xs
xsm
sm
md
lg

‘CPHI – โอลิค’ ผนึกกำลัง มุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมยาอย่างยั่งยืน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ซีพีเอชไอ เซาท์อีส เอเชีย 2023” (CPHI South East Asia 2023) เดินหน้าสนับสนุนอุตสาหกรรมยาให้มั่นคงในอาเซียนร่วมกับผู้ประกอบการรายใหญ่ในไทย “โอลิค” (OLIC) บริษัทรับจ้างผลิตยาที่ประกาศขับเคลื่อนธุรกิจยั่งยืน พร้อมส่งเสริมการเข้าถึงยาคุณภาพและบริการแบบครบวงจร ล่าสุดส่ง “นวัตกรรมยาฟองฟู่” เสริมประสิทธิภาพดูดซึมเร็วและดีขึ้น

นางสาวรุ้งเพชร ชิตานุวัตร์ ผู้อำนวยการกลุ่มงานภูมิภาคอาเซียน อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ในฐานะผู้จัดงาน "ซีพีเอชไอ เซาธ์ อีสต์ เอเชีย 2023 (CPHI South East Asia 2023)" กล่าวถึงเป้าหมายสำคัญของการจัดงานฯ คือการสร้างความมั่นคงในอุตสาหกรรมยาในอาเซียน ด้วยการพัฒนาอุตสาหกรรมยาอย่างยั่งยืน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม สำหรับประเทศไทยมีผู้ประกอบการธุรกิจยากว่า 100 ราย ซึ่งต้องผลิตยาที่มีคุณภาพ ภายใต้มาตรฐานสากล “GMP PIC/S” รวมทั้งการพัฒนานวัตกรรมเพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้ามายได้ดียิ่งขึ้น เช่น ยาที่กลืนง่ายไม่ติดคอ เนื่องจากผู้สูงวัยจำนวนมากมีภาวะกลืนลำบาก เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคยังไม่ค่อยรับรู้ถึงคุณภาพมาตรฐานการผลิตยาในประเทศไทย ดังนั้น การจัดงานฯ จึงเป็นการเพิ่มโอกาสให้กับผู้ผลิตยาในประเทศไทยให้ได้รับรู้มากขึ้น

มร.โยชิฮิโร ทาคาดะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โอลิค (ประเทศไทย) จำกัด (OLIC Thailand Limited) กล่าวว่า บริษัทฯ เป็นผู้ให้บริการอุตสาหกรรมการผลิตยาและผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพแบบสัญญาจ้าง (Contract Manufacturing Organization, CMO) ครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยให้บริการตั้งแต่การปรับปรุงพัฒนาตำรับยา พัฒนาและตรวจสอบวิธีวิเคราะห์ ผลิตและบรรจุ รวมไปถึงการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ จัดเก็บและส่งมอบยาให้แก่ลูกค้ากว่า 30 ประเทศทั่วโลก เช่น อาเซียน ไต้หวัน เกาหลี ญี่ปุ่น ยุโรป สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลีย ด้วยคุณภาพและมาตรฐานสากล

นางสาวรุ้งเพชร ชิตานุวัตร์ ผู้อำนวยการกลุ่มงานภูมิภาคอาเซียน อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย (ที่ 2 จากขวา) มร.โยชิฮิโร ทาคาดะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โอลิค (ประเทศไทย) จำกัด (ที่ 3 จากขวา)  ภญ.ฐิติมา ทองคำ ผู้อำนวยการฝ่ายประสิทธิภาพและปฏิการตามกฏระเบียบ บริษัท โอลิค (ประเทศไทย) จำกัด (ที่ 4 จากขวา)
ในส่วนของโรงงานอยู่ภายใต้ข้อกำหนด GMP ตามแนวทาง PIC/S หลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิตเวชภัณฑ์ยา ได้รับการรับรองระบบบริหารคุณภาพต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ISO 9001 , ISO 13485, ISO 17025 , ISO 14001 และISO 45001 รวมทั้งระบบการจัดการคุณภาพองค์กร และระบบการจัดการข้อมูลสารสนเทศสำหรับห้องปฏิบัติการ เพื่อประสิทธิภาพและระดับการผลิตที่สูงสุด

