การมีใบหน้าที่ผ่องใส และที่สำคัญ คงความอ่อนวัยไว้ได้นานที่สุด ดูเหมือนจะเป็นหนึ่งในสุดยอดความปรารถนาใครถูกทักด้วยถ้อยคำว่า “ไปทำอะไรมา ดูหน้าตาสดใสจัง” คงยิ้มไม่หุบ และนี่ก็คือเคล็ดลับที่เราคัดสรรมาฝากเพื่อให้คุณสมปรารถนานั้น
1.ทำความสะอาดอย่างอ่อนโยน
ล้างหน้าวันสองครั้ง ด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าที่อ่อนโยน เพื่อขจัดสิ่งสกปรก สิ่งอุดตัน เครื่องสำอาง สะเก็ดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว และน้ำมันที่สะสมอยู่ออกไป ในการเลือกผลิตภัณฑ์ คุณอาจต้องลองผิดลองถูกบ้าง หากรู้สึกว่าผิวหน้าแห้ง ตึง และกระด้าง หลังจากล้างหน้าไปได้ประมาณ 30 นาที แสดงว่าผลิตภัณฑ์นั้นอาจแรงเกินไป ควรลองใช้ตัวอื่นแทน ผิวของคุณควรรู้สึกนุ่มและยืดหยุ่นหลังจากล้างหน้า 30 นาที ผลิตภัณฑ์ที่มีกรดไฮดร็อกซี เช่น ไกลโคลิก และกรดซาลิไซลิก ดีสำหรับคนส่วนใหญ่ เพราะช่วยขจัดเซลล์ผิวระหว่างการล้างหน้าและเสริมความชุ่มชื่นให้แก่ผิวด้วย คุณอาจใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่มี AHA/BHA ทุกวัน หรือสัปดาห์ละสองครั้ง หรือแค่สัปดาห์ละครั้ง ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของคุณ
หากคุณเป็นสิวบ่อย คุณอาจเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าสำหรับผิวที่เป็นสิว ซึ่งมีส่วนผสมพิเศษ ที่เห็นได้ชัด คือ “เบนโซอิล เพอร็อกไซด์"(Benzoyl Peroxide) และ/หรือกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) ที่ช่วยกำจัดแบคทีเรียบนผิว อันเป็นเหตุให้สิวลุกลาม ควรล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น อย่าใช้น้ำร้อน หากรู้สึกว่าเบนโซอิล เพอร็อกไซด์ทำให้ผิวแห้งและระคายเคืองเกินไป อาจหาผลิตภัณฑ์ที่มีแต่กรดซาลิไซลิก และอย่าลืมทาครีมเพิ่มความชุ่มชื่น อย่ากลัวที่จะทาครีมบำรุงผิวแม้ว่าคุณจะมีสิวก็ตาม เพราะครีมบำรุงจะไม่ทำให้อาการแย่ไปกว่าเดิม และอันที่จริงแล้วยังอาจช่วยรักษาสิวด้วยซ้ำ
2.โทนเนอร์
ใช้หลังจากล้างหน้าเสร็จใหม่ๆ โทนเนอร์ช่วยปรับผิวให้กลับสู่สภาพที่มีความเป็นกรดเล็กน้อย ซึ่งเป็นค่า pH ที่ผิวทำงานได้ดีที่สุด ชั้นปราการบนผิวของคุณซึ่งทำหน้าที่หยุดยั้งการเติบโตของแบคทีเรียและเชื้อรา รวมทั้งช่วยเก็บกักความชุ่มชื่นไว้นั้น จะชอบสภาวะที่เป็นกรด ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดส่วนใหญ่จะทำให้ผิวมีสภาพเป็นด่างเล็กน้อย ซึ่งทำให้ผิวของคุณเสี่ยงต่อความเสียหายและการติดเชื้อมากขึ้น แม้ว่าผิวจะจะกลับคืนสู่สภาวะที่เป็นกรดเล็กน้อยได้เอง แต่โทนเนอร์จะช่วยให้ผิวสดชื่น ชุ่มชื่น ชนิดที่ไม่ทำให้ผิวแห้งจนเกินไป (บางชนิดมีแอลกอฮอล์ที่แรงจนทำให้ผิวของคุณแห้งได้)
