น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการโครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ฤดูการผลิต 2563 วงเงิน 313.98 ล้านบาท โดยใช้เงินงบประมาณคงเหลือในส่วนที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้เบิกจ่ายจากสำนักงบประมาณ เพื่อดำเนินในโครงการฯ ปีการผลิต 2562 จำนวน 48.21 ล้านบาท และเสนอของบประมาณเพิ่มเติม จำนวน 265.77 ล้านบาท โดยให้ ธ.ก.ส. ทดรองจ่ายเงินอุดหนุนค่าเบี้ยประกันแทนรัฐบาล จำนวน 265.77 ล้านบาท และให้เบิกเงินชดเชยตามจำนวนที่จ่ายจริง พร้อมด้วยต้นทุนเงินในอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน ธ.ก.ส. บวก 1% ในปีงบประมาณถัดไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เพื่อให้เกษตรกรมีเครื่องมือจัดการความเสี่ยงด้านภัยพิบัติผ่านระบบการประกันภัย และเป็นการต่อยอดความช่วยเหลือของภาครัฐในการรองรับต้นทุนการเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้กับเกษตรกรเมื่อประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ รวมทั้งเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐ
สำหรับพื้นที่เป้าหมายรับประกันภัยโครงการฯ ปีการผลิต 2563 รวม 3 ล้านไร่ ปรับลดลง 3 แสนไร่ และกำหนดให้ครอบคลุมพื้นที่เพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทุกพื้นที่ โดยกำหนดนิยามผู้เอาประกันภัย คือ เกษตรกรผู้เพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกร (ทบก.) กับกรมส่งเสริมการเกษตร ในปีการผลิต 63/64 จากเดิมที่กำหนดให้ปีการผลิต 62/63 รับประกันภัยเฉพาะพื้นที่เพาะปลูกที่มีเอกสารสิทธิ์
ค่าเบี้ยประกันภัย รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและอากรแสตมป์ โดนค่าเบี้ยประกันภัย Tier 1 (รวม 2.9 ล้านไร่) ค่าเบี้ยประกันภัย 172.27 บาทต่อไร่ เท่ากันทุกพื้นที่ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่ม 1 ลูกค้า ธ.ก.ส. ทุกรายที่ได้รับการอนุมัติสินเชื่อปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ไม่เกิน 2.8 ล้านไร่ (ประกันภัยกลุ่ม) และกลุ่ม 2 ลูกค้า ธ.ก.ส. ที่ไม่ได้รับอนุมัติสินเชื่อปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และเกษตรกรทั่วไป ไม่เกิน 1 แสนไร่ (ประกันภัยรายบุคคล) โดยรัฐจะเป็นผู้จ่ายค่าเบี้ยประกันภัยให้ทั้ง 2 กลุ่ม จำนวน 108.27 บาทต่อไร่ ส่วนที่เหลืออีก 64 บาทต่อไร่ ในกลุ่ม 1 ธ.ก.ส. เป็นผู้จ่ายให้ ส่วนกลุ่ม 2 เกษตรกรต้องจ่ายเอง
สำหรับค่าเบี้ยประกันภัย Tier 2 เกษตรกรจ่ายเองตามระดับความเสี่ยงในแต่ละพื้นที่ (รวม 1 แสนไร่) ปรับลดจำนวนพื้นที่จากเดิมที่กำหนดไว้ 3 แสนไร่ เบี้ยประกันภัยในแต่ละพื้นที่ คือ พื้นที่เสี่ยงภัยต่ำ 97.37 บาทต่อไร่ พื้นที่เสี่ยงภัยปานกลาง 108.07 บาทต่อไร่ และพื้นที่เสี่ยงภัยสูง 118.77 บาทต่อไร่
ส่วนวงเงินความคุ้มครองครอบคลุมภัยพิบัติธรรมชาติ 7 ภัย ได้แก่ น้ำท่วมหรือฝนตกหนัก ภัยแล้ง ฝนแล้งหรือฝนทิ้งช่วง ลมพายุหรือพายุไต้ฝุ่น ภัยอากาศหนาวหรือน้ำค้างแข็ง ลูกเห็บ ไฟไหม้ และภัยช้างป่า วงเงินคุ้มครองในพื้นที่ Tier1 จำนวน 1,500 บาทต่อไร่ พื้นที่ Tier2 จำนวน 240 บาทต่อไร่ แต่รวมแล้วไม่เกิน 1,740 บาทต่อไร่
ภัยศัตรูพืชหรือโรคระบาด วงเงินคุ้มครองในพื้นที่ Tier1 จำนวน 750 บาทต่อไร่ พื้นที่ Tier2 จำนวน 120 บาทต่อไร่ แต่รวมแล้วไม่เกิน 870 บาทต่อไร่ ระยะเวลาการขายประกันภัย แบ่งเป็น 2 รอบ คือ รอบที่ 1 สำหรับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ฤดูฝน นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบโครงการฯ ถึงวันที่ 31 พฤษภาคมนี้
ส่วนรอบที่ 2 สำหรับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ฤดูแล้ง ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 – 15 มกราคม 2564 โดยลูกค้า ธ.ก.ส. เริ่มคุ้มครองตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ ส่วนลูกค้า ธ.ก.ส. ที่ไม่ได้รับสินเชื่อและเกษตรกรทั่วไป คุ้มครองตั้งแต่วันที่ขอเอาประกันภัย
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดความคุ้มค่า และบรรลุเป้าหมายตามที่กำหนดไว้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้กำชับให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมให้เกษตรกรตระหนักถึงความสำคัญของระบบประกันภัยพืชผลทางการเกษตร นอกจากนี้ ให้มีส่วนร่วมในการรับผิดชอบค่าเบี้ยประกันภัยมากขึ้น เพื่อสร้างวินัยในการเข้าร่วมโครงการ รวมทั้งเพื่อช่วยลดภาระงบประมาณที่ใช้ในการอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยลง ซึ่งถือเป็นหลักการที่สำคัญประการหนึ่งในการดำเนินโครงการประกันภัยพืชผลทางการเกษตรเช่นเดียวกับโครงการประกันภัยข้าวนาปี