เรียกได้ว่างานนี้มีความหวังแน่นอน สำหรับผู้ป่วยมะเร็งทั้งหลาย เพราะว่าศาสตราจารย์นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระเพราะอาหารและลำไส้ชาวไต้หวัน “หวังเจิ่นอิ” ค้นพบวิธีการรักษา “มะเร็ง” ง่ายๆ ชนิดไม่พึ่งยาเคมีบำบัดเลยสักนิด...
อาศัยก็เพียงแต่ “สรรพคุณ” ผลไม้ บวกกับ “การรับประทาน” ที่ถูกต้อง ก็สามารถรักษามะเร็งให้หายได้ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ได้ผลมากกว่าการที่รักษาโดยวิธีการทั่วไปที่คนไข้หรือผู้ป่วยหลังบำบัดมีเพียงไม่กี่รายสามารถอยู่รอดได้เกิน 5ปี จากส่วนใหญ่ที่จะเสียชีวิตในระยะ 2-3 ปี เช่นเดียวกับผู้ป่วยหรือคนไจ้ที่ไม่ได้รับการรักษา ซึ่งสาเหตุก็เนื่องจากการทำเคมีบำบัดหรือการฉายแสงมีผลกระทบทำลายเซลล์ที่ดีของคนไข้ ทำให้ร่างกายอ่อนแอ เชื้อจึงแพร่กระจายเร็วขึ้น ซึ่งมีผลต่อการร่วมและการก่อกำเนิดปฏิกิริยาในด้านอื่นๆอีก
อย่างไรก็ตาม จากรายงานจากเฟซบุ๊ก Leeprapan Lee ได้บอกอีกว่าศาสตราจารย์นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหวังเจิ่นอิ แนะนำให้กิน “ผลไม้” ในช่วงที่เวลาท้องยังว่างช่วงก่อนอาหาร และหลังอาหารควรดื่มเครื่องดื่มที่ “ร้อน” เท่านั้น
ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะว่า หากเรารับประทารอาหารอย่างขนมปัง 2 แผ่น แล้วหลังจากนั้น กินผลไม้ 1 ชิ้นเข้าไป ซึ่งตามหลักกระบวนการย่อยอาหารผลไม้จะผ่านผนังกระเพาะอาหารก่อนเข้าสู่ลำไส้ แต่ถ้าเรารับประทานอาหารเช้าไปก่อน ผลไม้จะถูกกีดกันจากอาหารอื่นที่รับประทานก่อนหน้าที่จะรับประทานผลไม้ ดังนั้นเมื่อผลไม้ที่รับประทานเข้าไปได้ถูกผสมกับอาหารและน้ำย่อยที่เป็นกรดในกระเพาะ อาหารสรรพคุณผลไม้ก็ถูกเปลี่ยนไปด้วย
ตัวอย่างนี้ไม่ต่างไปจากการรับประทานผลไม้อย่าง แตงโม ที่จะเกิดอาการสะอึก ทุเรียนส่งผลให้ท้องจุก กล้วยหอมทำให้ระบายอ่อนๆ ถ้ารับประทานผลไม้ก่อนรับประทานอาหารก็จะไม่เกิดเหตุดังกล่าว จึงไม่ควรกินผลไม้หลังอาหาร ผลไม้ถึงจะได้บรรลุผลในการฆ่าเชื้อ และสามารถให้พลังงานแก่ร่างกาย รวมถึงลดความอ้วน และมีผลต่อการร่วมและการก่อกำเนิดปฏิกิริยาใน ด้านอื่นๆ อีก
ส่วนหลังอาหารควรรับประทานเครื่องดื่มร้อนๆ งดเครื่องดื่มน้ำเย็นๆ นั้น เนื่องจากน้ำเย็นส่งผลให้เกิดโรคมะเร็งได้ง่าย เพราะน้ำเย็นจะทำให้ไขมันที่กินเข้าไปแข็งตัว ซึ่งส่งผลเสียต่อการย่อย ไขที่แข็งตัว ทำปฎิกิริยากับกรดในกระเพาะ ทำให้ไขเป็นเกล็ดเล็ก ซึ่งง่ายต่อการดูดซึมในลำใส้ และจะฝังในผนังของลำใส้ ก่อตัวเป็นไขมัน ก่อให้เกิดมะเร็งนั่นเอง ดังนั้นหลังอาหารแล้วควรดื่มน้ำร้อน
