เมื่อเร็วๆ นี้ แกร็บ ประเทศไทย จัดงาน “Grab EV-LUTION เปลี่ยน…เพื่อสิ่งแวดล้อมและชีวิตที่ดีกว่า” ประกาศความร่วมมืออย่างเป็นทางการกับ 7 พันธมิตรชั้นนำ ได้แก่ Rever Automotive, Moove, Swap & Go, EV Station PluZ, H SEM Motor, STROM และ Auto Drive EV เดินหน้าโครงการ “Grab EV” เพื่อผลักดันเป้าหมายในการเพิ่มจำนวนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ในกลุ่มพาร์ทเนอร์คนขับแกร็บให้ได้ 10% ภายในปี 2569
โดยการเปิดตัว 2 โปรแกรมใหม่ที่จะช่วยแบ่งเบาภาระทางการเงินให้คนขับสามารถเข้าถึง EV ได้ง่ายขึ้น ได้แก่ ‘ผ่อนขับรับรถ’ (Drive-to-Own) โปรแกรมสินเชื่อรถยนต์ไฟฟ้าแบบผ่อนจ่ายรายวัน เจาะกลุ่มคนขับที่ต้องการให้บริการผู้โดยสารด้วยรถ EV และ ‘เช่าครบจบบนแอป’ (End-to-End EV Bike Rental) โปรแกรมเช่ารถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าราคาเริ่มต้นเพียง 125 บาทต่อวัน เจาะกลุ่มไรเดอร์ที่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายในการให้บริการเดลิเวอรีหรือรับ-ส่งผู้โดยสาร
ภายใต้ความร่วมมือนี้ แกร็บ ประเทศไทย คาดว่าจะช่วยให้พาร์ทเนอร์คนขับสามารถเข้าถึง EV ได้ไม่ต่ำกว่า 8,000 คันภายในปี 2568 พร้อมชวนผู้ใช้บริการร่วมรักษ์โลกผ่านฟีเจอร์ ‘Grab EV rides’ ที่พัฒนาขึ้นเพื่อช่วยเพิ่มโอกาสค้นหารถ EV ในพื้นที่และช่วงเวลานั้นๆ มาให้บริการเป็นตัวเลือกแรก
นายวรฉัตร ลักขณาโรจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า “ภาวะโลกร้อนและปัญหาสิ่งแวดล้อมถือเป็นประเด็นระดับโลกที่ทุกภาคส่วนตื่นตัวและให้ความสำคัญอย่างยิ่งในปัจจุบัน ทั้งนี้ การส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าจึงกลายเป็นหนึ่งในแนวทางสำคัญที่หลายองค์กร ทั้งหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน กำลังผลักดันและมีส่วนร่วมเพื่อมุ่งลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ในฐานะที่เราเป็นผู้ให้บริการแพลตฟอร์มที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางและขนส่ง แกร็บตระหนักถึงบทบาทในการป้องกันและลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินธุรกิจในทุกประเทศ รวมถึงส่งเสริมให้คนในวงจรธุรกิจมีส่วนร่วมในการดูแลรักษาและบรรเทาปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยได้ประกาศเป้าหมายและแนวทางที่ชัดเจนในด้านสิ่งแวดล้อมเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายด้านความยั่งยืนภายใต้แนวคิด Triple Bottom Line"
ในประเทศไทย แกร็บได้ส่งเสริมและผลักดันประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการ ‘Grab EV’ ที่มุ่งส่งเสริมให้พาร์ทเนอร์คนขับ-ผู้จัดส่งอาหารหันมาใช้รถ EV เพื่อให้บริการ โดยตั้งเป้าให้มีจำนวนผู้ใช้รถ EV ให้ได้ 10% ของพาร์ทเนอร์ทั้งหมดภายในปี 2569”
“แม้ปัจจุบันจะมีพาร์ทเนอร์คนขับแกร็บให้ความสนใจและต้องการเปลี่ยนมาใช้ EV สูงถึง 85%1 แต่ยังคงมีหลายปัจจัยที่ถือเป็นข้อจำกัด ไม่ว่าจะเป็น ราคารถที่ค่อนข้างสูง สมรรถนะของรถที่ไม่ตอบโจทย์การให้บริการ รวมถึงระบบโครงสร้างและสถานีชาร์จที่อาจยังมีไม่เพียงพอ ดังนั้น แกร็บจึงได้ผนึกความร่วมมือกับ 7 พันธมิตรในแวดวง EV ซึ่งประกอบด้วย Rever Automotive, H SEM Motor, STROM, Swap & Go, Auto Drive EV, EV Station PluZ, และ Moove เพื่อผลักดันและขับเคลื่อนโครงการ Grab EV ให้บรรลุเป้าหมายได้อย่างเป็นรูปธรรม พร้อมเปิดตัว 2 โปรแกรมใหม่ ‘ผ่อนขับรับรถ’ และ ‘เช่าครบจบบนแอป’ ที่จะช่วยปลดล็อกและทำให้พาร์ทเนอร์คนขับแกร็บสามารถเข้าถึง EV ได้ง่ายขึ้น”
ด้านนางสาวเมธิณี อนวัชกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจการเดินทางและบริหารพาร์ทเนอร์คนขับ แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า “แกร็บเริ่มทดลองทำโครงการนำร่องเพื่อส่งเสริมการใช้ EV ในประเทศไทยมาตั้งแต่ปี 2563 โดยได้ศึกษาพฤติกรรมการใช้งานและความต้องการของพาร์ทเนอร์คนขับมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เราเข้าใจอินไซต์ของผู้ใช้งานจริง ตลอดจนปัญหาและข้อจำกัดต่างๆ และพยายามใช้ประโยชน์จากข้อมูลเหล่านี้ในการพัฒนาโครงการ Grab EV เพื่อส่งเสริมการเข้าถึง EV ในกลุ่มพาร์ทเนอร์คนขับให้มากขึ้น
