น้ำตาลที่มากเกินพอดี กลายเป็นสาเหตุสารพัดโรคในปัจจุบัน ตั้งแต่การกดภูมิคุ้มกันให้ต่ำจึงเจ็บป่วยง่าย การเป็นโรคเบาหวาน การเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง รวมถึงหากเป็นโรคมะเร็งแล้วน้ำตาลจะเป็นอาหารที่เร่งการเจริญเติบโตให้มะเร็งมากขึ้น
นอกจากนี้ งานวิจัยได้มีมากขึ้นว่าน้ำตาลเป็นส่วนที่มีความสำคัญทำให้ กลูโคส และฟรุ๊คโตส ทำปฏิกิริยากับกรดอะมิโนหรือโปรตีนในร่างกายเรา และส่งผลทำให้เกิดการเหี่ยวย่นและแก่แร็ว รวมถึงอาหารที่มีดัชนีน้ำตาลสูงๆนั้นยังทำให้หางของโครโมโซมที่เรียกว่าเทโลเมียร์สั้นลง นั่นหมายถึงอายุขัยสั้นลงเร็วด้วย
ด้วยเหตุผลนี้ องค์การอนามัยโลกจึงออกคำแนะนำปริมาณการบริโภคน้ำตาลต่อวันไม่ควรเกิน 24 กรัม หรือประมาณ 6 ช้อนชาต่อวัน (รวมน้ำตาลและน้ำตาลที่ได้จากแป้งในอาหารทุกชนิด)
อย่างไรก็ตาม การกินน้ำตาลเป็นประจำจะทำให้ติดน้ำตาล ดังนั้นก็จะมีบริษัทขายเครื่องดื่มหรืออาหารเติมน้ำตาลเข้าไปมากๆ เพื่อจะได้ขายดี
แต่เมื่อสำรวจเครื่องดื่มในร้านสะดวกซื้อชื่อดังแห่งหนึ่งเมื่อพิจารณาจากฉลากสินค้าแล้วพบว่ามีน้ำตาลเกินคำแนะนำขององค์การอนามัยโลกอย่างมาก โดยเฉพาะเครื่องดื่มใดที่มีรสเปรี้ยวนั้นกลับยิ่งมีน้ำตาลสูงมาก โดยบางขวดนั้นมีน้ำตาลสูงดึง 15-16 ช้อนชา
แต่เครื่องดื่มในร้านสะดวกซื้อนั้นอาจจะมีน้ำตาลน้อยกว่าร้านกาแฟและร้านอาหารฟาส์ตฟู้ดบางแห่งได้
ทั้งนี้ คณะบุคคลซึ่งผู้เชี่ยวชาญที่ห่วงใยผลกระทบของน้ำตาลต่อสุขภาพ ในอังกฤษได้รวมตัวกันเรียกว่า "Action on Sugar" และได้ออกรายงานการสำรวจปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มร้อน 131 ชนิด รวมถึงชาและกาแฟ โดยเฉพาะเครื่องดื่มชาผสมน้ำผลไม้ ในร้านชื่อดังในอังกฤษได้แก่ ร้านสตาบัคส์, ร้านคอสต้า, ร้านดังกิ้น โดนัทส์, ร้านเคเฟซี, ร้านแมคโดนัลด์ เป็นต้น
รายงานดังกล่าวได้สรุปว่าเครื่องดื่มส่วนใหญ่ถึง 98% มีน้ำตาลเกินต่อหนึ่งถ้วย และ 35% มีจำนวนน้ำตาลเท่ากับหรือมากกว่าโคคา โคล่า
ในร้านสตาร์บัคส์ ชาองุ่นปรุงรส, ชาส้มและอบเชยถ้วยใหญ่สุด มีน้ำตาลที่มากที่สุด โดยน้ำตาลสูงสุดอยู่ที่ 25 ช้อนชา ซึ่งสูงกว่า 3 เท่าของปริมาณน้ำตาลในผู้ใหญ่ต่อวัน
และไม่ใช่เฉพาะร้านสตาร์บัคส์ เท่านั้น แม้แต่เครื่องดื่มในร้านดังกิ้น โดนัท ชาวนิลาก็มีน้ำตาลมากว่า 11 ช้อนชา ในขณะที่กาแฟมอคคิอาโตร้อนก็มี 7 ช้อนชา ในขณะที่กาแฟมอคค่าในร้านเคเอฟซี ก็มีสูงถึง 15 ช้อนชา ในขณะที่การแฟมอคค่าขนาดใหญ่ในร้านแมคโดนัลด์มีน้ำตาลสูง 11 ช้อนชา และร้านการแฟในอังกฤษทีชื่อคอสต้า คอฟฟี่ ก็มีชาลาเต้ แมสซิโม ที่ใส่น้ำตาลถึง 20 ช้อนชา
ใครจะคิดว่าเครื่องดื่มในร้านกาแฟและร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดหลายถ้วยจะมีน้ำตาลมากกว่าน้ำอัดลมที่ขายตามร้านสะดวกซื้อเสียอีก
อย่างนี้เขาเรียกว่าจ่ายแพงแล้วยังได้โรคภัยมาด้วย จริงไหม?
