xs
xsm
sm
md
lg

รีสตาร์ท! รัฐวิสาหกิจไทย เร่งขับเคลื่อนสู่วิถีใหม่ที่ยั่งยืน

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เสริมแกร่ง รัฐวิสาหกิจไทยยุคใหม่ จัดเสวนา พลังรัฐวิสาหกิจไทย วิถีใหม่ วิถียั่งยืน โดย ชมรมรัฐวิสาหกิจเพื่อสังคม (ชรส.) เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ในสถานการณ์ที่ต้องปรับตัวและปรับเปลี่ยนไปสู่วิถีใหม่ (New Normal)
ด้วยสถานการณ์โลกในวันนี้ ถูก Disrupt ทั้งจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว ทำให้บริบทของรัฐวิสาหกิจจากนี้ไป ต้องเปลี่ยนแปลงและตอบโจทย์เทรนด์ใหม่ของธุรกิจที่มุ่งสู่วิถียั่งยืน

จากเหตุผลดังกล่าว ชมรมรัฐวิสาหกิจเพื่อสังคม (ชรส.) จึงขับเคลื่อนการเสริมแกร่งให้กับ 52 รัฐวิสาหกิจไทยและองค์กรเครือข่าย โดยเริ่มที่วงเสวนา “พลังรัฐวิสาหกิจไทย วิถีใหม่ วิถียั่งยืน” นำวิทยากรผู้บริหารระดับสูงจากรัฐวิสาหกิจที่ประสบผลสำเร็จมาแล้วจากการดำเนินงานด้านความยั่งยืน และด้านความรับผิดชอบต่อสังคม ได้แก่ บมจ.ปตท., ธกส. ,กฟผ. และ กปน. มาแชร์ประสบการณ์ เพราะสร้างผลงานจนเป็นที่ประจักษ์จากรางวัลมากมายด้านซีเอสอาร์ และความยั่งยืน โดยเฉพาะรางวัลที่ได้รับจากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ในฐานะเสาหลักในการประเมินผลการดำเนินให้กับรัฐวิสาหกิจทุกปี


อรวดี โพธิสาโร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่กลยุทธ์องค์กร บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าที่ผ่านมา กลุ่มปตท.วางกลยุทธ์สู่ความยั่งยืนมาจาก หนึ่งการบริหารจัดการที่ดี สอง การกำกับดูแลที่ดีมีธรรมาภิบาล สาม มีวิสัยทัศน์ สี่ การอยู่อย่างยั่งยืนจะต้องดูแลคนรอบข้างให้ดีด้วย หมายถึงชุมชน สังคม ประชาชน และประเทศชาติ นอกจากนี้ กลุ่มประชาชนรายย่อย ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นของเราที่มีเกือบครึ่งหนึ่งของหุ้นทั้งหมด เราต้องทำให้ได้ผลตอบแทนที่ดี พอทุกอย่างดีขึ้น เกิดผลสำเร็จที่สามารถนำไปใช้ได้จริง ส่วนรางวัลที่มอบให้ก็จะตามมาเอง

ความสำเร็จของกลุ่ม ปตท.ขึ้นอยู่กับแต่ละบริบท แต่จุดสำคัญจะต้องมีการต่อยอดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างคุ้มค่า อย่างน้ำมันเชื้อเพลิง ก๊าซธรรมชาติ นำมาต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี นำความสามารถของพนักงานมาสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เราคิดเสมอในด้านผลกระทบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม เมื่อผลิตภัณฑ์สร้างก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จึงมีการส่งเสริมปลูกต้นไม้ ปลูกป่า โดยไปร่วมกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญ จนนำไปสู่การสร้างสถาบันปลูกป่า และมีพื้นที่ป่าในกรุงที่ช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์

สมเกียรติ กิมาวหา รองผู้จัดการ ด้านพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) กล่าวว่า การทำมากกว่าเป็นธนาคาร ธกส.น้อมนำหลักเศรษฐกิจพอเพียง ในรัชกาลที่ 9 มาเป็นแนวทาง มีการบ่มเพาะศูนย์เรียนรู้ทางการเงิน งานสนับสนุนภาครัฐ เช่นการเยียวยาผู้ประสบผลกระทบโควิด-19 การทำธนาคารต้นไม้ เชื่อมโยงชุมชน มากกว่านั้นคือการตลาด ยกระดับสิ่งแวดล้อม เช่นนวัตกรรมฝายมีชีวิต และตอนนี้สนับสนุนเศรษฐกิจฐานราก เช่น ร้านค้าชุมชน โครงการพออยู่พอกิน ให้ผลิตภัณฑ์ของชุมชนเข้ามาขายในเมืองที่สำนักงานใหญ่ เพราะศักยภาพชุมชนหลายแห่งมีแต่คนส่วนใหญ่ยังไม่เห็น
ธกส.มีกรอบและระบบการจัดการที่ดี แต่ก็ต้องทบทวนเพื่อตอบโจทย์ฐานลูกค้า ซึ่งเป็นเกษตรกรได้ดีมากน้อยแค่ไหน วิถีของคน ธกส. ตั้งแต่การน้อมนำหลักเศรษฐกิจพอเพียง ทำอย่างไรให้ลูกค้า พนักงานเข้มแข็ง เช่น ช่วงพี่น้องเกษตรกรประสบภัย ก็นำเรื่องหลักประกันภัยพืชผลเข้ามา ดังนั้น รางวัลที่เคยได้รับถือว่าเกิดขึ้นได้เพราะรอยยิ้มของเกษตรกร

