เป็นระยะเวลายาวนาน บางคนร่วมทั้งชีวิตเลยก็ว่าได้ที่เข้าใจผิดคิดว่า "น้ำมันพืช" นั้นดีกว่า "น้ำมันหมู" ในทุกทาง อย่างที่เราๆ ท่านๆ เคยได้ยินได้ฟังสารพัด "คุณประโยชน์" โดยไร้พิษภัยต่อสุขภาพของน้ำมันพืชไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (polyunsaturated vegetable oil) ที่ผ่านกรรมวิธี อย่างเช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันเมล็ดทานตะวัน น้ำมันข้าวโพด น้ำมันมะกอก น้ำมันงา เป็นต้น
และ "น้ำมันหมู" คือภัยร้ายมหันต์! เนื่องจากมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวและคอเลสเตอรอลสูง นั่นคือสิ่งที่ถูกบอกกล่าวมาแล้วซ้ำๆ
แต่กระนั้น ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาของการนิยมเลือกใช้น้ำมันพืช กลับส่งผลให้เกิดโรคต่างๆ เพิ่มขึ้นมากมาย อาทิ โรคเบาหวาน คอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ โรคหัวใจ ความดัน ฯลฯ นั่นคือคำถามที่น่าคิดต่อ ว่าแท้จริงแล้วเป็นอย่างไร
วันนี้ เราจึงหยิบเอาคุณประโยชน์ข้อดีของ "น้ำมันหมู" มาเสนอเป็นทางเลือก ผ่านถ้อยคำของนายแพทย์วีระชัย สิทธิปิยะสกุล ผู้อำนวยการศูนย์อนามัยที่ 9 พิษณุโลก ที่ได้แชร์ประสบการณ์ของตัวเองไว้และมีการแชร์ต่อๆ กันไปในโลกออนไลน์
"ผมคิดว่าคนไทยส่วนใหญ่ในยุคนั้น คงเหมือนกับครอบครัวของผม ที่ได้เห็น ได้ยิน ได้ฟัง และเชื่อตามโฆษณาที่มีการยิงโฆษณาถี่มากในสมัยนั้น เพื่อพยายามชักจูงให้ผู้คนหันมารับประทานนํ้ามันพืชแทนนํ้ามันหมู โดยการโฆษณาในสมัยนั้นจะใช้นํ้ามันพืชและนํ้ามันหมูแช่ใส่ตู้เย็นเปรียบเทียบ ทำให้เห็นว่านํ้ามันพืชไม่เป็นไข ส่วนนํ้ามันหมูจะเป็นไข
"แล้วก็จะชักจูงต่อเนื่องด้วยวารสารทางการแพทย์ บทวิจัยทางการแพทย์ การออกสื่อต่างๆ โดยแพทย์และนักวิชาการที่น่าเชื่อถือ ทั้งที่ความจริงแล้วคนเหล่านั้นน่าจะไม่ได้วิจัยหรือทราบอะไรจริง แค่ทราบมาจากในสถาบันการเรียน จากตำราฝรั่ง จากการวิจัยหลอกลวงของฝรั่ง คือวงการแพทย์ของอเมริกาใช้การล่อลวงนี้เพื่อจะทำให้อุตสาหกรรมถั่วเหลืองของอเมริกาเติบโตขึ้น ซึ่งเรื่องนี้วงการแพทย์อเมริกาเพิ่งออกมายอมรับ ออกบทความว่า "ขอโทษที่หลอกลวงพลโลกให้หลงเชื่อเปลี่ยนมารับประทานนํ้ามันถั่วเหลืองมากว่า 60 ปี..."
