ในช่วงตั้งครรภ์ ว่าที่คุณแม่มักจะเพิ่มการดูแลสุขภาพอนามัยของตนเองมากเป็นพิเศษ ทั้งเรื่องอาหารการกิน การออกกำลังกาย และการพักผ่อน แต่คุณแม่มือใหม่หลายๆ ท่าน อาจยังไม่ทราบว่า สุขภาพอนามัยช่องปากที่ดี มีส่วนสำคัญและเป็นสิ่งที่ควรใส่ใจในขณะเริ่มตั้งครรภ์อย่างยิ่ง เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายของคุณแม่มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนอย่างมาก เพื่อให้ครรภ์คุณแม่พร้อมที่จะดูแลให้ความอบอุ่นและพัฒนาลูกน้อยอย่างสมบูรณ์ที่สุดตลอดระยะเวลา 9 เดือนในครรภ์ การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนนี้ อาจมีผลต่อระบบต่างๆ ได้รวมถึงสุขภาพอนามัยในช่องปากด้วย ทำให้คุณแม่มักมีภาวะเหงือกอักเสบหรือปริทันต์อักเสบได้ง่าย ซึ่งจากการศึกษาพบว่า 50% ของแม่ตั้งครรภ์มักจะมีภาวะเหงือกอักเสบ
จากการศึกษาวิจัยยังพบว่า หากคุณแม่มีภาวะปริทันต์อักเสบรุนแรงจะมีความเสี่ยงสูงที่ลูกจะคลอดก่อนกำหนด (อายุครรภ์น้อยกว่า 37 สัปดาห์) และมีน้ำหนักแรกคลอดต่ำกว่าเกณฑ์ (น้อยกว่า 2,500 กรัม) ได้ จากการสำรวจพบว่า 1 ใน 5 ของทารกที่คลอดก่อนกำหนดนั้นเกิดจากคุณแม่ที่มีภาวะปริทันต์อักเสบขณะตั้งครรภ์
เหตุผลที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเหงือกคือส่วนหนึ่งของผิวหนัง เมื่อเหงือกอักเสบก็เหมือนผิวหนังเกิดการอักเสบ เมื่อมีเชื้อโรคหรือสารที่เกิดจากการกระตุ้นของเชื้อโรคเข้าสู่ช่องปาก เชื้อโรคจะมีโอกาสเข้าสู่กระแสเลือดได้ ซึ่งอาจนำไปสู่การติดเชื้อหรือการอักเสบบริเวณช่องคลอด และอาจกระตุ้นให้เกิดการบีบตัวของมดลูก ทำให้เกิดภาวะคลอดก่อนกำหนดได้
นอกจากนี้ คุณแม่ยังมีโอกาสเสี่ยงต่อโรคฟันผุเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากสภาวะหรือปัจจัยอื่นๆ ในขณะตั้งครรภ์ เช่น การรับประทานอาหารจุบจิบ การคลื่นไส้อาเจียน ซึ่งหากดูแลสุขภาพช่องปากได้ไม่สะอาดเพียงพอ อาจนำไปสู่ภาวะฟันผุได้
ดังนั้น การดูแลสุขภาพอนามัยในช่องปากอย่างพิถีพิถันจึงเป็นสิ่งที่คุณแม่ตั้งครรภ์ไม่ควรละเลย เริ่มจากการทำความสะอาด ต้องมั่นใจว่าการทำความสะอาดทั่วถึงทุกซอกทุกมุม เพราะคราบแบคทีเรียที่หลงเหลือแม้เพียงเล็กน้อย อาจเป็นต้นเหตุนำไปสู่ปัญหาสุขภาพช่องปากได้ ทั้งนี้การแปรงฟันควรเลือกใช้แปรงสีฟันชนิดขนแปรงอ่อนเพื่อป้องกันอาการเหงือกร่นจากการแปรงที่แรงจนเกินไป เลือกใช้ยาสีฟันที่ผสมฟลูออไรด์ แปรงฟันให้ถูกวิธีอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง และใช้ไหมขัดฟันทุกครั้งเพื่อช่วยขจัดเศษอาหารที่อาจหลงเหลืออยู่จากการแปรงฟัน
อย่างไรก็ดี การแปรงฟันหรือใช้ไหมขัดฟัน อาจยังทำความสะอาดได้ไม่เพียงพอ เนื่องจากยังมีแบคทีเรียหลงอยู่ตามบริเวณที่การแปรงฟันเข้าไม่ถึง เช่น ขอบเหงือก กระพุ้งแก้ม ลิ้น นอกจากนี้การแปรงฟันหลังการอาเจียนยังเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง เนื่องจากจะทำให้ผิวฟันสึกกร่อนได้อย่างรวดเร็ว แนะนำให้ทำความสะอาดด้วยการบ้วนปากโดยใช้น้ำยาบ้วนปาก เพื่อกำจัดเศษอาหารและลดปริมาณน้ำย่อยจากกระเพาะอาหารที่ตกค้างในปาก
เนื่องจากน้ำยาบ้วนปากเป็นตัวช่วยที่สำคัญสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ ควรเลือกน้ำยาบ้วนปากที่มีประสิทธิภาพในการลดเชื้อแบคทีเรียได้มีประสิทธิภาพ โดยสารที่พบในท้องตลาดมี 2 กลุ่มหลัก คือ กลุ่มน้ำมันสกัดจากสมุนไพรธรรมชาติ 4 ชนิด (4 Essential Oils: 4 EOs) และกลุ่มซีพีซี (Cetylpyridinium Chloride: CPC) จากงานวิจัยเพื่อทดสอบประสิทธิภาพของสารทั้ง 2 กลุ่ม โดยเทียบกับการแปรงฟันเพียงอย่างเดียว พบว่าน้ำยาบ้วนปากประเภท 4 EOs ช่วยลดการสะสมของคราบพลัคหรือไบโอฟิล์มได้สูงที่สุด โดยให้ผลดีกว่าการแปรงฟันเพียงอย่างเดียวถึง 3 เท่า และดีกว่า สารประเภท CPC ถึง 1.6 เท่า นอกจากนี้ คุณแม่ตั้งครรภ์ควรเลือกใช้สูตรที่มีฟลูออไรด์ ช่วยเสริมความแข็งแรงของผิวฟัน ป้องกันฟันผุ จึงจะดูแลได้ครบปัญหาสุขภาพช่องปาก เพื่อการดูแลสุขภาพช่องปากที่ดีของคุณแม่สำหรับช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของคุณและลูก
(พื้นที่ประชาสัมพันธ์)