วิกฤติโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อผู้คนและธุรกิจทั่วโลกจนทำให้เกิดการปรับตัวสู่สิ่งที่หลายคน เรียกว่า “New Normal” แต่ในความเป็นจริงทุกอย่างจะไม่มีทางเป็นปกติเหมือนเดิมอีกต่อไป หรืออาจจะเรียกได้ว่าเรากำลังเข้าสู่สิ่งที่เรียกว่า “Never Normal” เพราะทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลงได้ทุกเมื่อ ทำให้ทุกคนในสังคมต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวอยู่เสมอ และหากเรามีการเตรียมพร้อมที่ดีพอ ไม่ว่าโลกจะเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นอย่างกะทันหัน ก็จะไม่มีอะไรที่อยู่เหนือความคาดหมายของเราอีกต่อไป
สมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ผู้นำองค์กรด้านพลังงานหนึ่งเดียวจากประเทศไทยบนเวทีงานสัมมนาระดับโลกอย่าง “UN Global Impact Leaders Summit 2020” งานสัมมนาด้านความยั่งยืนระดับโลกที่จัดขึ้น ในรูปแบบ Virtual Global Conference ครั้งแรก เมื่อวันที่ 15-16 มิถุนายน ที่ผ่านมา โดยมีผู้นำจากภาคธุรกิจ สหประชาชาติ ประชาสังคม และสถาบันการศึกษา รวมกว่า 1,000 คนจากนานาประเทศมารวมตัวกัน เพื่อร่วมหาแนวทางในการก้าวผ่านวิกฤติโควิด-19 พร้อมฟื้นฟูเศรษฐกิจและโลกให้ดีขึ้น
ซีอีโอบ้านปูได้ให้ทางออกต่อการเตรียมความพร้อมไปสู่ Never Normal ไว้ว่า “จากการที่ดิฉันได้ทำงานกับบ้านปูฯ มาตั้งแต่ต้น และผ่านวิกฤติครั้งสำคัญมาหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นวิกฤติต้มยำกุ้ง ปี 2540 หรือวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ปี 2551 สิ่งหนึ่งที่ได้เรียนรู้ในการบริหารธุรกิจและกำลังคนของบริษัทฯ ให้สามารถฟันฝ่าวิกฤติมาได้ทุกครั้ง ต้องเริ่มต้นจากการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่งและมีความยืดหยุ่น (Resilient) ให้พนักงานเรียนรู้ที่จะตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงได้อย่างทันท่วงทีเสมอ”
ที่ผ่านมา บ้านปูฯ ฝ่าวิกฤติการณ์ต่างๆ มาได้ด้วยวัฒนธรรมองค์กร “บ้านปู ฮาร์ท” (Banpu Heart) ที่ส่งเสริมให้พนักงานทุกคนมีใจรักในสิ่งที่ทำ (Passionate), มีความคิดสร้างสรรค์เชิงนวัตกรรม (Innovative) และมีความมุ่งมั่นและยืนหยัดเพื่อผลลัพธ์ของงาน (Committed) ทำให้บ้านปูฯ เป็นองค์กรที่มีความแข็งแกร่งและยืดหยุ่น (Resilient) ที่พร้อมจะพัฒนาปรับปรุงองค์กรให้ดีขึ้น และผ่านพ้นวิกฤติไปอย่างแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมเสมอ และสิ่งนี้เอง ที่เป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้ทุกคนเตรียมพร้อม และไม่ตื่นตกใจกับเหตุไม่คาดฝันที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกมากในยุค Never Normal ที่เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นหลังวิกฤตการณ์โควิด-19 ในครั้งนี้
“วิกฤติโควิด-19 เกิดขึ้น เรายังสามารถรับมือได้ด้วยความยืดหยุ่นในการบริหารงานโดยเราได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะบ้านปูฯ ได้เตรียมระบบการบริหารจัดการความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity Management) ที่มีประสิทธิภาพไว้รองรับสถานการณ์ เตรียมระบบไอทีไว้รองรับการทำงานทางไกลได้อย่างราบรื่นตามแผน Digital Transformation ที่วางเอาไว้ก่อน และมีมาตรฐานการรักษาระยะห่างและการรักษาความสะอาดอย่างเข้มงวด โดยงดการเดินทางและให้ทุกคนสามารถทำงานจากที่บ้านได้”
