จัดเป็นยอดอาหารเสริมที่นิยมเลือกใช้บำรุงสุขภาพทุกผู้ทุกวัยสำหรับ “น้ำมันปลา” เนื่องจากเต็มไปด้วยสารอาหารแลคุณประโยชน์เหลือล้น อาทิ ดีเอชเอ ช่วยบำรุงหัวใจ อีพีเอ ช่วยสร้างและซ่อมแซมเซลล์ รวมทั้งการสร้างความแข็งแรงให้กับเซลล์ โอเมก้า-3 บำรุงสมองและช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดของโรคหัวใจ ชะลอวัยคืนความอ่อนกว่าวัยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส ควบคุมระดับไขมันในเลือด ความดันโลหิต พัฒนาระบบประสาทและสมอง บรรเทาอาการปวดอักเสบจากโรคที่เกี่ยวกับกระดูกและรักษากล้ามเนื้อที่ไร้ไขมัน (Lean muscle) ในผู้ป่วยมะเร็ง

ทว่า….ในดีมีร้าย มากไปก็ไม่ดี เนื่องจากโอเมก้า-3 ในน้ำมันปลาจะมีคุณสมบัติในการต้านการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด และทำให้เลือดหยุดไหลช้าลงได้ ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการมีเลือดออก ความดันโลหิตต่ำ คอเลสเตอรอลเพิ่ม วิตามินอีลดลง ส่งผลให้เกิดความเสียหายของระบบประสาท
ทั้งนี้ปริมาณที่เหมาะสมไม่ควรบริโภคน้ำมันปลาชนิด EPA และชนิด DHA ที่เป็นอาหารเสริมเกินวันละ 2 กรัม และทั้งนี้ การบริโภคน้ำมันปลาทั้ง 2 ชนิดทั้งจากการบริโภคอาหารและอาหารเสริมเมื่อรวมกันแล้ว ไม่ควรเกิน 3 กรัม/วัน ที่สำคัญควรรับสารอาหารจากธรรมชาติ จากปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน ปลาทูน่าหรือเมล็ดแฟลกซ์ ถั่ววอลนัท น้ำมันรำข้าว น้ำมันมะพร้าว เป็นการดีที่สุด

โดยข้อควรระวังเหล่านี้ได้แก่
1. ผู้ที่ดื่มสุราเป็นประจำหรือผู้ที่รับประทานยาจำพวกแอสไพรินหรือวาร์ฟาริน รวมไปถึงผู้ที่กำลังจะเข้ารับการผ่าตัด ผู้ที่มีแผลในกระเพาะอาหาร เนื่องจากคุณสมบัติของน้ำมันปลาช่วยลดการแข็งตัวของเลือด ซึ่งหากจะเข้ารับการผ่าตัดควรแจ้งแพทย์ก่อนว่ากำลังทานน้ำมันปลาอยู่ และควรหยุดทานน้ำมันปลาก่อนเข้ารับการผ่าตัดอย่างน้อย 14 วัน
2.ผู้ที่มีความดันโลหิตต่ำ การรับประทานน้ำมันปลาควรเพิ่มความระมัดระวังเช่นเดียววันเนื่องจากน้ำมันปลามีคุณสมบัติช่วยลดความดันโลหิตอันจะส่งผลเสริมลดความดันโลหิตให้ยิ่งต่ำลงอีก
3.ผู้ที่รับประมาณเกินขนาดจำนวนที่ร่างกายต้องการ การรับประทานทานน้ำมันปลามากเกินขนาดอาจเป็นการเพิ่มปริมาณแคลอรี่ที่เราควรได้รับต่อวันโดยไม่รู้ตัว เพราะเสี่ยงต่อปริมาณไขมันไม่ดี และคอเลสเตอรอลเพิ่มมากขึ้นซึ่งทำให้วิตามินอีในร่างกายลดลงนั้นเอง
ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจากเว็บไซต์ haamor.com
ทว่า….ในดีมีร้าย มากไปก็ไม่ดี เนื่องจากโอเมก้า-3 ในน้ำมันปลาจะมีคุณสมบัติในการต้านการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด และทำให้เลือดหยุดไหลช้าลงได้ ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการมีเลือดออก ความดันโลหิตต่ำ คอเลสเตอรอลเพิ่ม วิตามินอีลดลง ส่งผลให้เกิดความเสียหายของระบบประสาท
ทั้งนี้ปริมาณที่เหมาะสมไม่ควรบริโภคน้ำมันปลาชนิด EPA และชนิด DHA ที่เป็นอาหารเสริมเกินวันละ 2 กรัม และทั้งนี้ การบริโภคน้ำมันปลาทั้ง 2 ชนิดทั้งจากการบริโภคอาหารและอาหารเสริมเมื่อรวมกันแล้ว ไม่ควรเกิน 3 กรัม/วัน ที่สำคัญควรรับสารอาหารจากธรรมชาติ จากปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน ปลาทูน่าหรือเมล็ดแฟลกซ์ ถั่ววอลนัท น้ำมันรำข้าว น้ำมันมะพร้าว เป็นการดีที่สุด
โดยข้อควรระวังเหล่านี้ได้แก่
1. ผู้ที่ดื่มสุราเป็นประจำหรือผู้ที่รับประทานยาจำพวกแอสไพรินหรือวาร์ฟาริน รวมไปถึงผู้ที่กำลังจะเข้ารับการผ่าตัด ผู้ที่มีแผลในกระเพาะอาหาร เนื่องจากคุณสมบัติของน้ำมันปลาช่วยลดการแข็งตัวของเลือด ซึ่งหากจะเข้ารับการผ่าตัดควรแจ้งแพทย์ก่อนว่ากำลังทานน้ำมันปลาอยู่ และควรหยุดทานน้ำมันปลาก่อนเข้ารับการผ่าตัดอย่างน้อย 14 วัน
2.ผู้ที่มีความดันโลหิตต่ำ การรับประทานน้ำมันปลาควรเพิ่มความระมัดระวังเช่นเดียววันเนื่องจากน้ำมันปลามีคุณสมบัติช่วยลดความดันโลหิตอันจะส่งผลเสริมลดความดันโลหิตให้ยิ่งต่ำลงอีก
3.ผู้ที่รับประมาณเกินขนาดจำนวนที่ร่างกายต้องการ การรับประทานทานน้ำมันปลามากเกินขนาดอาจเป็นการเพิ่มปริมาณแคลอรี่ที่เราควรได้รับต่อวันโดยไม่รู้ตัว เพราะเสี่ยงต่อปริมาณไขมันไม่ดี และคอเลสเตอรอลเพิ่มมากขึ้นซึ่งทำให้วิตามินอีในร่างกายลดลงนั้นเอง
ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจากเว็บไซต์ haamor.com