ผลงานวิจัยล่าสุดจาก WWF ภายใต้หัวข้อ ‘Money Talks: The Value of Conserving Marine Turtles in Asia-Pacific’ ได้สำรวจความคิดเห็น 7,700 ครัวเรือนที่อาศัยอยู่ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก
โดยเฉพาะประเทศจีน, ฟิจิ, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม เกี่ยวกับวิกฤตสูญพันธุ์ของเต่าทะเล และความกังวลต่อผลกระทบทางเศรษฐกิจที่อาจตามมาด้วยการสูญพันธุ์ของเต่าทะเล 6 ใน 7 สายพันธุ์ทั่วโลก
แม้กระทั่งในสามเหลี่ยมคอรัล ซึ่งถือว่าเป็นศูนย์กลางของความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเลของโลก ประชากรเต่าทะเลก็กำลังลดลงอย่างรวดเร็ว เมื่อต้องเผชิญกับภัยคุกคามหลายอย่าง รวมถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มลพิษ และการทำลายแหล่งที่อยู่อาศัย เต่าทะเลยังถูกเก็บเกี่ยวมากเกินไปเพื่อเอาไข่ เนื้อสัตว์ และเปลือกของพวกมันที่เอามาทำเป็นเครื่องประดับ ซึ่งส่วนใหญ่มีการค้าขายกันในเอเชียแปซิฟิก
โดยผู้ตอบแบบสอบถามเชื่อว่า หน่วยงานภาครัฐควรเป็นผู้รับผิดชอบหลักในการอนุรักษ์เต่าทะเล ควรออกแบบนโยบาย และเข้มงวดต่อการบังคับใช้กฎหมายอนุรักษ์และคุ้มครองเต่าทะเลมากขึ้น รวมถึงการจัดจ้างกลุ่มเจ้าหน้าที่ดูแลเต่าทะเลโดยเฉพาะในแต่ละพื้นที่
กลุ่มผู้ตอบแบบสำรวจยังต้องการให้รัฐบาลพัฒนาแนวทางส่งเสริมความเข้าใจในกลุ่มคนท้องถิ่นที่อาศัยใกล้ชายทะเลว่า การอนุรักษ์ประชากรเต่าทะเลเป็นเรื่องดีมากกว่าการทำลายแหล่งวางไข่และฆ่าเต่าทะเลเพื่อผลประโยชน์เชิงพาณิชย์ (เช่น ฆ่าเพื่อนำเนื้อและไข่ไปผลิตเป็นอาหาร หรือฆ่าเอากระดองไปใช้เป็นเครื่องประดับ) และให้เหตุผลว่า ยิ่งจำนวนประชาชนเต่าทะเลและระบบนิเวศท้องทะเลดีขึ้นมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งช่วยนำรายได้เข้าสู่ชุมชน และช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็งมากขึ้นเท่านั้น
จากโมเดลที่ใช้ในงานวิจัยฉบับนี้ พบว่า ครัวเรือนในทวีปเอเชีย-แปซิฟิก ยินดีจ่ายเงินเฉลี่ย 80 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี เพื่อช่วยสนับสนุนกิจกรรมอนุรักษ์เต่าทะเล และเมื่อนำตัวเลขจากโมเดลมาคำนวณเทียบกับจำนวนประชากรที่มีอยู่จริงและมีรายได้ใกล้เคียงกันจำนวน 600 ล้านครัวเรือน จะพบว่า พวกเขาพร้อมจ่ายเงินจำนวนมากถึง 45.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่มากพอจะช่วยสนับสนุนกิจกรรมฟื้นฟูแหล่งที่อยู่อาศัยและงานอนุรักษ์เต่าทะเลเป็นระยะเวลาหนึ่งปี
อย่างไรก็ตาม เรื่องของต้นทุนอาจเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้หลายคนอาจมองข้ามความสำคัญของการอนุรักษ์ชนิดพันธุ์ที่ใกล้สูญพันธุ์ระยะยาว งานวิจัยระบุว่า ต้นทุนในการจัดกิจกรรมปกป้องประชากรเต่าทะเล อาจสูงกว่ามูลค่าเชิงพาณิชย์ที่ได้จากการฆ่าเต่าทะเลถึง 50,000 เท่า หรือเราอาจใช้ต้นทุนสูงถึง 800,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี
ต้นทุนอาจสูงมากขึ้น เมื่อนำปัจจัยด้านอื่นๆ สำหรับงานอนุรักษ์เต่าทะเลมาพิจารณาด้วย เช่น การจัดการเขตนันทนาการและศึกษาหาความรู้เรื่องเต่าทะเล การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ รวมถึงสร้างศักยภาพการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในพื้นที่ที่เต่าทะเลอาศัยอยู่ ซึ่งรายงานฉบับนี้ยังไม่ได้นำมาคำนวณด้วย
“ถ้ารัฐบาลในประเทศที่ยังคงพบประชากรเต่าทะเลยังคงเพิกเฉยต่อภัยคุกคามนี้ การสูญพันธุ์ของเต่าทะเลอาจก่อให้เกิดค่าความสูญเสียต่อระบบเศรษฐกิจมีมูลค่าสูงถึง 39 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี แต่หากรัฐบาลเอาจริงเอาจังในการอนุรักษ์เต่าทะเล ความสำเร็จตรงนี้จะช่วยส่งเสริมให้ชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนดีขึ้น โดยคิดเป็นมูลค่า 54 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี”ดร.ลูค แบรนเดอร์ (Dr. Luke Brander) นักเศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อม และหนึ่งในคณะผู้จัดทำรายงาน ให้คำเตือน
ข้อมูลในงานวิจัยได้รับการเปิดเผยครั้งแรกระหว่างการประชุมใหญ่สมัชชาการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมโลก (The World Conservation Congress) ณ เมืองมาร์แซย์ ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งจัดขึ้นทุก ๆ 4 ปี โดยในปีนี้ การประชุมเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่วันที่ 3 กันยายน และสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 11 กันยายนที่ผ่านมา
ทั้งนี้เต่าทะเลอาศัยอยู่เฉพาะในทะเลเขตร้อนและเขตอบอุ่น โดยพบอยู่ทั้งหมด 7 ชนิดทั่วโลก สำหรับประเทศไทย พบเต่าทะเลเพียง 5 ชนิดเท่านั้น ได้แก่ เต่ามะเฟือง, เต่าตนุ, เต่ากระ, เต่าหญ้า และเต่าหัวค้อน
ข้อมูลอ้างอิง WWFThailand,
:https://rb.gy/j93lwc