"ที่บ้านผมจึงเปลี่ยนกลับมาซื้อมันหมูมาเจียวเป็นนํ้ามันหมู เพื่อทำอาหารเมื่อ 5 ปี ที่ผ่านมา ก็สังเกตว่าคนในบ้านไม่เห็นมีใครเป็นอะไรมากมาย อาการโรคผิดปกติทางกายที่หลายคนเคยเป็น ก็ดูดีขึ้น จากการตรวจร่างกายเป็นระยะ การเจ็บป่วยที่มีเป็นบ้าง นานๆ ครั้งก็สามารถหายได้อย่างรวดเร็ว"
ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ผลออกมาเป็นเช่นเนื่องจาก "น้ำมันหมู" เหมาะที่จะใช้กับมนุษย์ เนื่องจากอวัยวะในร่างกายหลายๆ อย่างมีส่วนคล้ายคลึงกัน และในวงการแพทย์ยังมีความพยายามที่จะเปลี่ยนถ่ายอวัยวะภายในของหมูกับคนอีกด้วย
"การเจียวนํ้ามันหมู ก็ใช้วิธีแบบบ้านๆ ไม่ต้องใช้สารเคมี ไม่ต้องผ่านขบวนการอุตสาหกรรม คืออีกเหตุผลหนึ่งที่ผมหันมาใช้นํ้ามันหมู และก็รวมถึงรับประทานของทอดน้อยลงด้วย เพราะเมื่อใช้น้ำมันหมูแล้วทำให้ใช้น้ำมันน้อยลง ข้อสังเกตอย่างเวลาที่เราทำกับข้าว การใช้นํ้ามันหมูจะใช้น้อยกว่านํ้ามันพืชครึ่งหนึ่ง แต่ก็ทำให้กับข้าวดูน่าทานมากกว่าและนํ้ามันหมูทำกับข้าวก็หอม อร่อย กว่าทำกับข้าวจากนํ้ามันพืชมากด้วย"
นายแพทย์ วีระชัย ยังบอกเสริมว่า เพราะน้ำมันพืชนั้นไม่เหมาะกับสภาวะความร้อนในร่างกายและการสกัดน้ำมันพืชยังต้องใช้ความร้อนสูงมาก ใช้สารเคมีหลายขั้นตอน อีกทั้งขณะที่เราใช้น้ำมันพืช หลายสิบปี จะสังเกตได้ว่า "ห้องครัว" สกปรกมาก
"ท่านลองนำนํ้ามันพืชและนํ้ามันหมู ใส่แก้วสักแก้วละ 1 ช้อนโต๊ะ แล้วนำไปตากแดดอาทิตย์หนึ่ง ผมว่าท่านน่าจะเห็นแล้วความแตกต่าง
"นอกจากนี้ ก็ลองล้างเตาแก๊ซ ล้างพัดลมดูดอากาศ จะพบว่ามีคราบสีดำ แข็ง เหนียวหนืด ล้างไม่ออกง่ายๆ ต้องใช้การขูด ขัดอย่างรุนแรงร่วมกับการใช้นํ้ายากัดถึงจะออก แต่เมื่อเปลี่ยนมาใช้นํ้ามันหมู ทำให้ห้องครัวสะอาดมากขึ้น ทำความสะอาดได้ง่ายขึ้น มีละอองไขมันไปเกาะข้างฝาและหลอดไฟน้อย"
"คือผู้ป่วยหลายๆ รายที่มีอาการเจ็บป่วย รักษาเท่าไหร่ก็ไม่หาย แพทย์ทางเลือกและแพทย์แผนโบราณทั้งจีนหรือไทย แนะนำให้ผู้ป่วยเปลี่ยน อาการป่วยก็ทุเลาหายได้ เพราะเหตุใด.. ผมก็ไม่กล้าจะกล่าวว่า แพทย์แผนปัจจุบันหลายท่าน ที่มีประสบการณ์การรักษาโรคมายาวนานและศึกษาองค์ความรู้รอบตัวมากขึ้น เริ่มแนะนำให้ผู้ป่วยบางเคส ที่รักษาไม่หาย เป็นซํ้าๆ ซากๆ ให้หันมารับประทานนํ้ามันหมูแทนนํ้ามันพืช"
"แต่การทานก็ควรทานในปริมาณที่เหมาะสมพอเพียงต่อความต้องการของร่างกายเท่านั้น เพราะไขมันเป็นสิ่งจำเป็นต่อร่างกาย ขาดไม่ได้ และการรับประทานอาหารก็ไม่ใช่ว่าจะรับประทานแค่อาหารผัด อาหารทอด เราควรรับประทานอาหารอย่างอื่นร่วมด้วยหรือสลับกันไปด้วย เช่น ต้ม ยำ นึ่ง แกง ย่าง หรือการทานสดๆ
