xs
xsm
sm
md
lg

อนาคตไทยออยล์ ก้าวย่างบนความยั่งยืน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


•ขึ้นแท่นปีที่ 55 ขององค์กรชั้นนำแถวหน้าของไทยที่ติดระดับโลก
•กิจการมั่นคงด้วยหลักธรรมาภิบาล ควบคู่กับการส่งเสริมสังคมและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
•ต่อยอดธุรกิจหลัก เพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์และลดความผันผวน
•คุณภาพ “คนไทยออยล์” คือปัจจัยสำคัญหนุนนำความก้าวหน้าองค์กร

เมื่อพลิกหน้าประวัติศาสตร์ของธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียมระดับโลกจะพบว่า มีเพียงไม่กี่รายที่สามารถยืนหยัดอยู่บนเส้นทางธุรกิจนี้ได้มากกว่าครึ่งศตวรรษ เนื่องจากการดำเนินธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียมต้องเผชิญกับความท้าทายและการแข่งขัน ซึ่งต้องมีการบริหารจัดการที่แข็งแกร่งมากพอ พร้อมทั้งการมีวิสัยทัศน์กว้างไกล จึงเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับ”ไทยออยล์”ซึ่งเป็นบริษัทของไทยและเป็นผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมพลังงานของประเทศ ที่สามารถเติบโตเคียงคู่สังคมไทยมาอย่างยาวนานจนมีอายุครบ 55 ปี ในวันนี้
ไทยออยล์เป็นโรงกลั่นของเอกชนรายแรกของไทย ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2504 ด้วยกำลังการกลั่นเพียง 35,000 บาร์เรลต่อวัน ตลอดระยะเวลากว่าครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา ไทยออยล์มีการพัฒนา การเติบโต สร้างความมั่นคงด้านพลังงาน และมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศมาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันไทยออยล์จึงเป็นหนึ่งในผู้นำในธุรกิจการกลั่นและปิโตรเคมีในระดับเอเชียแปซิฟิก ด้วยกำลังการกลั่น 275,000 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งนับว่าสูงที่สุดในประเทศไทย
นอกจากความมุ่งมั่นในความสำเร็จที่ทำให้ไทยออยล์เป็นองค์กรซึ่งกำหนดกรอบการบริหารจัดการด้วยการก้าวเดินไปบนแนวทางการมุ่งสู่ความเป็นเลิศในทุกด้าน หัวใจสำคัญที่ทำให้ไทยออยล์เป็นหนึ่งในองค์กรแถวหน้าคือการยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาลซึ่งเป็นพื้นฐานการดำเนินกิจการขององค์กรที่ดี สุจริต โปร่งใส มีความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย สังคม ตลอดรวมถึงสิ่งแวดล้อม อันนำไปสู่องค์กรที่มีการพัฒนาอย่างยั่งยืน
ยืนยันได้จากผลลัพธ์ที่สะท้อนประสิทธิภาพขององค์กรและขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับโลก ด้วยการเป็นที่ยอมรับจากหน่วยงานที่กำหนดมาตรฐานหรือเกณฑ์การดำเนินธุรกิจที่ดีระดับโลก และรางวัลต่างๆ ที่ได้รับมาอย่างต่อเนื่อง เช่น รางวัล Plattts TOP 250 Global Energy Companies Awards 2010 จาก จาก บริษัท Platts,Singapore และรางวัล TOP Corporate Governance Report Awards จาก ตลาดหลักทรัพย์แห่ง ประเทศไทย ในงาน SET Awards 2010 ฯลฯ
ล่าสุดในปีนี้ ไทยออยล์ยังคงได้รับการยกย่องจากหน่วยงานและองค์กรต่างๆ เช่น การได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืนระดับโลก หรือ DJSI ซึ่งเป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นทุ่มเท และเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงการดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบบนแนวทางความยั่งยืนอย่างแท้จริง
ผู้บริหารบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ร่วมพิธีเปิดดำเนินการ บริษัท ลาบิกซ์ จำกัด และโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก 2 โครงการของบริษัท ท็อป เอสพีพี จำกัด อย่างเป็นทางการ
อธิคม เติบศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้จัดการใหญ่ บมจ. ไทยออยล์ แสดงความยินดีร่วมกับ ทาคุ โมริโมโตะ กรรมการบริหาร, ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ กลุ่มธุรกิจเพอฟอร์แมนซ์แมททีเรียล บริษัท มิตซุยแอนด์คัมปนี จำกัด ในพิธีเปิดดำเนินการโรงงานผลิตสาร LAB
ต่อยอดธุรกิจ
กลยุทธ์เพื่อการเติบโต
การต่อยอดธุรกิจ”เป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่ไทยออยล์ใช้เป็นกลยุทธ์ขับเคลื่อนองค์กรไปสู่ความสำเร็จ ไม่เพียงการดำเนินธุรกิจการกลั่นน้ำมันที่มีการพัฒนาการบริหารจัดการอย่างมีคุณภาพในระดับสากล ควบคู่ไปกับการลงทุนปรับปรุงกระบวนการผลิต ไทยออยล์ยังขยายไปสู่ธุรกิจเกี่ยวเนื่องต่างๆ อีกด้วย เพื่อสร้างความมั่นคงให้องค์กรท่ามกลางสภาวการณ์การเปลี่ยนแปลงในโลกธุรกิจที่รวดเร็วขึ้นทุกขณะ ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจปิโตรเคมี ธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน ธุรกิจสารทำละลายและเคมีภัณฑ์ ธุรกิจไฟฟ้า ธุรกิจขนส่ง ธุรกิจผลิตเอทานอล และธุรกิจอื่นๆ เช่น การบริหารจัดการด้านการสรรหาทรัพยากรบุคคล เป็นต้น
“ด้วยตระหนักถึงความสำคัญในการแสวงหาโอกาสต่อยอดทางธุรกิจ โดยดำเนินโครงการต่างๆ เพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่เดิม ลดการพึ่งพาการนำเข้าผลิตภัณฑ์ และการสูญเสียเงินตราต่างประเทศ ยกตัวอย่างที่ผ่านมา เช่น โครงการผลิตสารอะโรเมติกส์ เป็นต้น และล่าสุดได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ โครงการผลิตสาร LAB และโครงการโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก 2 โครงการ” อธิคม เติบศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ ไทยออยล์ กล่าวถึงการขับเคลื่อนกลยุทธ์การต่อยอดธุรกิจ
 
