กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เร่งแก้ปัญหาให้คนกับช้างป่า ในพื้นที่ทับซ้อน บนถนน 3259 ที่มีช้างป่าออกมาตั้งด่านลอยคอยดักขอกินพืชผลจากรถบรรทุก ล่าสุดส่ง "หมอล็อต" พร้อมเจ้าหน้าที่ ขสป.เขาอ่างฤๅไนลงพื้นที่หาจุดสมดุล สร้างความเข้าใจแก่ผู้ใช้ถนน
หลังสิ้นตำนาน “ด้วนด่านลอย” ปรากฎว่ายังมีช้างป่าอีกหลายตัวที่ผ่านการสั่งสอน เลียนแบบ และแข่งขัน เพื่อที่จะได้กินพืชเกษตรกรรมอย่างง่ายๆ จากรถบรรทุกที่ขนส่งบนถนนทางหลวง 3259 โดยเฉพาะอ้อย ที่หอมหวาน ชวนติดใจ
การยับยั้ง สกัดกั้น สิ่งที่อาจจะบานปลาย จึงเป็นยุทธวิธีที่สำคัญ นั่นคือ “การทำความเข้าใจและให้ความร่วมมือ”
ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ ธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้มอบหมายให้ หมอล็อต-ภัทรพล มณีอ่อน นายสัตวแพทย์ประจำกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ลงพื้นที่ที่มีช้างและสัตว์ป่า เพื่อจัดระบบสวัสดิภาพ ซึ่งอาจเป็นคำที่คุ้นหู แต่มันคือเรื่องใหม่สำหรับคุณภาพชีวิตของช้างป่าในถิ่นอาศัย ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องปรับเปลี่ยนวิธีการบางอย่างให้สอดคล้องกับพฤติกรรมและความต้องการของช้างป่าที่เรียนรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาด้วยเช่นกัน
เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน เป็นพื้นที่หนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด ตอนนี้มีช้างป่าหลายตัว กระจายตั้งด่านตามจุดต่างๆ บ้างก็รวมตัวกัน จับคู่สอนกัน ในการดักรื้อค้น รถขนพืชเกษตรกรรม ซึ่งส่วนใหญ่เข้าใจและยอมให้ช้างป่ากิน เพราะคิดว่าเล็กๆ น้อยๆไม่เป็นไร เป็นการทำบุญเสียด้วยซ้ำ แต่สิ่งนั้นเองกลับทำให้ช้างป่าที่เรียนรู้โดยเงื่อนไขอยู่เสมอ
กลายเป็นว่าทำให้ช้างป่ามีพฤติกรรมเลียนแบบวิธีหากินง่ายๆ ในตอนเย็นๆ พอได้ยินเสียงเครื่องยนต์และแรงสั่นสะเทือนของรถพ่วงขนาดใหญ่ ก็จะออกมาดักรอ พอรถจอดก็รื้อของออกมากิน สบายใจ ช้างตัวอื่นเห็นเพื่อนกินได้ ก็เอาด้วย ตัวไหนดีหน่อยก็แบ่งโซนกัน ตัวไหนขี้เกียจหน่อยก็ไปแทง ทำร้ายตัวอื่น ตัวไหนใจดี ก็สอนตัวอื่นๆให้ทำตาม จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่สี่ปีที่แล้วมี 1 ตัว คือเจ้าด้วนด่านลอยซึ่งเป็นเสมือนต้นแบบ จนตอนนี้เพิ่มมาเป็น 11 ตัว (ตัวหลักๆ 4 ตัว)
“ถ้าไม่ทำอะไรเลย โอกาสที่ช้างป่าออกนอกพื้นที่ก็จะมีมากขึ้น”
วีระพงศ์ โคระวัตร หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤๅไน กล่าว และได้ร่วมกับหมอล็อต ลงพื้นที่และวางแผน ปรับยุทธวิธีในการจัดการสถานการณ์ช่วงฤดูแล้งที่มีรถบรรทุกขนส่งอ้อยและมันสำปะหลังมากขึ้น ด้วยการให้คำแนะนำและปฎิบัติจริง (Workshop) ให้กับผู้ที่สัณจรบนถนนเส้นนี้ทั้งขาประจำและขาจร ด้วยการจัดชุดเจ้าหน้าที่สองชุด ได้แก่
ชุดแรก (lecture) ประจำอยู่หน้าด่านทางเข้าทั้งสองทาง แจ้งเหตุการณ์ว่ามีช้างป่าอยู่ข้างหน้า ให้ความรู้ คำแนะนำ เกี่ยวกับการปฎิบัติ เมื่อเจอช้างป่าบนถนน (การปฎิบัติเมื่อเจอช้างป่าบนถนนของป่าแต่ละพื้นที่จะไม่เหมือนกันเสียทั้งหมด)และที่สำคัญ ห้ามจอดรถให้อาหารช้างป่า
ชุดสอง (practical) เป็นชุดเคลื่อนที่เร็ว เพื่อบริหารจัดการสถานการณ์ ในการอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยของผู้สัญจร และชิงจังหวะเพื่อไม่ส่งเสริมให้ช้างป่าเสียพฤติกรรม (ช้างดักหน้า หยุดรถ ช้างเดินมาข้างรถ หน้าโล่ง เคลื่อนรถผ่านไปช้าๆ)
หมอล็อต บอกว่าสิ่งที่น่าประทับใจ ผู้สัญจรและผู้ประกอบการให้ความร่วมมือ และปฎิบัติตามคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่เป็นอย่างดี (เปลี่ยนจากความคิดว่าทำบุญและกินเล็กๆน้อยๆไม่เป็นไร) รวมถึงยังเอื้ออาทรต่อรถขนาดเล็ก ด้วยการช่วยกั้นให้ขับผ่านช้างป่าไปได้ ซึ่งเมื่อสิ้นสุดฤดูกาลขนอ้อย มันสำปะหลัง เหตุการณ์ช้างป่าตั้งด่านลอยก็จะเบาลง
ทั้งหมดนี้เป็นการจัดการสถานการณ์เฉพาะหน้า และใช้เหตุการณ์ในการสร้างความเข้าใจกับประชาชน ที่เกิดจาก “ช้างเรียนรู้เรา เราเรียนรู้ช้าง...เรียนรู้ไปด้วยกัน”
การเรียนรู้อะไรของช้างป่าที่ผิดธรรมชาติ มักตามด้วยปัญหาใหม่ๆ เสมอ ไม่ช้าก็เร็ว ดังนั้นการคิด ทบทวนสภาพของเหตุการณ์ในอดีต สะท้อนปัจจุบัน ซึ่งจะทำให้เรามองเห็นอนาคตชัดเจนขึ้น
ข้อมูลที่มา ประชาสัมพันธ์ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช