xs
xsm
sm
md
lg

หยุด! กลั้นอุจจาระ เพราะอาจเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



การขับถ่ายเป็นการกระบวนการทำงานอย่างหนึ่งของร่างกายที่จะต้องขับอุจจาระหรือกลุ่มก้อนสิ่งตกค้างที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกายแล้วออกมา และการขับถ่ายเป็นการบ่งบอกถึงสุขภาพการทำงานของระบบย่อยอาหารของเราอีกด้วย

การขับถ่ายไม่เป็นเวลาหรือกลั้นอุจจาระบ่อย ๆ จนตกค้างในลำไส้ อาจเสี่ยงเกิดภาวะอุจจาระแข็งตัวจนทำให้เกิดแบคทีเรียสะสมได้ ถ้าละเลยปล่อยไว้เป็นเวลานานจนมีอาการต่าง ๆ อาจนำไปสู่ “โรคท้องผูกเรื้อรัง” ได้ในที่สุด


แล้วถ้าหากเรายังทำพฤติกรรมแบบเดิม ๆ กลั้นอุจจาระบ่อย ๆ ก็อาจเกิดผลเสียกับร่างกายได้ เช่น

1. อุจจาระไม่เป็นเวลา เมื่อเรากลั้นอุจจาระบ่อย ๆ เวลาที่อยากถ่ายจริง ๆ ก็จะถูกเลื่อนออกไป ทำให้อุจจาระไม่เป็นเวลา และหากยังฝืนร่างกายไม่อุจจาระในเวลาที่ควรถ่าย ร่างกายจะเริ่มเข้าใจว่าเราไม่อยากถ่ายจนไม่สามารถขับอุจจาระออกมาได้ เพราะเลยเวลาที่ลำไส้ใหญ่บีบตัวเพื่อเตรียมขับถ่ายไปแล้วนั่นเอง


2. ท้องผูก การกลั้นอุจจาระ คือการไม่ให้ร่างกายขับของเสียออกมาในเวลาที่เหมาะสม หากกลั้นอุจจาระนานจะทำให้อุจจาระร่นกลับเข้าไปค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่ จนทำให้ครั้งต่อไปขับถ่ายลำบาก เพราะมีของเสียจำนวนมากที่ต้องการระบายออก และถูกอัดแน่นจนแข็ง จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการท้องผูกได้

3. ริดสีดวงทวาร และมะเร็งลำไส้ใหญ่ เมื่อระบบการขับถ่ายเริ่มรวน ทำงานไม่ปกติ อุจจาระเริ่มเป็นก้อนแข็งและบาดปากทวารหนัก หรือทำให้ด้านในของทวารหนักปลิ้นออกมาข้างนอก จะทำให้ถ่ายแล้วมีเลือดออก อาจเป็นสัญญาณของโรคริดสีดวงทวาร และยังอาจมีความเสี่ยงไปถึงมะเร็งลำไส้ในอนาคตได้เช่นกัน


พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันบางอย่างที่ทำจนชิน เป็นปัจจัยหนึ่งของระบบการทำงานของร่างกาย ถ้าเรายังทำพฤติกรรมนี้อยู่อาจส่งผลทำลายระบบขับถ่ายให้แย่ลงได้เช่นกัน ดังนั้นถ้าอยากไม่มีปัญหาสุขภาพด้านระบบขับถ่ายลองทำตามนี้ดู

1. ไม่กลั้นอุจจาระไว้นาน ๆ พยายามฝึกการขับถ่ายให้เป็นเวลา

2. ไม่ซื้อยาระบายมากินเอง

3. ไม่กินดีท็อกลำไส้บ่อย ๆ เพราะเป็นการลดปริมาณจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในลำไส้ออกไป ส่งผลต่อเป็นระบบขับถ่าย ระบบการย่อยอาหาร และระบบภูมิคุ้มกันเชื้อโรค ซึ่งจะทำให้ร่างกายรู้สึกเหนื่อยอ่อนได้

4. ไม่ดื่มน้ำผลไม้แทนน้ำเปล่า ควรหันมากินผลไม้สดและดื่มน้ำเปล่าให้มาก ๆ แทนจะดีกว่า

5. ไม่ควรละเลยการออกกำลังกาย และควรหลีกเลี่ยงการทำงานอยู่กับที่ตลอดเวลา เพราะหากร่างกายไม่มีการเคลื่อนไหว ลำไส้ก็จะหยุดนิ่ง ทำให้กากอาหารที่กินไปจะยังตกค้างอยู่ในลำไส้เช่นเดิม ทำให้เสี่ยงต่อโรคท้องผูกได้

นอกจากปรับพฤติกรรมดังกล่าวแล้ว เราควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นรับประทานอาหารที่มีกากใยมาก ๆ เช่น ผัก ผลไม้ต่าง ๆ หรืออาหารที่ช่วยในการขับถ่าย อีกทั้งดื่มน้ำสะอาดให้ได้มาก ๆ ที่สำคัญอย่าลืมขยับร่างกายให้ลำไส้ได้บีบตัว กระเพาะอาหารจะได้ย่อยอาหารง่ายขึ้น และขับถ่ายคล่องขึ้น

ขอบคุณข้อมูลประกอบจาก : โรงพยาบาลวิชัยยุทธ , โรงพยาบาลเวชธานี

ข่าวโดย : สมาพร ตุ้มเพ็ชร


กำลังโหลดความคิดเห็น