"เพราะไขมันในอาหารที่เข้าสู่ร่างกาย เราไม่ใช่แค่ได้รับจากการใช้นํ้ามันในการทำอาหารเท่านั้น แต่เรายังได้รับไขมันจากตัวอาหารนั้นๆ อีกด้วย เช่น นํ้ามันในเนื้อ หมู กุ้ง ปู ปลา ไก่ และธัญพืชเมล็ดแห้งชนิดต่างๆ"
ท้ายที่สุด ก็ใช่ว่าต้องใช้แต่ "น้ำมันหมู" เท่านั้นในการประกอบอาหารรับประทาน แต่ก็ควรจะเรียนรู้วิธีการใช้ที่เหมาะสม นอกจากตามประเภทการใช้งานแต่ละอย่างก็ควรใช้ น้ำมันอื่นๆ ร่วมด้วย
"นํ้ามันพืช ปัจจุบันนี้ที่บ้านผมก็มีใช้ทำอาหารอยู่บ้างเป็นบางครั้ง ส่วนใหญ่จะใช้ทำสลัดผัก และ ใช้เป็นส่วนหนึ่งในการหมักหมูนํ้ามันงาเวลาจะย่างหมูแดง นอกจากนั้นผมจะใช้นํ้ามันพืชมากในช่วงเทศกาลถือศีลกินเจและทุกวันพระจีน เพราะผมจะทานเจเดือนละ 2 วัน ก็ต้องใช้นํ้ามันพืชเช่นกันครับ
"แต่นํ้ามันพืชที่ผมใช้ ผมก็จะเลือกใช้นํ้ามันพืช "สกัดเย็น" เท่านั้น เช่น นํ้ามันงา นํ้ามันรำข้าว นํ้ามันมะกอก นํ้ามันมะพร้าว สลับกันไปครับ"
______________________________________________________
ข้อมูล : HappyPhoneMBKfanpage
และ "น้ำมันหมู" คือภัยร้ายมหันต์! เนื่องจากมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวและคอเลสเตอรอลสูง นั่นคือสิ่งที่ถูกบอกกล่าวมาแล้วซ้ำๆ
แต่กระนั้น ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาของการนิยมเลือกใช้น้ำมันพืช กลับส่งผลให้เกิดโรคต่างๆ เพิ่มขึ้นมากมาย อาทิ โรคเบาหวาน คอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ โรคหัวใจ ความดัน ฯลฯ นั่นคือคำถามที่น่าคิดต่อ ว่าแท้จริงแล้วเป็นอย่างไร
วันนี้ เราจึงหยิบเอาคุณประโยชน์ข้อดีของ "น้ำมันหมู" มาเสนอเป็นทางเลือก ผ่านถ้อยคำของนายแพทย์วีระชัย สิทธิปิยะสกุล ผู้อำนวยการศูนย์อนามัยที่ 9 พิษณุโลก ที่ได้แชร์ประสบการณ์ของตัวเองไว้และมีการแชร์ต่อๆ กันไปในโลกออนไลน์
"ผมคิดว่าคนไทยส่วนใหญ่ในยุคนั้น คงเหมือนกับครอบครัวของผม ที่ได้เห็น ได้ยิน ได้ฟัง และเชื่อตามโฆษณาที่มีการยิงโฆษณาถี่มากในสมัยนั้น เพื่อพยายามชักจูงให้ผู้คนหันมารับประทานนํ้ามันพืชแทนนํ้ามันหมู โดยการโฆษณาในสมัยนั้นจะใช้นํ้ามันพืชและนํ้ามันหมูแช่ใส่ตู้เย็นเปรียบเทียบ ทำให้เห็นว่านํ้ามันพืชไม่เป็นไข ส่วนนํ้ามันหมูจะเป็นไข
"แล้วก็จะชักจูงต่อเนื่องด้วยวารสารทางการแพทย์ บทวิจัยทางการแพทย์ การออกสื่อต่างๆ โดยแพทย์และนักวิชาการที่น่าเชื่อถือ ทั้งที่ความจริงแล้วคนเหล่านั้นน่าจะไม่ได้วิจัยหรือทราบอะไรจริง แค่ทราบมาจากในสถาบันการเรียน จากตำราฝรั่ง จากการวิจัยหลอกลวงของฝรั่ง คือวงการแพทย์ของอเมริกาใช้การล่อลวงนี้เพื่อจะทำให้อุตสาหกรรมถั่วเหลืองของอเมริกาเติบโตขึ้น ซึ่งเรื่องนี้วงการแพทย์อเมริกาเพิ่งออกมายอมรับ ออกบทความว่า "ขอโทษที่หลอกลวงพลโลกให้หลงเชื่อเปลี่ยนมารับประทานนํ้ามันถั่วเหลืองมากว่า 60 ปี..."