และจะดีที่สุด หากเลือกโทนเนอร์ที่ผสมสารสกัดจากพฤษาที่ช่วยสมานผิวได้ เช่น มินต์ ดอกคอร์นฟลาวเวอร์ คาโมมายล์ หรือส้มที่มีรสเปรี้ยว โทนเนอร์บางชนิดอาจมีส่วนผสมที่ให้ความชุ่มชื่นแก่ผิว เช่น โซเดียมพีซีเอ และ / หรือ กรดแอมิโน หากโทนเนอร์ผสมสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซีและอีด้วย ก็นับว่าได้กำไรเพิ่มขึ้น
3.บำรุงและซ่อมแซม
หากคุณใช้ผลิตภัณฑ์สูตรพิเศษต่างๆ เช่น เรตินอยด์ ส่วนผสมของสารต้านอนุมูลอิสระ หรือครีมที่ช่วยให้สีผิวสม่ำเสมอ ควรทำผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ก่อนใช้มอยส์เจอไรเซอร์ ทำตามคำแนะนำข้างกล่อง ครีมบางชนิดควรใช้เวลากลางคืน หรือทั้งตอนเช้าและกลางคืน
4.ให้ความชุ่มชื่น
ควรใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่ผสมผสานกันแดดสำหรับใบหน้าในตอนเช้า ส่วนตอนกลางคืนให้เปลี่ยนมาใช้ชนิดที่ไม่มีสารกันแดด แต่เข้มข้นขึ้นและเต็มไปด้วยสารให้ความชุ่มชื้น สารต้านอนุมูลอิสระ และสารสกัดจากพืช
อย่ากังวลว่า คุณจะใช้สารบางชนิดซ้ำซ้อน เช่น สารต้านอนุมูลอิสระและสารที่ช่วยสมานผิว และมอยส์เจอไรเซอร์ดังกล่าวอยู่ในผลิตภัณฑ์ทั้งบำรุงผิวและซ่อมแซมผิวและมอยส์เจอไรเซอร์ เพราะคุณแทบจะไม่มีทางได้รับความมหัศจรรย์แห่งการชะลอวัยเหล่านี้ในปริมาณที่มากพอเลย คุณอาจหาครีมสำหรับเวลากลางคืนที่มีเรตินอลด้วยก็ได้ แต่ถ้าหากคุณใช้เรตินอยด์ตามใบสั่งของแพทย์อยู่แล้ว เช่น Retin-A ก็ไม่ควรเลือกใช้ไนท์ครีมที่มีเรตินอลเพิ่มอีก
__________________________________________
**ข้อมูลจากหนังสือ “กินน้ำชะลอวัย สิ่งดีๆ ไม่ใช่แค่ดื่ม” เขียนโดยนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ Howard Murad, M.D. สำนักพิมพ์อมรินทร์สุขภาพ**
1.ทำความสะอาดอย่างอ่อนโยน
ล้างหน้าวันสองครั้ง ด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าที่อ่อนโยน เพื่อขจัดสิ่งสกปรก สิ่งอุดตัน เครื่องสำอาง สะเก็ดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว และน้ำมันที่สะสมอยู่ออกไป ในการเลือกผลิตภัณฑ์ คุณอาจต้องลองผิดลองถูกบ้าง หากรู้สึกว่าผิวหน้าแห้ง ตึง และกระด้าง หลังจากล้างหน้าไปได้ประมาณ 30 นาที แสดงว่าผลิตภัณฑ์นั้นอาจแรงเกินไป ควรลองใช้ตัวอื่นแทน ผิวของคุณควรรู้สึกนุ่มและยืดหยุ่นหลังจากล้างหน้า 30 นาที ผลิตภัณฑ์ที่มีกรดไฮดร็อกซี เช่น ไกลโคลิก และกรดซาลิไซลิก ดีสำหรับคนส่วนใหญ่ เพราะช่วยขจัดเซลล์ผิวระหว่างการล้างหน้าและเสริมความชุ่มชื่นให้แก่ผิวด้วย คุณอาจใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่มี AHA/BHA ทุกวัน หรือสัปดาห์ละสองครั้ง หรือแค่สัปดาห์ละครั้ง ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของคุณ
