สถาบันไทยพัฒน์ ประกาศรายชื่อหลักทรัพย์จดทะเบียนติดอันดับ ESG100 ด้วยการดำเนินงานที่โดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) ปี 2559 ด้วยมาร์เก็ตแคปรวม 6.7 ล้านล้านบาท เป็น Universe สำหรับตอบโจทย์การลงทุนที่ยั่งยืน
ในการจัดอันดับครั้งนี้ เป็นครั้งที่ 2 ของสถาบันฯ พร้อมมีเกณฑ์ต่างไปจากปี 2558 เช่น บริษัทที่อยู่ในเกณฑ์จะต้องมีกำไรติดต่อกันอย่างน้อย 2 ไตรมาส เป็นบริษัทที่คณะกรรมการบริษัทไม่ถูกสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาด หลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปรียบเทียบปรับหรือกล่าวโทษ และต้องกระจายหุ้นไปอยู่ในมือนักลงทุนรายย่อยตามเกณฑ์ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กำหนด เป็นต้น
จากเกณฑ์ดังกล่าว ทำให้บริษัทที่แม้จะมีผลการดำเนินงานดี มีคุณสมบัติด้านสิ่งแวดล้อมสังคมและธรรมาภิบาลตามเกณฑ์ แต่เนื่องจากผู้บริหารถูกเปรียบเทียบปรับจาก ก.ล.ต.ทำให้ต้องถูกปรับออกจากอันดับ เช่น บมจ.กรุงเทพประกันภัย (BKI) ขณะที่ บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL) ไม่ถูกจัดอยู่ในเกณฑ์ อีเอสจี 100 ตั้งแต่ปี 2558
หน่วยงาน ESG Rating ของสถาบันไทยพัฒน์ ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มพัฒนาข้อมูลด้านความยั่งยืนของธุรกิจ ได้เปิดเผยรายชื่อหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้าน ESG จำนวน 100 บริษัท หรือ ที่เรียกว่ากลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 เป็นปีที่สอง ด้วยการคัดเลือกจาก 621 บริษัทจดทะเบียน (ไม่รวมหลักทรัพย์ที่อยู่ระหว่างการฟื้นฟู) ทำการประเมินโดยใช้ข้อมูลที่เกี่ยวกับ ESG จาก 6 แหล่ง จำนวนกว่า 11,500 จุดข้อมูล ตามที่บริษัทเผยแพร่ไว้ต่อสาธารณะ
การจัดอันดับหลักทรัพย์กลุ่ม ESG100 เป็นข้อมูลตั้งต้นที่ผู้ลงทุนสามารถใช้คัดเลือกหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล เพื่อตอบโจทย์การลงทุนที่ยั่งยืน พร้อมกับการสร้างผลตอบแทนการลงทุนที่มิได้ด้อยไปกว่าการลงทุนในแบบทั่วไป
ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ ผู้อำนวยการ สถาบันไทยพัฒน์ กล่าวว่า “การประเมินในปีนี้ สถาบันไทยพัฒน์ ได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูล ESG แบบบูรณาการที่ผนวกเข้ากับข้อมูลทางการเงิน ที่เรียกว่า Integrated ESG Assessment เพื่อให้สะท้อนผลตอบแทนการลงทุนหรือตัวเลขผลประกอบการที่สัมพันธ์กับการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลของบริษัท ด้วยองค์ประกอบสำคัญ 3 ส่วน คือ การวิเคราะห์อุตสาหกรรม กลยุทธ์องค์กร และรายงานทางการเงิน”
ผลการคัดเลือกบริษัทจดทะเบียนที่เข้าอยู่ใน Universe ของ ESG100 ประจำปี 2559 ปรากฏว่าบริษัทที่ติดอันดับ กระจายอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมทั้ง 8 กลุ่ม ประกอบด้วย
•กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร (Agro & Food Industry) 15 บริษัท
•กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค (Consumer Products) 7 บริษัท
•กลุ่มธุรกิจการเงิน (Financials) 13 บริษัท
•กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม (Industrials) 12 บริษัท
•กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง (Property & Construction) 16 บริษัท
•กลุ่มทรัพยากร (Resources) 9 บริษัท
•กลุ่มบริการ (Services) 19 บริษัท
•กลุ่มเทคโนโลยี (Technology) 9 บริษัท
บริษัทที่ได้รับการคัดเลือกอยู่ในกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 มาจากกลุ่มอุตสาหกรรมบริการ มากสุด คือ 19 บริษัท รองลงมาเป็นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง จำนวน 16 แห่ง และมีหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาด mai เข้าอยู่ใน ESG100 จำนวน 4 บริษัท ได้แก่ APCO, FPI, TPCH, XO
ทั้งนี้ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป) รวมกันของ 100 บริษัทใน ESG100 มีมูลค่าราว 6.7 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 50.7 เมื่อเทียบกับมาร์เกตแคปของทั้งตลาดฯ ที่ 13.2 ล้านล้านบาท
นอกจากจะช่วยสนับสนุนการพัฒนาระดับการเปิดเผยข้อมูล ESG ของบริษัทจดทะเบียนแล้ว ยังจะเป็นการเผยแพร่ข้อมูล ESG ของบริษัทจดทะเบียนที่ดำเนินการได้ดีให้แก่ผู้ลงทุนทั้งในและต่างประเทศ เพิ่มโอกาสการลงทุนในบริษัทจดทะเบียนจากกลุ่มผู้ลงทุนที่ใช้เกณฑ์ ESG เพื่อสร้างผลตอบแทนทางการเงินที่น่าพอใจในระยะยาว พร้อมๆ กับการสร้างผลกระทบทางสังคมในเชิงบวก
ผู้ลงทุนที่สนใจข้อมูลหลักทรัพย์จดทะเบียนในกลุ่ม ESG100 สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.esgrating.com