นอกจากนี้ ยังมีเทคโนโลยีติดตามความคืบหน้าและตรวจสอบแบบเรียลไทม์ (Track and Trace Technology) ไม่ว่าจะเป็นบาร์โค้ดมาตรฐานสากล GS1 การกำหนดเลขซีเรียล และการรวบรวมกลุ่มข้อมูล (serialization and aggregation) ให้เป็นกลุ่มเดียวกัน เพื่อปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านกำกับดูแลในตลาดปลายทางของลูกค้า Track and Trace Technology จะแสดงให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์เดินทางตั้งแต่ต้นไปจนจบกระบวนการในห่วงโซ่อุปทานอย่างไร และช่วยเพิ่มความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

เทคโนโลยีติดตามความคืบหน้าและตรวจสอบแบบเรียลไทม์ (Track and Trace Technology)
ด้าน ภญ.ฐิติมา ทองคำ ผู้อำนวยการฝ่ายประสิทธิภาพและปฏิการตามกฏระเบียบ บริษัท โอลิค (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ด้วยเทคโนโลยีการผลิตและเครื่องจักรที่ทันสมัย จึงสามารถผลิตยาได้หลากหลายรูปแบบ เช่น ยาปราศจากเชื้อ ยาเม็ด ผง แคปซูล ยาน้ำ ครีม เจล ยาทาภายนอก สเปรย์ และแคปซูลเจลาตินแบบนิ่ม โดยล่าสุด ได้เพิ่มไลน์การผลิตใหม่ สำหรับการผลิตยาฟองฟู่ (effervescent) ซึ่งเป็นรูปแบบเภสัชภัณฑ์ที่ออกแบบมาให้แตกตัวและปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทันทีที่สัมผัสน้ำ ซึ่งข้อดีของยาฟองฟู่คือเหมาะกับตัวยาที่มีปัญหาในการผลิตในรูปแบบยาเม็ด (tablets) ทั้งยังช่วยให้ยาดูดซึมได้เร็วและดีขึ้น

“การผลิตยาเม็ดฟองฟู่มีตำรับที่ซับซ้อนและต้องมีการควบคุมคุณภาพมากกว่าการผลิตยาเม็ดธรรมดา โดยเฉพาะการควบคุมอุณหภูมิ และความชื้นอย่างเข้มงวดเป็นพิเศษในกระบวนการผลิต และบรรจุอย่างพิถีพิถันเพื่อคงประสิทธิภาพและประสิทธิผลตามตำรับยาเอาไว้”

ภญ.อังสนา วนเสถียร ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท โอลิค (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า โอลิคตระหนักและให้ความสำคัญกับการเติบโตยั่งยืน ตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา มีการปรับกระบวนการผลิตโดยได้นำพลังงานหมุนเวียนหรือพลังงานสะอาดเข้ามาใช้ในกระบวนการผลิต พร้อมปรับเปลี่ยนระบบไฟส่องสว่าง ดำเนินการเปลี่ยนแหล่งเชื้อเพลิงที่ใช้ในโรงงาน ซึ่งช่วยให้ลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้กว่า 23.9% ในปี 2564

ยาเม็ดฟองฟู่
ต่อเนื่องถึงปี 2565 โอลิคลงทุนในระบบโซลาร์พลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 0.99 เมกะวัตต์ (ระยะที่ 1) โดยได้ดำเนินการติดตั้งที่โรงงานโอลิค ซึ่งเริ่มผลิตกระแสไฟฟ้าได้ในปี 2566 คาดการณ์ว่าจะผลิตกระแสไฟฟ้าได้ประมาณ 1,254 เมกะวัตต์ต่อปี เทียบเท่ากับการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ได้ประมาณ 650 ตันต่อปี นอกจากนี้ยังเตรียมแผนการลงทุนเพิ่มเติมในระบบโซลาร์ฯ ขนาด 0.80 เมกะวัตต์ (ในระยะที่ 2)

“ระบบโซลาร์พลังงานแสงอาทิตย์ไม่เพียงช่วยประหยัดต้นทุน แต่ยังสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะทำให้โอลิคสามารถเติบโตในธุรกิจได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว และผลักดันให้เกิดการเข้าถึงยามากขึ้น รวมถึงขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยาให้เติบโตไปข้างหน้า ภายใต้แนวทางการดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล เราจะการยืนหยัดเคียงข้างลูกค้า คู่ค้า พนักงาน และชุมชน”

สำหรับงาน "ซีพีเอชไอ เซาธ์ อีสต์ เอเชีย 2023 (CPHI South East Asia 2023)" งานแสดงเทคโนโลยีและการประชุมด้านอุตสาหกรรมการผลิตยาครบวงจรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จัดขึ้นที่ ฮอลล์ 1-3 ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ระหว่างวันที่ 12-14 กรกฎาคม 2566


กำลังโหลดความคิดเห็น