โควิด-19 มาเยือนเป็นสถานการณ์กำหนดให้เราต้องเติมการพัฒนา ทำให้ลูกค้ายกระดับมาใช้บริการเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ สมาร์ทโฟน ทำให้ลูกค้าเห็นว่าบริการได้รวดเร็วกว่า และปลอดภัย ขณะที่การทำ CSR มีการนำนวัตกรรมเข้ามาใช้ วันนี้ธนาคารโรงเรียนของเด็กๆเมื่อก่อนเราลงไปตรวจเยี่ยมวันนี้สามารถ Real time เข้ามาดูข้อมูลของธนาคารโรงเรียนน้องๆหนูๆ ธนาคารต้นไม้ เราไปติดจีพีเอส ซึ่งบอกความเจริญเติบโตของต้นไม้ สิ่งเหล่านี้เราเรียนรู้กันในเวลาช่วงสั้นๆ แต่กลับเป็นพัฒนาการที่สร้างความยั่งยืน และอีกส่วนที่เรารณรงณ์กันไว้เรื่องพืชผลเกษตรอินทรีย์ มาวันนี้เป็นแพลตฟอร์มของการค้าขายบนโลกออนไลน์แล้ว ก็เป็นส่วนหนึ่งที่เราเรียนรู้จากโควิดที่สอนเราให้มีความแข็งแกร่ง

ด้าน จรัญ คำเงิน ผู้ช่วยผู้ว่าการบริหารจัดการความยั่งยืน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวว่า เมื่อพูดถึงรางวัลที่การันตีองค์กร ก็อยากให้ดูถึงความเป็นจริงมากกว่า แต่ในปัจจุบันบริบทด้านสิ่งแวดล้อมนั้นเปลี่ยนแปลงไปรวดเร็วมาก อย่างเช่นกรณีการทำ CSR ที่อาจารย์มีชัย วีระไวทยะ แนะนำนั้นเราจะต้องมีการศึกษาเรียนรู้ถึงวิถีของชุมชนแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกัน บางครั้งไม่สามารถนำจากที่ใดที่หนึ่งไปใช้ด้วยกันได้ทั้งหมด เราก็มีการลองผิดลองถูกบ้าง แต่จุดหมายปลายทางคือเพื่อสังคมในชุมชนเช่นเดียวกัน

จากนี้ไปพวกเราจะตั้งหน้าตั้งตาทำธุรกิจอย่างเดียวคงไม่ได้ แต่จะต้องคำนึงถึงสังคมและสิ่งแวดล้อมเสมอ ปัจจัยแห่งความสำเร็จ อยากจะต่ออีกคำนึงก็คือ ความยั่งยืน ผมว่า keyword มันอยู่ที่คุณค่าร่วมที่เราจะแบ่งปันกัน แต่คุณค่าร่วมที่จะแบ่งปันกัน มันมาจาก 3 ปัจจัยหลัก ปัจจัยแรกก็คือแน่นอน จากองค์กรเรา แต่เฉพาะองค์กรอย่างเดียวโดยไม่ยึดโยงกับสิ่งแวดล้อมตรงนี้ความสมดุลก็จะไม่มี โดยที่ 3 คือทางด้านสังคม องค์กร สังคมและสิ่งแวดล้อม เหล่านี้ เราจะแบ่งปันคุณค่าร่วมซึ่งกันและกันอย่างไร ต่อไปเราไม่ควรมองสังคมเป็นผู้ที่จะต้องรับ แต่ที่ กปน. ได้กล่าวไว้ว่า โตไปด้วยกัน เพราะว่าชุมชนสังคมโต เราก็จะเติบโตและยั่งยืนไปด้วยกัน แต่อย่างไรก็ตาม เราเองก็ไม่มีความเชี่ยวชาญทุกด้านทุกมุม ไม่ว่าสิ่งแวดล้อมหรือสังคม เราจะต้องออกไปร่วมกับเครือข่ายพันธมิตร ขณะเดียวกันภายในเราเอง แต่ละห่วงโซ่คุณค่า เราก็มีศักยภาพมีขีดความสามารถ อันไหนที่ดึงออกไปแชร์แบ่งปันกับสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม ตรงนั้นก็เป็นแนวทางหนึ่งที่การไฟฟ้าแห่งประเทศไทยดำเนินการอยู่ ตอนนี้จับหลัก คิดพื้นฐาน แนวทาง คุณค่าร่วมที่เราจะต้องแบ่งปันกัน ผมว่าอันนี้เป็นคีย์เวิร์ดที่จะขมวดให้คนเห็นความสำเร็จขององค์กร

