xs
xsm
sm
md
lg

“ทิสโก้” มองปี 59 ยังเป็นปีที่ท้าทายจากความผันผวน ชี้การเปลี่ยนแปลงไม่ได้เป็นรอบวัฏจักร หรือคาดการณ์ได้เหมือนในอดีต

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


กลุ่มทิสโก้ มั่นใจผลประกอบการปี 59 โตขึ้นจากแนวโน้ม ศก.ไทยซึ่งน่าจะดีกว่าปีก่อน ยอมรับปีนี้ยังคงเป็นปีที่ท้าทายจากความผันผวนของเศรษฐกิจ เพราะการเปลี่ยนแปลงตอนนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นรอบวัฏจักร หรือคาดการณ์ได้เหมือนในอดีต แต่ปัจจุบันเป็นการพลิกผันที่เร็วมาก ทุกธุรกิจต้องมีการแก้ปัญหาเฉพาะหน้ามากขึ้น

นางอรนุช อภิศักดิ์ศิริกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มทิสโก้ เปิดเผยว่า แม้ปี 2559 จะเป็นปีที่เศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจไทยยังคงต้องเผชิญต่อความผันผวน แต่ทิศทางเศรษฐกิจไทยในปีนี้มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นกว่าปีก่อนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นของภาครัฐที่มีความคืบหน้าไปมาก ซึ่งจะช่วยชดเชยการชะลอตัวของภาคการท่องเที่ยวได้บางส่วน และจะยังส่งผลดีต่อการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศในปีนี้ รวมถึงมาตรการใหม่ๆ เพิ่มเติม ซึ่งจะส่งผลให้ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยปีนี้สดใสมากขึ้น จากปัจจัยดังกล่าว กลุ่มทิสโก้ มองว่าจะเป็นปัจจัยบวกต่อการดำเนินธุรกิจในปี 2559 ให้สามารถเติบโตขึ้นได้ในระดับที่น่าพอใจ

สำหรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในปี 2559 กลุ่มทิสโก้ ยังคงมุ่งขยายฐานลูกค้าทุกกลุ่ม รวมถึงขยายไปยังตลาดใหม่ๆ ที่ยังมีการเติบโต ทั้งกลุ่มลูกค้ารายย่อย ลูกค้าบรรษัท และลูกค้าธนบดี และจัดการกองทุน บนจุดยืนในการเป็น “Top Advisory House” ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการทางการเงินครบวงจร อีกทั้งยังมุ่งเน้นการกำกับดูแลกิจการที่ดี การบริหารความเสี่ยงที่รอบคอบ และการรักษาคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีเพื่อการเติบโตอย่างมีคุณภาพ รวมไปถึงการพัฒนาโครงสร้างธุรกิจเพื่อรองรับการเติบโตในระยะยาว ได้แก่ การพัฒนาระบบเพื่อเข้าสู่การบริการแบบดิจิตอลแบงก์ ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มพัฒนาระบบดังกล่าวแล้ว และคาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ในอีก 3 ปีจากนี้ (ปี 2561)

“ปีนี้ยังคงเป็นปีที่ท้าทายจากความผันผวนของเศรษฐกิจ เพราะการเปลี่ยนแปลงตอนนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นรอบวัฏจักร หรือคาดการณ์ได้เหมือนในอดีต แต่ปัจจุบันเป็นการพลิกผันที่เร็วมาก ทุกธุรกิจต้องมีการแก้ปัญหาเฉพาะหน้ามากขึ้น แต่ด้วยข้อดีของกลุ่มทิสโก้ที่มีความคล่องตัวสูง และสามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ และแผนการดำเนินงานให้เข้าต่อสถานการณ์อยู่เสมอ ประกอบกับมีการเตรียมแผนธุรกิจไว้อย่างครอบคลุม ทำให้ที่ผ่านมา เราสามารถบริหารจัดการต่อความเสี่ยงที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเรามั่นใจว่าปีนี้จะเป็นอีกปีที่เราเติบโตได้ตามกลยุทธ์ที่วางไว้”

สำหรับกลยุทธ์ธุรกิจในปีนี้ เราก็ยังคงมุ่งเน้นการเลือกทำธุรกิจบนความเสี่ยงที่รับได้ (Risk-adjusted return) โดยธุรกิจธนาคารเรายังคงมีสินเชื่อรายย่อยเป็นตัวชูโรง ขณะที่สินเชื่อธุรกิจจะได้แรงหนุนจากโครงการที่เกี่ยวข้องต่อการลงทุนของภาครัฐ ด้านธุรกิจจัดการกองทุน โดย บลจ.ทิสโก้ ก็เป็นอีกธุรกิจที่ในปีนี้จะเติบโตได้ดี และที่ผ่านมา ผลงานการบริหารจัดการกองทุนเราก็ทำได้ดี โดยเฉพาะกองทุนประเภททริกเกอร์ ฟันด์ ซึ่งปีนี้จะยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนธุรกิจหลักทรัพย์ แม้จะมีขึ้นลงตามภาวะตลาด แต่เชื่อว่าด้วยบริการที่มีคุณภาพ และมีประสิทธิภาพ ซึ่งในปีที่แล้ว บล.ทิสโก้ ก็ได้รับรางวัลบริษัทหลักทรัพย์ยอดเยี่ยม จากเวที SET Awards 2015 ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะสนับสนุนให้ธุรกิจหลักทรัพย์เติบโตได้ในระดับที่ดีเช่นกัน

