ดร.สนธิ คชวัฒน์ นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Sonthi Kotchawat ถึงผลกระทบจากภาวะโลกร้อนที่จะทวีความรุนแรงจนทำให้เมืองหลวงอย่างนครโฮจิมินห์และกรุงเทพฯ อาจจมอยู่ใต้น้ำภายในปี 2593 (คศ.2050)
1.การศึกษาที่จัดทำโดยคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติ (IPCC) ได้รับการเผยแพร่เมื่อปลายเดือนกันยายน พบว่า เมืองหลวงอย่างนครโฮจิมินห์และกรุงเทพฯ อาจจมอยู่ใต้น้ำภายในปี 2593 (คศ.2050) เนื่องจากก๊าซเรือนกระจกเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการละลายของน้ำแข็งในเขตอาร์กติกและแอนตาร์กติกาที่เพิ่มมากขึ้น
2.รายงานระบุว่า "แม้จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้มาก... แต่บังกลาเทศ เวียดนาม และไทย จะต้องเผชิญกับภาวะน้ำท่วมสูงในช่วงปลายศตวรรษนี้..."
3.นครโฮจิมินห์ ซึ่งตั้งอยู่ในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไซง่อนและใกล้กับพื้นที่สาม เหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ประสบปัญหาน้ำท่วมทุกปีเนื่องจากพายุฝนฟ้าคะนอง ฝนตกหนัก และการปล่อยน้ำจากอ่างเก็บไปยังพื้นที่ต้นน้ำ..หนังสือพิมพ์ออน ไลน์เวียดนาม VnExpress รายงานว่า นครโฮจิมินห์กำลังวางแผนที่จะใช้งบประมาณ 345 ล้านดอลลาร์สหรัฐในโครงการป้องกันน้ำท่วมในปีนี้ ซึ่งจะครอบคลุมพื้นที่ใจกลางเมืองและเขตชานเมืองบางส่วนและนอกกำลังหารือถึงความเป็นไปได้ในการสร้างเขื่อนกั้นน้ำแบบ Thames Barrier เพื่อควบคุมน้ำท่วมใหญ่ที่อาจเกิดขึ้น....
ขณะที่มีหลายปัจจัยมีส่วนทำให้พื้นดินในพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นแหล่งปลูกข้าวหลักของเวียดนามและเป็นที่อยู่อาศัยของประชากร 18 ล้านคนจมลง
..เขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำต้นน้ำในจีนและลาวได้ปิดกั้นตะกอนจำนวนมากที่เคยไหลลงสู่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ทำให้ตะ กอนเหล่านี้ที่เคยช่วยเติมสารอาหารที่จำเป็นต่อพืชผลทางการเกษตรให้กับสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง และยังช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับตลิ่งแม่น้ำอีกด้วยหายไป ทำให้เกิดน้ำท่วมมากขึ้น
4.รายงานของธนาคารโลกระบุว่า “ภาย ในปี 2573 กรุงเทพฯ เกือบร้อยละ 40 จะถูกน้ำท่วม เนื่องจากฝนตกหนักและสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง”ฟาร์มกุ้งและการพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอื่น ๆ ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ที่ได้เข้ามาแทน ที่ป่าชายเลนที่เคยใช้ป้องกันคลื่นพายุซัดฝั่งได้ก่อให้เกิดการกัดเซาะชายฝั่งอย่างรุนแรงใกล้เมืองหลวงขณะที่รัฐบาลกำลัง"พยายามอย่างเต็มที่เพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยการสร้างเครือข่ายคลองส่งน้ำที่มีสถานีสูบน้ำยาวถึง 2,600 กิโลเมตร (1,616 ไมล์) และอุโมงค์ใต้ดิน 8 แห่ง เพื่อระบายน้ำในกรณีเกิดภัยพิบัติ"
ที่มา : เฟซบุ๊ก Sonthi Kotchawat