xs
xsm
sm
md
lg

24 ตุลาคม วันปฏิบัติการด้านสภาพภูมิอากาศสากล "ไม่ใช่ทำพรุ่งนี้... แต่! ต้องทำเดี๋ยวนี้" ชวนคนไทยร่วมพลิกวิกฤตสภาพภูมิอากาศ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เรียบเรียงโดย: สุพรรณิภา หวังงาม นักวิจัย สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย
เนื่องในวันที่ 24 ตุลาคมของทุกปี องค์การสหประชาชาติ (UN) กำหนดให้เป็น "วันปฏิบัติการด้านสภาพภูมิอากาศสากล" (International Day of Climate Action) ถือเป็นวาระสำคัญที่จะปลุกกระแสสังคมและย้ำเตือนคนไทยทุกคนและทั่วโลกว่า การร่วมกันต่อสู้กับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ‘ไม่ใช่ทำพรุ่งนี้....แต่! ต้องทำเดี๋ยวนี้’ วันนี้คือเวลาที่ทุกภาคส่วนต้องลุกขึ้นมาสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างเร่งด่วน ก่อนที่ผลกระทบจะรุนแรงเกินกว่าจะรับมือ สำหรับแนวคิดหลักในปี 2568 คือ “Rising Together for a Resilient Planet” หรือ “ร่วมกันเปลี่ยนผ่านสู่โลกที่มีความยืดหยุ่น” ซึ่งเป็นการเรียกร้องให้ทั่วโลกผนึกกำลังกัน ปรับตัว (Collective Adaptation) ใช้นวัตกรรม (Innovation) และสร้างความร่วมมือเพื่อปกป้องโลก โดยเน้นย้ำหลักการ "ความเป็นธรรมทางภูมิอากาศ (Climate Justice) และความรับผิดชอบร่วมกัน (Shared Responsibility)" เพื่อให้แน่ใจว่าการเปลี่ยนผ่านนี้จะเป็นธรรมและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด
นางสาวสุพรรณิภา หวังงาม นักวิจัย สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย เรียบเรียงข้อมูลว่า รายงานการพัฒนาที่ยั่งยืน ประจำปี 2025 (Sustainable Development Report 2025) ได้ส่งสัญญาณเตือนว่า การดำเนินการทั่วโลก "ยังคงอยู่นอกเส้นทาง (Off-track)" ในการบรรลุเป้าหมาย SDGs ภายในปี 2030 โดยคาดว่ามีเป้าหมายไม่ถึง 20% ที่จะสำเร็จได้ทันเวลา และวิกฤตสภาพภูมิอากาศคือหนึ่งในอุปสรรคสำคัญสำหรับประเทศไทย แม้ภาพรวมจะอยู่ในอันดับที่ 43 จาก 167 ประเทศ แต่ในมิติการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (SDG 13: Climate Action) ประเทศไทยยังคงได้รับการประเมินเป็น “สีส้ม” ซึ่งหมายถึง เป้าหมายที่ยังมีความท้าทายสูง (Significant Challenges Remain) และผลการดำเนินงานยังอยู่ในระดับคงที่ นี่คือสัญญาณเตือนว่าเราต้องเร่งเดินเครื่องมากกว่าเดิม เพราะวิกฤตสภาพภูมิอากาศไม่ได้ส่งผลกระทบแค่สิ่งแวดล้อม แต่กำลังคุกคามทุกแง่มุมของชีวิต ทั้งความมั่นคงทางอาหาร ระบบสาธารณสุข การเข้าถึงน้ำ และการดำรงชีวิต

ทั้งนี้ ในวาระสำคัญที่ทั่วโลกกำลังจับตามองการประชุม COP30 ณ ประเทศบราซิล ในเดือนพฤศจิกายน 2568 ประเทศไทยได้เตรียมความพร้อมยกระดับการดำเนินงานอย่างจริงจัง โดยได้จัดทำเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (NDC 3.0) ฉบับใหม่ โดยตั้งเป้าลดก๊าซเรือนกระจก 109.2 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ภายในปี 2578 (ค.ศ. 2035) และเพิ่มการดูดกลับก๊าซเรือนกระจกจากภาคป่าไม้ฯ (LULUCF) เป็น 118 ล้านตันฯ เพื่อมุ่งสู่เส้นทางการรักษาอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส
นอกจากนี้ ประเทศไทยกำลังผลักดันเครื่องมือสำคัญคือ “ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” ซึ่งจะเป็นกฎหมายด้านสภาพภูมิอากาศฉบับแรกของประเทศ โดยมีสาระสำคัญครอบคลุม 3 ด้าน ทั้งการลดก๊าซเรือนกระจก การปรับตัวรับมือผลกระทบ และการส่งเสริมการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน โดยจะมีการนำกลไกกำหนดราคาคาร์บอน (Carbon Pricing) ตามหลัก “ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย (Polluter Pays Principle)” มาใช้อย่างจริงจัง เช่น ภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) และระบบซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (ETS)

อย่างไรก็ดี สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) ในฐานะองค์กรพัฒนาเอกชนด้านสิ่งแวดล้อม ตระหนักถึงความเร่งด่วนของปัญหานี้ และได้ร่วมมือกับภาคีทุกภาคส่วนขับเคลื่อนการดำเนินงานตั้งแต่ระดับนโยบายไปสู่การปฏิบัติในเชิงพื้นที่ ทั้งการปรับตัว การลดก๊าซเรือนกระจก และการสร้างขีดความสามารถให้ชุมชน นอกจากนี้ ยังได้ขับเคลื่อนผ่านองค์กรธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (TBCSD) เพื่อยกระดับภาคธุรกิจไทยสู่การเป็นองค์กรต้นแบบธุรกิจคาร์บอนต่ำและยั่งยืน (Low Carbon and Sustainable Business)
วันปฏิบัติการด้านสภาพภูมิอากาศสากล 24 ตุลาคมนี้ จึงเป็นหมุดหมายสำคัญในการย้ำเตือนว่าวิกฤตนี้รอไม่ได้อีกต่อไป ขอเชิญชวนคนไทยทุกคน องค์กรทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจ ภาคประชาสังคม และประชาชน ร่วมกันแสดงพลังและลงมือทำอย่างจริงจัง "เดี๋ยวนี้" เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและโลกที่มีความยืดหยุ่นสำหรับคนรุ่นต่อไป

อ้างอิงข้อมูลจาก:
1) https://bizcoinstitute.com/event/international-day-of-climate-action/
2) https://unstats.un.org/sdgs/report/2025/
3) https://dashboards.sdgindex.org/
4) https://dashboards.sdgindex.org/profiles/thailand/








กำลังโหลดความคิดเห็น