ด้าน นายสุทัศน์ เรืองมานะมงคล กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กลยุทธ์การดำเนินงานในส่วนของธนาคารทิสโก้ ปี 2559 จะยังคงเดินหน้าขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยมุ่งเน้นในธุรกิจหลัก โดยมีสินเชื่อรายย่อยระดับล่าง (ไมโครไฟแนนซ์) ภายใต้แบรนด์ “สมหวัง เงินสั่งได้” ที่บริหารงานภายใต้ บริษัท ไฮเวย์ จำกัด บริษัทในเครือธนาคารทิสโก้ เป็นตัวชูโรง หลังจากปีที่ผ่านมา กระแสตอบรับแบรนด์สมหวัง เงินสั่งได้ถือว่าดีมาก และสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทั่วประเทศได้เป็นอย่างดี และจากความต้องการสินเชื่อของลูกค้าในกลุ่มดังกล่าวยังมีอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้เชื่อว่าปีนี้จะเป็นอีกปีที่สมหวัง เงินสั่งได้ จะมีการเติบโตได้โดดเด่นได้ไม่แพ้ปีที่ผ่านมา ขณะที่ในด้านของสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์จะกลับมาขยายตัวได้ในระดับที่มีเสถียรภาพมากขึ้น

ด้านธุรกิจนายหน้าประกันภัย (Bancassurance) ที่ได้ออกผลิตภัณฑ์ประกันที่สอดคล้องต่อความต้องการของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง และได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดีเช่นกันนั้น และจากการออกผลิตภัณฑ์แผนคุ้มครองโรคมะเร็ง (Zero Cancer) มาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการ ปรากฏว่า ได้รับความสนใจอย่างมาก จึงจะมีการทำตลาดอย่างต่อเนื่องในปีนี้ และเชื่อว่าจะได้รับการตอบรับที่ดี ส่วนสินเชื่อธุรกิจเชื่อว่าจะกลับมาขยายตัวได้ดี โดยจะมุ่งเน้นการสร้างฐานธุรกิจให้แก่ลูกค้าบริษัทด้วยการตอบสนองความต้องการทางการเงินในเชิงรุกด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ

นายชาตรี จันทรงาม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายควบคุมการเงินและบริหารความเสี่ยงกลุ่มทิสโก้ กล่าวถึงผลการดำเนินงานของกลุ่มทิสโก้ในปี 2558 ว่า ณ สิ้นปี 2558 กลุ่มทิสโก้มีกำไรสุทธิ 4,250 ล้านบาท คงที่จากปีก่อนหน้า โดยมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.2 จากการขยายสัดส่วนการปล่อยสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภค ประกอบกับการบริหารต้นทุนการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ต้นทุนการเงินปรับลดลงอย่างต่อเนื่องตามภาวะตลาด รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยจากธุรกิจหลักเติบโตร้อยละ 2.8 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สาเหตุหลักมาจากการปรับตัวดีขึ้นของรายได้ค่าธรรมเนียมพื้นฐานของธุรกิจจัดการกองทุน จากการออกกองทุนรวมที่หลากหลายในภาวะตลาดที่เอื้ออำนวย ในขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมธนาคารพาณิชย์จากธุรกิจประกันยังคงปรับตัวดีขึ้นแม้ในภาวะสินเชื่อชะลอตัว อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองหนี้สูญเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.2 จากการตั้งสำรองหนี้สูญให้แก่ลูกหนี้กลุ่มสหวิริยาสตีลอินดัสตรี เต็มทั้งจำนวน 100%

สำหรับเงินให้สินเชื่อรวมของกลุ่มทิสโก้ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2558 มีจำนวน 238,260 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 9.3 จากปีก่อนหน้า แม้ว่าการปล่อยสินเชื่อรายย่อยโดยรวมของกลุ่มทิสโก้มีการขยายตัวเพิ่มขั้นจากปีก่อนหน้า โดยยอดการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.0 แต่ยังคงมีระดับต่ำกว่าการชำระคืนเงินให้สินเชื่อของลูกค้าในปีที่ผ่านมา ส่งผลให้เงินให้สินเชื่อปรับตัวลดลง ทั้งนี้ สินเชื่อเช่าซื้อชะลอตัวลงอันเป็นผลต่อเนื่องจากการปรับตัวเข้าสู่ภาวะสมดุลของตลาดรถยนต์ ภายหลังจากมาตรการรถคันแรก ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาทั้งสิ้น 2-3 ปี นอกจากนี้ ในปี 2558 ยังมีการตัดหนี้สูญของบริษัทสหวิริยาสตีลอินดัสตรี ยูเค (SSI UK) อีกด้วย

ณ สิ้นปี 2558 หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 3.23 จากการจัดชั้นลูกหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของ บมจ.สหวิริยาสตีลอินดัสตรี (SSI) (ประเทศไทย) จำนวน 821 ล้านบาท ซึ่งมีการตั้งสำรองเต็มโดยหักหลักประกันตามเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย และการปรับลดลงของเงินให้สินเชื่อรวม ทั้งนี้ หากไม่รวมลูกหนี้สหวิริยาสตีลอินดัสตรี (SSI) (ประเทศไทย) หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ทั้งหมดมีแนวโน้มดีขึ้น

ธนาคารทิสโก้ ยังคงรักษาระดับฐานะเงินกองทุนที่แข็งแกร่งมาโดยตลอดทั้งปี โดยประมาณการอัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) สำหรับสิ้นปี 2558 อยู่ที่ร้อยละ 17.9 สูงกว่าอัตราเงินกองทุนขั้นต่ำร้อยละ 8.5 ที่กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีอัตราเงินกองทุนชั้นที่ 1 และชั้นที่ 2 ต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ร้อยละ 13.9 และร้อยละ 4.0 ตามลำดับ
กำลังโหลดความคิดเห็น