ทุกการตัดสินใจ บ้านปูฯ ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความยั่งยืนเสมอ เพราะนี่เป็นหนึ่งในสิ่งที่บ้านปูฯ ให้ความสำคัญมากที่สุด “หัวใจสำคัญของความยั่งยืนด้านพลังงาน (Energy Sustainability) สำหรับบ้านปูฯ มีอยู่ 3 ส่วนคือ ราคาสมเหตุสมผล (Affordability) ความต่อเนื่องในการการส่งมอบพลังงาน (Reliability) และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ( Eco-friendliness) ในขณะเดียวกัน แน่นอนว่าธุรกิจย่อมต้องการตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค บ้านปูฯ จึงขับเคลื่อนธุรกิจให้สอดคล้องกับเทรนด์พลังงานรูปแบบใหม่ 3Ds นั่นก็คือ การกระจายตัวของแหล่งผลิตและจำหน่ายพลังงาน ผ่านเทคโนโลยี เช่น โซลาร์รูฟท็อป ระบบจัดเก็บพลังงาน รถพลังงานไฟฟ้า และการพัฒนาสมาร์ทซิตี้ (Decentralization) การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์โดยการเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาด ทั้งโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และโรงไฟฟ้าพลังงานลม (Decarbonization) และการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลบริหารจัดการระบบพลังงาน (Digitalization) โดยดำเนินการผ่านกลยุทธ์ Greener & Smarter ที่ช่วยให้เรารับมือกับความเปลี่ยนแปลงและพาเราก้าวสู่ความสำเร็จที่แข็งแกร่งและมั่นคงยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามเราคงต้องได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐใน D อีกตัวหนึ่ง คือ Deregulation ในการออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อสนับสนุน 3Ds แรกให้เกิดขึ้นได้จริงควบคู่กันไป”
สมฤดีกล่าวถึงแนวทางปฏิบัติของบ้านปูฯ ในฐานะผู้นำธุรกิจพลังงานแบบครบวงจรในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ที่จะช่วยสร้างความมั่นใจถึงการสร้างความยั่งยืนให้กับทั้งธุรกิจและโลกใบนี้ โดยต่อยอดจากแรงบันดาลใจในการผลักดัน Sustainable Development Goals (SDGs) หรือ เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ขององค์การสหประชาชาติ (United Nations: UN) ซึ่งคุณสมฤดีสรุปได้เป็น 4 แนวทาง ได้แก่
สร้างการมีส่วนร่วมกับกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วนในการสร้างความยั่งยืน ซึ่งหมายรวมถึงการลดทอนผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19
E (nvironmental)-Link เชื่อมโยงเรื่องสิ่งแวดล้อม ทั้งการสร้างความยั่งยืนและลดผลกระทบเชิงลบ เป็นส่วนหนึ่งในเป้าหมายในการดำเนินงานธุรกิจ โดยเฉพาะการรักษาระบบนิเวศน์ ความหลากหลายทางชีวภาพ และพื้นที่ป่า
ชูประเด็น ‘S’ (Social - สังคม) และ ‘G’ (Governance - บรรษัทภิบาล) ตามแนวคิด ESG โดยให้ความสำคัญกับการผลักดันการเติบโตและสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับสังคม รวมทั้งดำเนินกิจการอย่างโปร่งใส มีจรรยาบรรณและเป็นธรรม
Greener & Smarter Investment Focus นั่นคือให้ความสำคัญกับการลงทุนในพอร์ตโฟลิโอที่เกี่ยวเกี่ยวกับการสร้างพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการนำเสนอแนวทางให้ประชาชนและผู้ประกอบการสามารถใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด (Energy Efficiency)
“ในภาพรวม โควิด-19 คือบททดสอบที่ย่อมเกิดขึ้นได้ทุกเวลา และหากเรามีความตระหนักรู้ (Consciousness) ต่อการเปลี่ยนแปลงทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก นอกจากจะทำให้เราสามารถพัฒนาศักยภาพในการเตรียมพร้อมเพื่อรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพได้ดียิ่งขึ้นแล้ว ยังช่วยให้เราสามารถกำหนดผลลัพธ์เชิงบวกที่จะเกิดขึ้นในอนาคตทั้งต่อตัวเอง องค์กร สังคมและสิ่งแวดล้อมได้อีกด้วย โดยเมื่อโควิด-19 ผ่านพ้นไป วิกฤติการณ์เปลี่ยนแปลงเรื่องสภาวะอากาศอาจเป็นวิกฤติที่ใหญ่กว่าโควิดและส่งผลกระทบกับผู้คนทั่วโลกได้มากกว่าโควิดเสียอีกก็เป็นได้ นี่จึงเป็นเหตุผลที่บ้านปูฯ ให้ความสำคัญกับการตระหนักรู้ถึงการเปลี่ยนแปลง วิสัยทัศน์ในเรื่องของความยั่งยืน และการทำธุรกิจพลังงานโดยมีความยั่งยืนเป็นหัวใจสำคัญ” สมฤดี กล่าวสรุป