นอกจากนี้ยังมีรายงานการวิจัยของ ดร.เฮ่อโป๋ ร่วมยืนยันถึงแนวความคิดดังกล่าวด้วย ซึ่งจากผลการวิจัยพบว่า เมื่อผลไม้เข้าสู่ร่างกายจะมีผลเป็นด่าง ตัวอย่างเช่นผลส้มหรือมะนาว มีรสเปรี้ยวก็ตาม แต่ก็ล้วนเป็นอาหารที่มีความเป็นด่างนั่นเอง การรับประทานผลไม้ในเวลาที่ท้องว่าง จึงช่วยเสริมสุขภาพที่แข็งแรง มีพลามัยที่ดี อายุจะได้ยืนยาวนาน มีความสุข และยังได้ความสวยงามแถมหุ่นดีอีกด้วย สามารถรับผลไม้ 3 วัน ติดต่อกัน เพื่อชะล้างร่างกายให้สะอาด ผิวพรรณจะนวลผ่อง อย่างสังเกตได้
ดังนั้นจึงควรทานผลไม้ให้ถูกวิธี ซึ่งวิธีที่ได้ผลที่สุดคือ รับประทานเพียวๆ ทั้งผล ส่วนน้ำผลไม้จะให้ผลรองลงมา แต่ก็ไม่ควรดื่มผลไม้กระป๋อง หรือนำไปอุ่นให้ร้อน เพราะคุณประโยชน์ที่ดีของผลไม้จะถูกทำลาย และต้องดื่มเป็นคำเพื่อให้น้ำลายได้คลุกเคล้ากันให้ทั่วก่อนกลืนลงคอ
และผลไม้ที่แนะนำ ก็ได้แก่ อาทิ "กีวี่" ที่ประกอบไปด้วย สารโปแตสเซี่ยม แมกนีเซี่ยม ไฟเบอร์ วิตามินอี วิตามินซี ที่มีมากกว่า2เท่าของส้ม
แอปเปิล
อุดมไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยให้วิตามินซีตื่นตัว ช่วยลดการเกิดมะเร็งในลำใส้โรคหัวใจและโรคลมชัก จึงมีคำพังเพยที่ว่า “รับประทานแอบเปิลวันละผล แพทย์จะจน เพราะทุกคน สุขภาพดี”
สตรอว์เบอร์รี
ราชาแห่งผลไม้ผู้คุ้มกันและปกป้องร่างกาย เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระป้องกันไม่ให้ให้เกิดมะเร็ง และช่วยในการแข็งตัวของเลือดที่เกิดขึ้นในหลอดเลือดและสารอนุมูลอิสระ
ส้ม
ต่อต้านไข้หวัด ลดคอเลสเตอรอล ป้องกันหรือสลายนิ่วในไตลดการเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ หากรับประทานวันละ 2-4 ผล
แตงโม
ไม่มใช่แค่แก้กระหายได้เป็นอย่างดีเท่านั้นสำหรับแตงโม เพราะประกอบด้วยน้ำถึง 95 เปอร์เซ็นต์ ยังช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน มีกลูตาไธโอน ไลโคปีน สารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินซีและโพแทสเซียม
นอกจากนี้ก็ยังมี “มะละกอ” ที่มีมีวิตามินซีมากที่สุด มีคาระตินส่งผลดีต่อดวงตา และ “ฝรั่ง” ที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์แก้ท้องผูกได้ดี