ปัจจุบันแกร็บทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงกับภาคส่วนต่างๆ ทั้งบริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่าย EV ผู้ให้บริการสถานีชาร์จและระบบบริหารจัดการชาร์จแบตเตอรี ตลอดจนสถาบันการเงิน เพื่อแชร์ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาโซลูชันที่สามารถตอบโจทย์การใช้งานของพาร์ทเนอร์คนขับให้เหมาะสมที่สุด อาทิ การพัฒนาฟังก์ชันและคุณสมบัติของ EV ทั้งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าให้เหมาะกับรูปแบบการให้บริการ การระบุตำแหน่งสถานีชาร์จหรือจุดสลับแบตเตอรีในบริเวณที่มีผู้ใช้บริการหรือพาร์ทเนอร์คนขับหนาแน่น เป็นต้น”
นอกจากนี้ ภายในงานนี้ได้มีการจัดเสวนาพิเศษในหัวข้อ “บทบาทของภาคเอกชนในการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศไทย” โดยได้รับเกียรติจาก 3 ผู้บริหารของบริษัทพันธมิตร ซึ่งประกอบด้วย คุณวิศิษฎ์ พิทยะวิริยากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เรเว่ ออโตโมทีฟ จำกัด คุณอาวีมาศ สิริแสงทักษิณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สวอพ แอนด์ โก จำกัด มร. ลาดี เดอลาโน่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง Moove พร้อมด้วย คุณเมธิณี อนวัชกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจการเดินทางและบริหารพาร์ทเนอร์คนขับ แกร็บ ประเทศไทย ที่มาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์และทรรศนะในการผลักดันการใช้ EV ในประเทศไทย พร้อมหาแนวทางในการสนับสนุนพาร์ทเนอร์คนขับแกร็บให้สามารถเข้าถึง EV ได้อย่างเป็นรูปธรรม
ด้าน นางสาวอาวีมาศ สิริแสงทักษิณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สวอพ แอนด์ โก จำกัด กล่าวว่า “บริษัท สวอพแอนด์โก จำกัด ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพของ ปตท. มีเป้าหมายที่จะเร่งเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ร่วมขับเคลื่อนการใช้พลังงานสะอาด โดยได้พัฒนาแพลตฟอร์มสลับแบตเตอรี่สำหรับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกใ้ห้กับผู้บริโภคในการร่วมผลักดันการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ซึ่งความร่วมมือกับแกรปในครั้งนี้ จะเป็นการส่งเสริมระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจร ตอบสนองให้ทันต่อการเปลี่ยนผ่านตามทิศทางการใช้พลังงานของประเทศ พรัอมทั้งร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยให้บรรลุเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืนต่อไป”
ทางฝั่งของพาร์ทเนอร์ผู้จัดจำหน่ายและให้บริการหลังการขายรถยนต์ไฟฟ้า BYD อย่างเป็นทางการในประเทศไทย นายวิศิษฎ์ พิทยะวิริยากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เรเว่ ออโตโมทีฟ จำกัด เล่าว่า “Rever Automotive มีความมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำเพื่อลดมลพิษทางสิ่งแวดล้อม ผ่านการนำเสนอรถยนต์พลังงานไฟฟ้า BYD หลากหลายรุ่นสู่ตลาดไทย โดยเราได้ส่งนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของ BYD มาทั้ง 3 รุ่นเพื่อผลักดันการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในกลุ่มพาร์ทเนอร์คนขับแกร็บภายใต้โครงการ Grab EV ทั้งนี้ เราเชื่อว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่ช่วยส่งเสริมให้คนไทยเห็นความสำคัญของการใช้รถ EV และสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคกล้าที่เปลี่ยนเพื่อสิ่งแวดล้อมและชีวิตที่ดีกว่า”
มร. ลาดี เดอลาโน่ (Ladi Delano) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม และผู้ร่วมก่อตั้ง MOOVE กล่าวว่า
“การเข้าถึงสินเชื่อรถยนต์ถือเป็นหนึ่งในอุปสรรคของพาร์ทเนอร์ในการเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า ดังนั้น เพื่อรับมือกับความท้าทายนี้ Moove ได้ผนึกกำลังกับ Grab เพื่อเปิดโอกาสให้พาร์ทเนอร์คนขับสามารถเข้าถึงรถยนต์ไฟฟ้าผ่านผลิตภัณฑ์ Drive To Own ของเราได้ โดยเราเชื่อว่าความร่วมมือในครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นประโยชน์ต่อพาร์ทเนอร์คนขับของ Grab เท่านั้น แต่ยังจะช่วยสร้างผลกระทบเชิงบวกด้านสิ่งแวดล้อมให้กับคนไทย และยังขยายไปในระดับภูมิภาคอีกด้วย”