ขณะที่ ราชิรัช อุทาโย ผู้ช่วยผู้ว่าการประปานครหลวง (กปน.) กล่าวว่า ทั้งกปน.และกปภ.มีโครงการร่วมกันคือ ทำน้ำประปาที่สะอาดและปลอดภัย โดยส่งเสริมประชาชนให้มีการใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า เพราะเราห่วงใยสภาพแวดล้อม มีการทำซีเอสอาร์ และเอสดี สร้างความสมดุล ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม และน้อมนำพระราชดำริ ในรัชกาลที่ 9 มีน้ำมีชีวิต โดยการทำทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ต้นน้ำ มีการปลูกป่า สร้างฝายชะลอน้ำ เพื่อเติมน้ำต้นทุน กลางน้ำ มีโครงการประปาโรงเรียน เพราะยังขาดน้ำสะอาด ทำมาตั้งแต่ปี 2557 จนถึงปัจจุบัน กปน.รวมใจรักษ์น้ำให้ความรู้แก่นักเรียนและชุมชน ปลายน้ำ มีโครงการบ้านวัดโรงเรียน ทำมา 4 ปีแล้ว เปลี่ยนก๊อกประหยัดน้ำ ทำฉลากประหยัดน้ำ

คำหนึ่งที่อยากบอก คือ เราจะต้องเติบโตอย่างยั่งยืนไปด้วยกัน หรือ Grow Together ดังนั้นสิ่งที่ กปน.ได้รับรางวัลมากมายแค่ไหน คงไม่เท่ากับรอยยิ้มของคนที่มาร่วมกิจกรรม เช่น โครงการช่างประปาเพื่อประชาชน ทำให้คนมาร่วมได้ความรู้นำไปใช้ช่วยเหลือตนเองและคนอื่น หรือทำเป็นอาชีพ

เรื่องโควิด เมื่อโรคเปลี่ยนโลก กปน. ก็ต้องเปลี่ยน เรา Change new Normal อย่างไร เบื้องต้นเลยเมื่อเกิดขึ้นใหม่ๆ เรามองเห็นว่าประชาชนเป็นสิ่งสำคัญ เป็นหัวใจของเรา เราให้ประชาชนผู้ใช้น้ำ 10 คิวแรกใช้ฟรีแล้วก็ในส่วนของเกินจาก 10 คิวไปนั้น ก็ลด 20% เราช่วยประชาชนได้เท่าไหร่คือโจทย์ที่เราต้องคิด ไม่ใช่เราเสียเท่าไหร่ มาตรการนี้ช่วยเพิ่มรายได้ลดรายจ่ายให้กับประชาชน งดการเก็บน้ำ งดการตัดน้ำ จนถึงเดือนกันยายน 2563 นอกจากนั้น ในกระบวนการทำงานของเราก็มีการปรับวิธีการในการทำงาน เช่น เมื่อก่อนเราเคยมีการอบรมสัมมนา อบรมวิชาชีพช่างประปาเพื่อประชาชน พอเกิด โควิด 19 ก็ต้อง Change to new Normal โดยการเปลี่ยนเป็นวิธีการฝึกอบรมแบบออนไลน์ แล้วก็เปิดแอปในไลน์พิเศษ พูดคุยถึงปัญหาน้ำ เรียกว่าหมอน้ำ

มีชัย วีระไวทยะ นายกสมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน และประธานมูลนิธิมีชัย วีระไวทยะ ผู้ก่อตั้งชมรมฯ และกฤษณ์ อิ่มแสง ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และประธานชมรมรัฐวิสาหกิจเพื่อสังคม กับผู้ร่วมเสวนา  ณ การยางแห่งประเทศไทย สำนักงานใหญ่

กฤษณ์ อิ่มแสง
บริบทรัฐวิสาหกิจยุคใหม่ ต้องตอบโจทย์เทรนด์ของโลกยั่งยืน

กฤษณ์ อิ่มแสง ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในฐานะประธานชมรมรัฐวิสาหกิจเพื่อสังคม (ชรส.) กล่าวว่าบทบาทของ ชรส.จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงไปตามบริบทของสังคม แต่เดิมเคยใช้ชื่อว่า ชมรมรัฐวิสาหกิจเพื่อชุมชน (ชรช.) ได้เปลี่ยนใหม่เป็น ชมรมรัฐวิสาหกิจเพื่อสังคม (ชรส.) เมื่อต้นปีนี้ก็ด้วยสถานการณ์ของประเทศ และผลกระทบต่อสังคมซึ่งทำให้วิถีชีวิตของคนเปลี่ยน ดังนั้น การขับเคลื่อนความยั่งยืนเพื่อให้รัฐวิสาหกิจยุคใหม่จะต้องตอบโจทย์เทรนด์ของการพัฒนาอย่างยั่งยืน และรัฐวิสาหกิจเองจำเป็นต้องสร้างความเข้มแข็งให้กับตนเองก่อนนำไปต่อยอดช่วยเหลือสังคมภายนอก