ท้ายที่สุดวิธีการดังกล่าวจะสามารถสัมฤทธิ์ผลรักษาโรคมะเร็งได้หรือไม่นั้น... ก็สุดแท้แต่ความเชื่อส่วนบุคคล แต่กระนั้นวิธีการดังกล่าวนอกจากจะไม่มีผลเสียหรือผลกระทบตามมา ยังมีแต่ผลดีต่อสุขภาพร่างกายอย่างที่เราๆ รู้สรรพคุณของผลไม้
อาศัยก็เพียงแต่ “สรรพคุณ” ผลไม้ บวกกับ “การรับประทาน” ที่ถูกต้อง ก็สามารถรักษามะเร็งให้หายได้ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ได้ผลมากกว่าการที่รักษาโดยวิธีการทั่วไปที่คนไข้หรือผู้ป่วยหลังบำบัดมีเพียงไม่กี่รายสามารถอยู่รอดได้เกิน 5ปี จากส่วนใหญ่ที่จะเสียชีวิตในระยะ 2-3 ปี เช่นเดียวกับผู้ป่วยหรือคนไจ้ที่ไม่ได้รับการรักษา ซึ่งสาเหตุก็เนื่องจากการทำเคมีบำบัดหรือการฉายแสงมีผลกระทบทำลายเซลล์ที่ดีของคนไข้ ทำให้ร่างกายอ่อนแอ เชื้อจึงแพร่กระจายเร็วขึ้น ซึ่งมีผลต่อการร่วมและการก่อกำเนิดปฏิกิริยาในด้านอื่นๆอีก
อย่างไรก็ตาม จากรายงานจากเฟซบุ๊ก Leeprapan Lee ได้บอกอีกว่าศาสตราจารย์นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหวังเจิ่นอิ แนะนำให้กิน “ผลไม้” ในช่วงที่เวลาท้องยังว่างช่วงก่อนอาหาร และหลังอาหารควรดื่มเครื่องดื่มที่ “ร้อน” เท่านั้น
ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะว่า หากเรารับประทารอาหารอย่างขนมปัง 2 แผ่น แล้วหลังจากนั้น กินผลไม้ 1 ชิ้นเข้าไป ซึ่งตามหลักกระบวนการย่อยอาหารผลไม้จะผ่านผนังกระเพาะอาหารก่อนเข้าสู่ลำไส้ แต่ถ้าเรารับประทานอาหารเช้าไปก่อน ผลไม้จะถูกกีดกันจากอาหารอื่นที่รับประทานก่อนหน้าที่จะรับประทานผลไม้ ดังนั้นเมื่อผลไม้ที่รับประทานเข้าไปได้ถูกผสมกับอาหารและน้ำย่อยที่เป็นกรดในกระเพาะ อาหารสรรพคุณผลไม้ก็ถูกเปลี่ยนไปด้วย
ตัวอย่างนี้ไม่ต่างไปจากการรับประทานผลไม้อย่าง แตงโม ที่จะเกิดอาการสะอึก ทุเรียนส่งผลให้ท้องจุก กล้วยหอมทำให้ระบายอ่อนๆ ถ้ารับประทานผลไม้ก่อนรับประทานอาหารก็จะไม่เกิดเหตุดังกล่าว จึงไม่ควรกินผลไม้หลังอาหาร ผลไม้ถึงจะได้บรรลุผลในการฆ่าเชื้อ และสามารถให้พลังงานแก่ร่างกาย รวมถึงลดความอ้วน และมีผลต่อการร่วมและการก่อกำเนิดปฏิกิริยาใน ด้านอื่นๆ อีก
ส่วนหลังอาหารควรรับประทานเครื่องดื่มร้อนๆ งดเครื่องดื่มน้ำเย็นๆ นั้น เนื่องจากน้ำเย็นส่งผลให้เกิดโรคมะเร็งได้ง่าย เพราะน้ำเย็นจะทำให้ไขมันที่กินเข้าไปแข็งตัว ซึ่งส่งผลเสียต่อการย่อย ไขที่แข็งตัว ทำปฎิกิริยากับกรดในกระเพาะ ทำให้ไขเป็นเกล็ดเล็ก ซึ่งง่ายต่อการดูดซึมในลำใส้ และจะฝังในผนังของลำใส้ ก่อตัวเป็นไขมัน ก่อให้เกิดมะเร็งนั่นเอง ดังนั้นหลังอาหารแล้วควรดื่มน้ำร้อน
