หน้าร้อนแบบนี้หลายคนก็คงนึกไปถึงเมนูข้าวเหนียวมะม่วง เพราะว่าเมนูนี้นับว่าเป็นเมนูยอดฮิตในช่วงฤดูร้อนอย่างมาก แต่ขึ้นชื่อว่า “ข้าวเหนียวมะม่วง” แล้วนั้น บางคนอาจมองว่าเป็นของหวานที่ให้โทษเนื่องจากเป็นอาหารที่มีพลังงานสูง อุดมไปด้วยปริมาณไขมันและน้ำตาลมหาศาล และก็มีบางคนที่ชื่นชอบและอยากกินแต่ก็กลัวว่าจะเกิดโทษกับร่างกายจนกังวลและต้องงดไป แล้วจะกินอย่างไรไม่ให้เกิดโทษกับร่างกายกันนะ เอาล่ะเรามีวิธี
ในข้าวเหนียวมะม่วงหลักๆ แล้วจะประกอบไปด้วย ข้าวเหนียว มะม่วง และกะทิ
ประโยชน์ของมะม่วง
-ช่วยบำรุงผิวพรรณเนื่องจากมะม่วงมีวิตามินเอและวิตามินซีสูง
-บำรุงสายตา
-ป้องกันและลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็ง
-ช่วยต้านอนุมูลอิสระ
-ไฟเบอร์สูง
ประโยชน์ของข้าวเหนียว
- บำรุงร่างกาย
- ช่วยขับลมในร่างกาย
- ช่วยบำรุงผิวพรรณ
ประโยชน์ของกะทิ
-ช่วยลดน้ำหนักได้เพราะเมื่อบริโภคแล้วจะถูกเผาผลาญให้เป็นพลังงานในตับโดยไม่ไปสะสมเป็นไขมัน
-ช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน
-ช่วยป้องกันแบคทีเรีย ป้องกันจุลินทรีย์ และต้านเชื้อรา
-เป็นทางเลือกสำหรับผู้แพ้แลคโตสหรือแพ้นมจากสัตว์
รับประทานข้าวเหนียวมะม่วงไม่ให้เกิดโทษกับร่างกาย
1. ควรรับประทานมะม่วงในปริมาณมากกว่าข้าวเหนียวมูน
ปริมาณที่เหมาะสมคือควรรับประทานมะม่วงประมาณ1 ลูก ข้าวเหนียวมูนปริมาณครึ่งหนึ่งของมะม่วง
2. ควรรับประทานในช่วงเวลากลางวัน
เนื่องจากช่วงเวลากลางวันร่างกายเราต้องการพลังงานไปใช้ทำกิจกรรมต่างๆ จึงส่งผลให้หากรับประทานข้าวเหนียวมะม่วงในช่วงเวลานี้ร่างกายยังคงจะนำไปใช้และเผาผลาญได้ ไม่ควรรับประทานในช่วงเวลาเย็นเป็นต้นไปเพราะจะทำให้ร่างกายนำเอาพลังงานที่ได้จากข้าวเหนียวมะม่วงไปใช้ได้ไม่หมดส่งผลให้เกิดเป็นไขมันสะสมตามมานั่นเอง
3. เปลี่ยนจากข้าวเหนียวมูนสีขาวเป็นสีดำ
เนื่องจากในข้าวสีดำจะอุดมไปด้วยสารอาหาร ไฟเบอร์ และแอนตี้อ็อกซิแดนซ์ที่มากกว่าข้าวขัดสีแล้วอย่างข้าวขาว ทางที่ดีถ้าอยากทานให้ได้สุขภาพก็ลองเปลี่ยนมาเป็นข้าวสีดำก็จะดีไม่น้อย
4. ราดกะทิแต่น้อย
กะทิเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ข้าวเหนียวมะม่วงมีอรรถรสมากยิ่งขึ้น แต่ในกะทิอุดมไปด้วยไขมันมหาศาลซึ่งหากรับประทานมากไปก็เกิดโทษต่อร่างกาย ทำให้คอเลสเตอรอลในเลือดสูง ไขมันไปอุดตัวในหลอดเลือดจนเกิดโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวานได้ แต่ใช่ว่ากะทิจะมีแต่โทษเสมอไปเพราะกะทิยังมีประโยชน์สามารถช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดีและกะทิยังช่วยทำให้วิตามินเอและอีจากมะม่วงดูดซึมดีขึ้นอีกด้วย แต่ทางที่ดีควรรับประทานแต่น้อยหรือจะเลือกรับประทานกะทิธัญพืชทดแทนก็ได้เช่นกัน