นอกจากนี้ งานวิจัยได้มีมากขึ้นว่าน้ำตาลเป็นส่วนที่มีความสำคัญทำให้ กลูโคส และฟรุ๊คโตส ทำปฏิกิริยากับกรดอะมิโนหรือโปรตีนในร่างกายเรา และส่งผลทำให้เกิดการเหี่ยวย่นและแก่แร็ว รวมถึงอาหารที่มีดัชนีน้ำตาลสูงๆนั้นยังทำให้หางของโครโมโซมที่เรียกว่าเทโลเมียร์สั้นลง นั่นหมายถึงอายุขัยสั้นลงเร็วด้วย
ด้วยเหตุผลนี้ องค์การอนามัยโลกจึงออกคำแนะนำปริมาณการบริโภคน้ำตาลต่อวันไม่ควรเกิน 24 กรัม หรือประมาณ 6 ช้อนชาต่อวัน (รวมน้ำตาลและน้ำตาลที่ได้จากแป้งในอาหารทุกชนิด)
อย่างไรก็ตาม การกินน้ำตาลเป็นประจำจะทำให้ติดน้ำตาล ดังนั้นก็จะมีบริษัทขายเครื่องดื่มหรืออาหารเติมน้ำตาลเข้าไปมากๆ เพื่อจะได้ขายดี
แต่เมื่อสำรวจเครื่องดื่มในร้านสะดวกซื้อชื่อดังแห่งหนึ่งเมื่อพิจารณาจากฉลากสินค้าแล้วพบว่ามีน้ำตาลเกินคำแนะนำขององค์การอนามัยโลกอย่างมาก โดยเฉพาะเครื่องดื่มใดที่มีรสเปรี้ยวนั้นกลับยิ่งมีน้ำตาลสูงมาก โดยบางขวดนั้นมีน้ำตาลสูงดึง 15-16 ช้อนชา
แต่เครื่องดื่มในร้านสะดวกซื้อนั้นอาจจะมีน้ำตาลน้อยกว่าร้านกาแฟและร้านอาหารฟาส์ตฟู้ดบางแห่งได้
ทั้งนี้ คณะบุคคลซึ่งผู้เชี่ยวชาญที่ห่วงใยผลกระทบของน้ำตาลต่อสุขภาพ ในอังกฤษได้รวมตัวกันเรียกว่า "Action on Sugar" และได้ออกรายงานการสำรวจปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มร้อน 131 ชนิด รวมถึงชาและกาแฟ โดยเฉพาะเครื่องดื่มชาผสมน้ำผลไม้ ในร้านชื่อดังในอังกฤษได้แก่ ร้านสตาบัคส์, ร้านคอสต้า, ร้านดังกิ้น โดนัทส์, ร้านเคเฟซี, ร้านแมคโดนัลด์ เป็นต้น
รายงานดังกล่าวได้สรุปว่าเครื่องดื่มส่วนใหญ่ถึง 98% มีน้ำตาลเกินต่อหนึ่งถ้วย และ 35% มีจำนวนน้ำตาลเท่ากับหรือมากกว่าโคคา โคล่า
ในร้านสตาร์บัคส์ ชาองุ่นปรุงรส, ชาส้มและอบเชยถ้วยใหญ่สุด มีน้ำตาลที่มากที่สุด โดยน้ำตาลสูงสุดอยู่ที่ 25 ช้อนชา ซึ่งสูงกว่า 3 เท่าของปริมาณน้ำตาลในผู้ใหญ่ต่อวัน
และไม่ใช่เฉพาะร้านสตาร์บัคส์ เท่านั้น แม้แต่เครื่องดื่มในร้านดังกิ้น โดนัท ชาวนิลาก็มีน้ำตาลมากว่า 11 ช้อนชา ในขณะที่กาแฟมอคคิอาโตร้อนก็มี 7 ช้อนชา ในขณะที่กาแฟมอคค่าในร้านเคเอฟซี ก็มีสูงถึง 15 ช้อนชา ในขณะที่การแฟมอคค่าขนาดใหญ่ในร้านแมคโดนัลด์มีน้ำตาลสูง 11 ช้อนชา และร้านการแฟในอังกฤษทีชื่อคอสต้า คอฟฟี่ ก็มีชาลาเต้ แมสซิโม ที่ใส่น้ำตาลถึง 20 ช้อนชา
ใครจะคิดว่าเครื่องดื่มในร้านกาแฟและร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดหลายถ้วยจะมีน้ำตาลมากกว่าน้ำอัดลมที่ขายตามร้านสะดวกซื้อเสียอีก
อย่างนี้เขาเรียกว่าจ่ายแพงแล้วยังได้โรคภัยมาด้วย จริงไหม?