ขณะที่ คุรุจิต นาครทรรพ ประธานกรรมการ ไทยออยล์ กล่าวย้ำว่า "การเปิดดำเนินการอย่างเป็นทางการของทั้ง 2 ธุรกิจ ซึ่งเป็นโครงการต่อยอดธุรกิจของเครือไทยออยล์ในวันนี้ เป็นตัวอย่างและการยืนยันถึงการเติบโตอย่างยั่งยืนของบริษัทฯ โดยมุ่งเน้นการเติบโตในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลักที่บริษัทฯ มีความเชี่ยวชาญ (Core Business) ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ของเครือไทยออยล์ เพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ และลดความผันผวนของการดำเนินธุรกิจ
 
ที่ผ่านมาไทยออยล์มีการลงทุนและสร้างมูลค่าเพิ่มของธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งเป็นการขยายฐานธุรกิจเพื่อสร้างรายได้และผลตอบแทนที่ดี อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ โครงการผลิตสาร LAB จัดเป็นโครงการใหญ่ระดับชาติโครงการหนึ่งระหว่างไทยและญี่ปุ่น ซึ่งจะทำให้เกิดการสร้างงานและเศรษฐกิจโดยรวมขยายตัว รวมถึงเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศให้มากขึ้น เพื่อรองรับการเข้าเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC
เห็นได้อย่างชัดเจนว่าทิศทางการดำเนินธุรกิจของไทยออยล์เป็นไปตามวิสัยทัศน์ขององค์กรที่วางไว้ว่า “บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) มุ่งที่จะเป็นผู้นำในการดำเนินธุรกิจเชิงบูรณาการด้านการกลั่นน้ำมัน และปิโตรเคมีที่ต่อเนื่องอย่างครบวงจรในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก”
การร่วมทุนกันก่อตั้งบริษัท ลาบิกซ์ จำกัด โดยมีการถือหุ้นในสัดส่วน 75:25 เพื่อผลิตสาร Linear Alkyl Benzene หรือสาร LAB ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและสารซักล้าง ด้วยนวัตกรรมล่าสุดของ UOP ซึ่งถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่มีความทันสมัยที่สุดในโลก และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยเงินลงทุนกว่า 12,000 ล้านบาท ระหว่างเครือไทยออยล์ โดยบริษัท ไทยพาราไซลีน จำกัด และบริษัท มิตซุยแอนด์คัมปนี จำกัด บริษัท Trading ชั้นนำของญี่ปุ่นที่มีเครือข่ายการค้าที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น และเป็นรายใหญ่ที่สุดของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
โรงงานดังกล่าวมีกำลังการผลิต 100,000 ตันต่อปี มีการดำเนินการอย่างครบวงจรที่สุดรายแรกของไทย และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากจะทำให้เกิดการสร้างงาน การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศโดยรวมแล้ว ยังช่วยลดการขาดดุลการค้าในการนำเข้าสาร LAB ที่สูงถึงปีละ 3,500 - 4,000 ล้านบาท และสร้างรายได้ให้ประเทศกว่า 6,000 ล้านบาทต่อปี พร้อมรองรับโอกาสทางธุรกิจ ในการเข้าเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) อีกด้วย