5. รับประทานแต่พอดีแล้วอย่าลืมออกกำลังกาย
อย่าลืมว่าทานอะไรมากไปก็ไม่ดีต่อร่างกายด้วยกันทั้งนั้น ดังนั้นควรรับประทานแต่พอเหมาะและอย่าลืมออกกำลังกายร่วมด้วยเพราะว่าข้าวเหนียวมะม่วง 1 จานนั้นมีแคลอรี่เทียบเท่ากับรับประทานอาหารในมื้อหลัก ยิ่งถ้าคุณกินอาหารจานหลักแล้วตบท้ายด้วยของหวานอย่างข้าวเหนียวมะม่วงลงไปในปริมาณมากๆ แล้วล่ะก็ ความอ้วนถามหาแน่นอน
6. ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูง ต้องระวัง
เพราะข้าวเหนียวมะม่วงเป็นอาหารที่มีทั้งปริมาณไขมันและน้ำตาลที่ค่อนข้างสูง เมื่อรับประทานไปแล้วจะส่งผลให้น้ำตาลและไขมันในร่างกายเพิ่มมากขึ้นได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะห้ามรับประทานเลยเด็ดขาดเพราะผู้ป่วยโรคดังกล่าวยังสามารถรับประทานข้าวเหนียวมะม่วงได้ แต่ควรรับประทานสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง และควรรับประทานในปริมาณพอดี
7. ผู้ป่วยโรคไตควรงดเด็ดขาด
เนื่องมาจากในมะม่วงสุกมีปริมาณโพแทสเซียมสูงซึ่งอาจจะส่งผลให้ไตทำงานหนักเนื่องมาจากโพแทสเซียมต้องขับออกทางไต ซึ่งถ้าระดับโพแทสเซียมสูงมากอาจทำให้หัวใจหยุดเต้นได้
ในข้าวเหนียวมะม่วงหลักๆ แล้วจะประกอบไปด้วย ข้าวเหนียว มะม่วง และกะทิ
ประโยชน์ของมะม่วง
-ช่วยบำรุงผิวพรรณเนื่องจากมะม่วงมีวิตามินเอและวิตามินซีสูง
-บำรุงสายตา
-ป้องกันและลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็ง
-ช่วยต้านอนุมูลอิสระ
-ไฟเบอร์สูง
ประโยชน์ของข้าวเหนียว
- บำรุงร่างกาย
- ช่วยขับลมในร่างกาย
- ช่วยบำรุงผิวพรรณ
ประโยชน์ของกะทิ
-ช่วยลดน้ำหนักได้เพราะเมื่อบริโภคแล้วจะถูกเผาผลาญให้เป็นพลังงานในตับโดยไม่ไปสะสมเป็นไขมัน
-ช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน
-ช่วยป้องกันแบคทีเรีย ป้องกันจุลินทรีย์ และต้านเชื้อรา
-เป็นทางเลือกสำหรับผู้แพ้แลคโตสหรือแพ้นมจากสัตว์
รับประทานข้าวเหนียวมะม่วงไม่ให้เกิดโทษกับร่างกาย
1. ควรรับประทานมะม่วงในปริมาณมากกว่าข้าวเหนียวมูน
ปริมาณที่เหมาะสมคือควรรับประทานมะม่วงประมาณ1 ลูก ข้าวเหนียวมูนปริมาณครึ่งหนึ่งของมะม่วง
2. ควรรับประทานในช่วงเวลากลางวัน