นอกจากนี้ยังมีรายงานการวิจัยของ ดร.เฮ่อโป๋ ร่วมยืนยันถึงแนวความคิดดังกล่าวด้วย ซึ่งจากผลการวิจัยพบว่า เมื่อผลไม้เข้าสู่ร่างกายจะมีผลเป็นด่าง ตัวอย่างเช่นผลส้มหรือมะนาว มีรสเปรี้ยวก็ตาม แต่ก็ล้วนเป็นอาหารที่มีความเป็นด่างนั่นเอง การรับประทานผลไม้ในเวลาที่ท้องว่าง จึงช่วยเสริมสุขภาพที่แข็งแรง มีพลามัยที่ดี อายุจะได้ยืนยาวนาน มีความสุข และยังได้ความสวยงามแถมหุ่นดีอีกด้วย สามารถรับผลไม้ 3 วัน ติดต่อกัน เพื่อชะล้างร่างกายให้สะอาด ผิวพรรณจะนวลผ่อง อย่างสังเกตได้
ดังนั้นจึงควรทานผลไม้ให้ถูกวิธี ซึ่งวิธีที่ได้ผลที่สุดคือ รับประทานเพียวๆ ทั้งผล ส่วนน้ำผลไม้จะให้ผลรองลงมา แต่ก็ไม่ควรดื่มผลไม้กระป๋อง หรือนำไปอุ่นให้ร้อน เพราะคุณประโยชน์ที่ดีของผลไม้จะถูกทำลาย และต้องดื่มเป็นคำเพื่อให้น้ำลายได้คลุกเคล้ากันให้ทั่วก่อนกลืนลงคอ
และผลไม้ที่แนะนำ ก็ได้แก่ อาทิ "กีวี่" ที่ประกอบไปด้วย สารโปแตสเซี่ยม แมกนีเซี่ยม ไฟเบอร์ วิตามินอี วิตามินซี ที่มีมากกว่า2เท่าของส้ม
แอปเปิล
อุดมไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยให้วิตามินซีตื่นตัว ช่วยลดการเกิดมะเร็งในลำใส้โรคหัวใจและโรคลมชัก จึงมีคำพังเพยที่ว่า “รับประทานแอบเปิลวันละผล แพทย์จะจน เพราะทุกคน สุขภาพดี”
สตรอว์เบอร์รี
ราชาแห่งผลไม้ผู้คุ้มกันและปกป้องร่างกาย เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระป้องกันไม่ให้ให้เกิดมะเร็ง และช่วยในการแข็งตัวของเลือดที่เกิดขึ้นในหลอดเลือดและสารอนุมูลอิสระ
ส้ม
ต่อต้านไข้หวัด ลดคอเลสเตอรอล ป้องกันหรือสลายนิ่วในไตลดการเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ หากรับประทานวันละ 2-4 ผล
แตงโม
ไม่มใช่แค่แก้กระหายได้เป็นอย่างดีเท่านั้นสำหรับแตงโม เพราะประกอบด้วยน้ำถึง 95 เปอร์เซ็นต์ ยังช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน มีกลูตาไธโอน ไลโคปีน สารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินซีและโพแทสเซียม
นอกจากนี้ก็ยังมี “มะละกอ” ที่มีมีวิตามินซีมากที่สุด มีคาระตินส่งผลดีต่อดวงตา และ “ฝรั่ง” ที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์แก้ท้องผูกได้ดี
ท้ายที่สุดวิธีการดังกล่าวจะสามารถสัมฤทธิ์ผลรักษาโรคมะเร็งได้หรือไม่นั้น... ก็สุดแท้แต่ความเชื่อส่วนบุคคล แต่กระนั้นวิธีการดังกล่าวนอกจากจะไม่มีผลเสียหรือผลกระทบตามมา ยังมีแต่ผลดีต่อสุขภาพร่างกายอย่างที่เราๆ รู้สรรพคุณของผลไม้