หากคุณเป็นสิวบ่อย คุณอาจเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าสำหรับผิวที่เป็นสิว ซึ่งมีส่วนผสมพิเศษ ที่เห็นได้ชัด คือ “เบนโซอิล เพอร็อกไซด์"(Benzoyl Peroxide) และ/หรือกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) ที่ช่วยกำจัดแบคทีเรียบนผิว อันเป็นเหตุให้สิวลุกลาม ควรล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น อย่าใช้น้ำร้อน หากรู้สึกว่าเบนโซอิล เพอร็อกไซด์ทำให้ผิวแห้งและระคายเคืองเกินไป อาจหาผลิตภัณฑ์ที่มีแต่กรดซาลิไซลิก และอย่าลืมทาครีมเพิ่มความชุ่มชื่น อย่ากลัวที่จะทาครีมบำรุงผิวแม้ว่าคุณจะมีสิวก็ตาม เพราะครีมบำรุงจะไม่ทำให้อาการแย่ไปกว่าเดิม และอันที่จริงแล้วยังอาจช่วยรักษาสิวด้วยซ้ำ
2.โทนเนอร์
ใช้หลังจากล้างหน้าเสร็จใหม่ๆ โทนเนอร์ช่วยปรับผิวให้กลับสู่สภาพที่มีความเป็นกรดเล็กน้อย ซึ่งเป็นค่า pH ที่ผิวทำงานได้ดีที่สุด ชั้นปราการบนผิวของคุณซึ่งทำหน้าที่หยุดยั้งการเติบโตของแบคทีเรียและเชื้อรา รวมทั้งช่วยเก็บกักความชุ่มชื่นไว้นั้น จะชอบสภาวะที่เป็นกรด ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดส่วนใหญ่จะทำให้ผิวมีสภาพเป็นด่างเล็กน้อย ซึ่งทำให้ผิวของคุณเสี่ยงต่อความเสียหายและการติดเชื้อมากขึ้น แม้ว่าผิวจะจะกลับคืนสู่สภาวะที่เป็นกรดเล็กน้อยได้เอง แต่โทนเนอร์จะช่วยให้ผิวสดชื่น ชุ่มชื่น ชนิดที่ไม่ทำให้ผิวแห้งจนเกินไป (บางชนิดมีแอลกอฮอล์ที่แรงจนทำให้ผิวของคุณแห้งได้)
และจะดีที่สุด หากเลือกโทนเนอร์ที่ผสมสารสกัดจากพฤษาที่ช่วยสมานผิวได้ เช่น มินต์ ดอกคอร์นฟลาวเวอร์ คาโมมายล์ หรือส้มที่มีรสเปรี้ยว โทนเนอร์บางชนิดอาจมีส่วนผสมที่ให้ความชุ่มชื่นแก่ผิว เช่น โซเดียมพีซีเอ และ / หรือ กรดแอมิโน หากโทนเนอร์ผสมสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซีและอีด้วย ก็นับว่าได้กำไรเพิ่มขึ้น
3.บำรุงและซ่อมแซม
หากคุณใช้ผลิตภัณฑ์สูตรพิเศษต่างๆ เช่น เรตินอยด์ ส่วนผสมของสารต้านอนุมูลอิสระ หรือครีมที่ช่วยให้สีผิวสม่ำเสมอ ควรทำผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ก่อนใช้มอยส์เจอไรเซอร์ ทำตามคำแนะนำข้างกล่อง ครีมบางชนิดควรใช้เวลากลางคืน หรือทั้งตอนเช้าและกลางคืน
4.ให้ความชุ่มชื่น
ควรใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่ผสมผสานกันแดดสำหรับใบหน้าในตอนเช้า ส่วนตอนกลางคืนให้เปลี่ยนมาใช้ชนิดที่ไม่มีสารกันแดด แต่เข้มข้นขึ้นและเต็มไปด้วยสารให้ความชุ่มชื้น สารต้านอนุมูลอิสระ และสารสกัดจากพืช
อย่ากังวลว่า คุณจะใช้สารบางชนิดซ้ำซ้อน เช่น สารต้านอนุมูลอิสระและสารที่ช่วยสมานผิว และมอยส์เจอไรเซอร์ดังกล่าวอยู่ในผลิตภัณฑ์ทั้งบำรุงผิวและซ่อมแซมผิวและมอยส์เจอไรเซอร์ เพราะคุณแทบจะไม่มีทางได้รับความมหัศจรรย์แห่งการชะลอวัยเหล่านี้ในปริมาณที่มากพอเลย คุณอาจหาครีมสำหรับเวลากลางคืนที่มีเรตินอลด้วยก็ได้ แต่ถ้าหากคุณใช้เรตินอยด์ตามใบสั่งของแพทย์อยู่แล้ว เช่น Retin-A ก็ไม่ควรเลือกใช้ไนท์ครีมที่มีเรตินอลเพิ่มอีก
__________________________________________
**ข้อมูลจากหนังสือ “กินน้ำชะลอวัย สิ่งดีๆ ไม่ใช่แค่ดื่ม” เขียนโดยนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ Howard Murad, M.D. สำนักพิมพ์อมรินทร์สุขภาพ**