นอกจากนี้ โรงงานผลิตสาร LAB ของลาบิกซ์ถูกออกแบบให้เชื่อมต่อกับกระบวนการผลิตของเครือไทยออยล์เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด มีการใช้วัตถุดิบจากโรงกลั่นที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกัน รวมถึงเป็นการผลิตภายในประเทศเพื่อใช้สำหรับอุตสาหกรรมภายในประเทศ ทำให้ลักษณะการประกอบกิจการมีความสามารถในการแข่งขันสูง โดยมีต้นทุนการผลิตในระดับต่ำ และขยายห่วงโซ่ทางธุรกิจของเครือไทยออยล์ให้มีความหลากหลายมากขึ้น ก่อให้เกิดความได้เปรียบในการแข่งขัน
โรงงานผลิตสาร LAB ของบจ.ลาบิกซ์
โรงไฟฟ้าขนาดเล็ก 2 โครงการของบจ.ท็อป เอสพีพี
ไม่เพียงเท่านี้ โรงงานฯ ยังตั้งอยู่ในบริเวณโรงกลั่นไทยออยล์จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความได้เปรียบทางยุทธศาสตร์ของประเทศ เนื่องจากสามารถขนส่งสินค้าได้ทั้งทางทะเล และทางรถยนต์ ทำให้บริษัทสามารถขนส่งผลิตภัณฑ์ไปยังลูกค้าตามภูมิภาคต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก 2 โครงการของบริษัท ท็อป เอสพีพี จำกัด นอกจากจะช่วยสนับสนุนความมั่นคงและเสถียรภาพในการผลิตให้กับบริษัทในเครือไทยออยล์ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ยังมีส่วนช่วยสนับสนุนความมั่นคงด้านพลังงาน รองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศ โดยการจำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตโรงละ 90 เมกกะวัตต์ และยังช่วยให้เครือไทยออยล์ประหยัดต้นทุนค่าใช้จ่ายไฟฟ้าและไอน้ำที่ใช้ในกระบวนการผลิต เนื่องจากการออกแบบด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย
โรงไฟฟ้าดังกล่าว มีมูลค่าการลงทุนประมาณ 12,000 ล้านบาท ก่อสร้างขึ้นในปี 2554 เมื่อไทยออยล์ได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก ประเภทสัญญา Firm ระบบ Cogeneration ตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ จำนวน 2 โครงการ มีกำลังการผลิตรวม 239 เมกะวัตต์ และไอน้ำรวม 498 ตันต่อชั่วโมง ส่งขายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ 180 เมกะวัตต์ และใช้ในโรงกลั่นไทยออยล์และบริษัทในเครือ 59 เมกะวัตต์ จัดเป็นธุรกิจที่สร้างความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้า และรายได้อย่างต่อเนื่องให้เครือไทยออยล์
จึงนับเป็นอีกหนึ่งพัฒนาการสำคัญ และเป็นความภาคภูมิใจของเครือไทยออยล์ ที่ตลอดระยะเวลากว่าครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา ได้ยึดมั่นการดำเนินธุรกิจที่มุ่งเน้นการสร้างความเจริญเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างมีเสถียรภาพ ใส่ใจชุมชน สังคมและสิ่งแวดล้อม ควบคู่กับการพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานและปิโตรเคมีของไทยให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น พร้อมไปกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ

“คน”เคล็ดลับความสำเร็จ
“ไทยออยล์ในวันนี้ เราพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างสมดุลในทุกมิติ เพื่อเป็นองค์กรที่ยั่งยืนเคียงข้างสังคมไทยต่อไปในอนาคต” คุรุจิต นาครทรรพ ประธานกรรมการ ไทยออยล์ กล่าวในพิธีเปิดดำเนินการบริษัท ลาบิกซ์ จำกัด และโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก 2 โครงการ เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2559 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันครบรอบ 55 ปี ของบมจ.ไทยออยล์ ยืนยันถึงความมุ่งมั่นตั้งใจและเป้าหมายที่ชัดเจนขององค์กรแถวหน้าอย่างไทยออยล์ ซึ่งเบื้องหลังของความสำเร็จก็คือ“คุณภาพของคน”หรือ“บุคลากร” ที่ถือเป็นทรัพยากรอันมีค่าอย่างยิ่ง และความสำเร็จที่ผ่านมาคือผลจากการใช้ความรู้ความสามารถอย่างเต็มเปี่ยมเพื่อช่วยกันขับเคลื่อนองค์กร
แต่อะไรคือหลักยึดและแนวทางที่ทำให้สามารถขับเคลื่อนองค์กรไปในทิศทางเดียวกัน บรรลุเป้าหมายได้อย่างราบรื่น คำตอบก็คือ”ค่านิยม”หรือ“วัฒนธรรมองค์กร” ที่เป็นตัวกำหนดวิถีการปฎิบัติที่มุ่งผลลัพธ์ที่มี “คุณภาพ ประสิทธิภาพ และมีธรรมาภิบาล”
นอกจากความรู้ความสามารถที่มีอยู่ในแต่ละบุคคลแล้ว แน่นอนว่าเมื่อสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว การพัฒนาบุคลากรให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงจึงเป็นประเด็นสำคัญอย่างยิ่ง ที่ผ่านมา ไทยออยล์มีการพัฒนาระบบงาน การบริหารจัดการองค์ความรู้ การสร้างและพัฒนาทีมงานให้มีประสิทธิภาพในการทำงานร่วมกัน การพัฒนาระบบการพัฒนาบุคลากรรายบุคคล รวมถึง การสร้างระบบการบริหารจัดการผลงานที่เหมาะสมกับสภาพธุรกิจและวัฒนธรรมองค์กร ขณะเดียวกัน ยังสามารถสร้างบรรยากาศในการพัฒนาและสร้างผลงานที่ดีที่สุด ทำให้พนักงานมีความหวังและผูกพันกับองค์กรมากยิ่งขึ้น จึงเป็นการเพิ่มความพร้อมและความแข็งแกร่งให้องค์กรก้าวไปได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน 

รางวัลจากความมุ่งมั่นทุ่มเท
การยอมรับจากหน่วยงานและองค์กรและรางวัลต่างๆ ที่ไทยออยล์ได้รับในปีนี้
Dow Jones Sustainability Indices 2015 จาก S&P Dow Jones Indices and RobecoSAM
RobecoSAM Sustainability Award 2016 จาก RobecoSAM
SET Sustainability Awards 2015 จาก ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
รางวัลชมเชยองค์กรโปร่งใสประจําปี 2558 จาก สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต แห่งชาติ (ปปช.)
คณะกรรมการแห่งปี - ดีเด่น ประจําปี 2558 จาก สถาบันกรรมการบริษัทไทย
บริษัทจดทะเบียนด้านนักลงทุนสัมพันธ์ยอดเยี่ยม จาก ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและวารสารการเงินธนาคาร
Thailand Energy Awards 2015 จาก กระทรวงพลังงาน
World Finance Corporate Governance Awards 2015 จาก นิตยสาร World Finance
Alpha Southeast Asia Awards 2015 จาก นิตยสาร Alpha Southeast Asia
The Asset Corporate Awards 2015 จาก นิตยสาร The Asset
กำลังโหลดความคิดเห็น