจริงจัง!?

สำหรับประเทศไทยแม้จะปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพียงแค่ ร้อยละ 1 ของการปล่อยทั้งหมดในโลก แต่ต้องเผชิญผลกระทบจากภาวะโลกร้อนอย่างรุนแรง เช่น คลื่นความร้อน น้ำท่วม และสภาพอากาศแปรปรวน ส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ด้วยความท้าทายนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี จึงให้ความสำคัญกับการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างจริงจัง ตั้งแต่การแถลงนโยบายรัฐบาลไปจนถึงการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน (2)

ในขณะที่ นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ก็ได้ย้ำถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการสร้างสังคมคาร์บอนต่ำ โดยระบุว่า ประเด็นนี้ได้ถูกบรรจุในนโยบายหลักของรัฐบาลในข้อ 12 และ 13 ซึ่งเน้นการติดตั้งเครื่องมือเตือนภัยในพื้นที่เสี่ยงสูงและการผลักดันสังคมคาร์บอนต่ำ

นอกจากนั้น เนื่องจากอุณหภูมิโลกในปัจจุบันสูงถึง 1.75 องศาเซลเซียส (°C) ซึ่งเกินกว่าเป้าหมายความตกลงปารีส รัฐบาลจึงตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี ค.ศ. 2050 และเตรียมจัดส่ง NDC 3.0 ในปี ค.ศ. 2025 โดยมีแผนการลดการปล่อยก๊าซจาก 5 ภาคส่วนหลัก ได้แก่ ภาคพลังงานและขนส่ง ภาคกระบวนการทางอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์ ภาคการจัดการของเสีย ภาคการเกษตร และภาคการใช้ประโยชน์ของที่ดินและป่าไม้ ให้ได้ ร้อยละ 40 ภายในปี ค.ศ. 2035

พร้อมกันนี้ ยังได้เร่งผลักดัน “ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการดำเนินงานใน 4 ด้าน ได้แก่ นโยบาย, การลดก๊าซเรือนกระจก, การปรับตัว และกลไกทางการเงิน โดยจะจัดตั้งกองทุนเพื่อสนับสนุนการลงทุนไปสู่เป้าหมาย Net Zero ขณะเดียวกัน ไทยยังตั้งเป้าหมายพัฒนาตนเองให้เป็น “ศูนย์กลางตลาดคาร์บอนเครดิต” ในระดับอาเซียนอย่างครบวงจร เพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและโอกาสการลงทุนใหม่ ๆ

สำหรับ การเตรียมพร้อมของไทยในการประชุม COP30 ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ในฐานะประธานการประชุมคณะผู้แทนไทยเตรียมการเข้าร่วมประชุม COP30 ระบุว่า ไทยจะนำเสนอคือเป้าหมาย NDC 3.0 สำหรับปี ค.ศ. 2035 ซึ่งเป็นก้าวสำคัญที่จะแสดงความมุ่งมั่นในการรับมือวิกฤตสภาพภูมิอากาศ

"เป้าหมายใหม่นี้จะช่วยเปลี่ยนทิศทางของประเทศไทยให้ก้าวไปสู่ Net Zero ภายในปี ค.ศ. 2050 ซึ่งเป็นการเลื่อนกำหนดเป้าหมายให้เร็วขึ้นถึง 15 ปี จากเป้าหมายเดิมที่กำหนดไว้ในปี ค.ศ. 2065"

สำหรับเป้าหมายในปี 2035 นั้น ไทยตั้งใจที่จะลดก๊าซเรือนกระจกในรูปแบบการปล่อยจริงสัมบูรณ์ (Absolute emission reduction) โดยอิงจากปีฐานคือ ค.ศ. 2019 ซึ่งในปีนั้นไทยมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอยู่ที่ 379.2 ล้านตัน เป้าหมายใหม่จะลดลงมา 109.2 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO2eq) ภายในปี ค.ศ. 2035 โดยมุ่งเน้นการลดใน 5 ภาคส่วนหลัก ได้แก่ พลังงาน คมนาคมขนส่ง อุตสาหกรรม เกษตร และของเสีย ซึ่งสอดคล้องกับแนวทาง 1.5°C

การดำเนินการตามเป้าหมายที่จะลดการปล่อยก๊าซลง 109.2 ล้านตันนี้ แบ่งออกเป็นสองส่วนหลัก คือ ร้อยละ 70 หรือ 76.4 MtCO2eq จะดำเนินการโดยใช้ความสามารถภายในประเทศ (Unconditional Target) และ ร้อยละ 30 หรือ 32.8 MtCO2eq จะต้องอาศัยการสนับสนุนจากต่างประเทศ (Conditional Target) เช่น เงินช่วยเหลือ หรือเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ โดยแผนการลงทุนใน NDC 3.0 ระบุว่า ต้องการเงินลงทุนประมาณ 7,046.9 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 230,000 ล้านบาทในการลดคาร์บอนในส่วนที่ต้องพึ่งพาต่างประเทศ

นอกจากนี้ ไทยยังตั้งเป้าหมายเพิ่มความสามารถในการดูดซับก๊าซเรือนกระจกจากภาคป่าไม้และการใช้ประโยชน์จากที่ดิน (LULUCF) โดยเฉพาะในส่วนของป่าธรรมชาติและป่าเศรษฐกิจ ตั้งเป้าที่จะเพิ่มความสามารถในการดูดซับจาก 107 MtCO2eq เป็น 118 MtCO2eq เมื่อนำผลการลด 109.2 ล้านตันและการเพิ่มการดูดกลับมารวมกัน จะทำให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิของไทยในปี ค.ศ. 2035 อยู่ที่ 152 MtCO2eq ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมาย Net Zero ในปี ค.ศ. 2050

ที่มา : กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม


กำลังโหลดความคิดเห็น