เนื่องจากช่วงเวลากลางวันร่างกายเราต้องการพลังงานไปใช้ทำกิจกรรมต่างๆ จึงส่งผลให้หากรับประทานข้าวเหนียวมะม่วงในช่วงเวลานี้ร่างกายยังคงจะนำไปใช้และเผาผลาญได้ ไม่ควรรับประทานในช่วงเวลาเย็นเป็นต้นไปเพราะจะทำให้ร่างกายนำเอาพลังงานที่ได้จากข้าวเหนียวมะม่วงไปใช้ได้ไม่หมดส่งผลให้เกิดเป็นไขมันสะสมตามมานั่นเอง
3. เปลี่ยนจากข้าวเหนียวมูนสีขาวเป็นสีดำ
เนื่องจากในข้าวสีดำจะอุดมไปด้วยสารอาหาร ไฟเบอร์ และแอนตี้อ็อกซิแดนซ์ที่มากกว่าข้าวขัดสีแล้วอย่างข้าวขาว ทางที่ดีถ้าอยากทานให้ได้สุขภาพก็ลองเปลี่ยนมาเป็นข้าวสีดำก็จะดีไม่น้อย
4. ราดกะทิแต่น้อย
กะทิเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ข้าวเหนียวมะม่วงมีอรรถรสมากยิ่งขึ้น แต่ในกะทิอุดมไปด้วยไขมันมหาศาลซึ่งหากรับประทานมากไปก็เกิดโทษต่อร่างกาย ทำให้คอเลสเตอรอลในเลือดสูง ไขมันไปอุดตัวในหลอดเลือดจนเกิดโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวานได้ แต่ใช่ว่ากะทิจะมีแต่โทษเสมอไปเพราะกะทิยังมีประโยชน์สามารถช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดีและกะทิยังช่วยทำให้วิตามินเอและอีจากมะม่วงดูดซึมดีขึ้นอีกด้วย แต่ทางที่ดีควรรับประทานแต่น้อยหรือจะเลือกรับประทานกะทิธัญพืชทดแทนก็ได้เช่นกัน
5. รับประทานแต่พอดีแล้วอย่าลืมออกกำลังกาย
อย่าลืมว่าทานอะไรมากไปก็ไม่ดีต่อร่างกายด้วยกันทั้งนั้น ดังนั้นควรรับประทานแต่พอเหมาะและอย่าลืมออกกำลังกายร่วมด้วยเพราะว่าข้าวเหนียวมะม่วง 1 จานนั้นมีแคลอรี่เทียบเท่ากับรับประทานอาหารในมื้อหลัก ยิ่งถ้าคุณกินอาหารจานหลักแล้วตบท้ายด้วยของหวานอย่างข้าวเหนียวมะม่วงลงไปในปริมาณมากๆ แล้วล่ะก็ ความอ้วนถามหาแน่นอน
6. ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูง ต้องระวัง
เพราะข้าวเหนียวมะม่วงเป็นอาหารที่มีทั้งปริมาณไขมันและน้ำตาลที่ค่อนข้างสูง เมื่อรับประทานไปแล้วจะส่งผลให้น้ำตาลและไขมันในร่างกายเพิ่มมากขึ้นได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะห้ามรับประทานเลยเด็ดขาดเพราะผู้ป่วยโรคดังกล่าวยังสามารถรับประทานข้าวเหนียวมะม่วงได้ แต่ควรรับประทานสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง และควรรับประทานในปริมาณพอดี
7. ผู้ป่วยโรคไตควรงดเด็ดขาด
เนื่องมาจากในมะม่วงสุกมีปริมาณโพแทสเซียมสูงซึ่งอาจจะส่งผลให้ไตทำงานหนักเนื่องมาจากโพแทสเซียมต้องขับออกทางไต ซึ่งถ้าระดับโพแทสเซียมสูงมากอาจทำให้หัวใจหยุดเต้นได้