"ที่บ้านผมจึงเปลี่ยนกลับมาซื้อมันหมูมาเจียวเป็นนํ้ามันหมู เพื่อทำอาหารเมื่อ 5 ปี ที่ผ่านมา ก็สังเกตว่าคนในบ้านไม่เห็นมีใครเป็นอะไรมากมาย อาการโรคผิดปกติทางกายที่หลายคนเคยเป็น ก็ดูดีขึ้น จากการตรวจร่างกายเป็นระยะ การเจ็บป่วยที่มีเป็นบ้าง นานๆ ครั้งก็สามารถหายได้อย่างรวดเร็ว"
ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ผลออกมาเป็นเช่นเนื่องจาก "น้ำมันหมู" เหมาะที่จะใช้กับมนุษย์ เนื่องจากอวัยวะในร่างกายหลายๆ อย่างมีส่วนคล้ายคลึงกัน และในวงการแพทย์ยังมีความพยายามที่จะเปลี่ยนถ่ายอวัยวะภายในของหมูกับคนอีกด้วย
"การเจียวนํ้ามันหมู ก็ใช้วิธีแบบบ้านๆ ไม่ต้องใช้สารเคมี ไม่ต้องผ่านขบวนการอุตสาหกรรม คืออีกเหตุผลหนึ่งที่ผมหันมาใช้นํ้ามันหมู และก็รวมถึงรับประทานของทอดน้อยลงด้วย เพราะเมื่อใช้น้ำมันหมูแล้วทำให้ใช้น้ำมันน้อยลง ข้อสังเกตอย่างเวลาที่เราทำกับข้าว การใช้นํ้ามันหมูจะใช้น้อยกว่านํ้ามันพืชครึ่งหนึ่ง แต่ก็ทำให้กับข้าวดูน่าทานมากกว่าและนํ้ามันหมูทำกับข้าวก็หอม อร่อย กว่าทำกับข้าวจากนํ้ามันพืชมากด้วย"
นายแพทย์ วีระชัย ยังบอกเสริมว่า เพราะน้ำมันพืชนั้นไม่เหมาะกับสภาวะความร้อนในร่างกายและการสกัดน้ำมันพืชยังต้องใช้ความร้อนสูงมาก ใช้สารเคมีหลายขั้นตอน อีกทั้งขณะที่เราใช้น้ำมันพืช หลายสิบปี จะสังเกตได้ว่า "ห้องครัว" สกปรกมาก
"ท่านลองนำนํ้ามันพืชและนํ้ามันหมู ใส่แก้วสักแก้วละ 1 ช้อนโต๊ะ แล้วนำไปตากแดดอาทิตย์หนึ่ง ผมว่าท่านน่าจะเห็นแล้วความแตกต่าง
"นอกจากนี้ ก็ลองล้างเตาแก๊ซ ล้างพัดลมดูดอากาศ จะพบว่ามีคราบสีดำ แข็ง เหนียวหนืด ล้างไม่ออกง่ายๆ ต้องใช้การขูด ขัดอย่างรุนแรงร่วมกับการใช้นํ้ายากัดถึงจะออก แต่เมื่อเปลี่ยนมาใช้นํ้ามันหมู ทำให้ห้องครัวสะอาดมากขึ้น ทำความสะอาดได้ง่ายขึ้น มีละอองไขมันไปเกาะข้างฝาและหลอดไฟน้อย"
"คือผู้ป่วยหลายๆ รายที่มีอาการเจ็บป่วย รักษาเท่าไหร่ก็ไม่หาย แพทย์ทางเลือกและแพทย์แผนโบราณทั้งจีนหรือไทย แนะนำให้ผู้ป่วยเปลี่ยน อาการป่วยก็ทุเลาหายได้ เพราะเหตุใด.. ผมก็ไม่กล้าจะกล่าวว่า แพทย์แผนปัจจุบันหลายท่าน ที่มีประสบการณ์การรักษาโรคมายาวนานและศึกษาองค์ความรู้รอบตัวมากขึ้น เริ่มแนะนำให้ผู้ป่วยบางเคส ที่รักษาไม่หาย เป็นซํ้าๆ ซากๆ ให้หันมารับประทานนํ้ามันหมูแทนนํ้ามันพืช"
"แต่การทานก็ควรทานในปริมาณที่เหมาะสมพอเพียงต่อความต้องการของร่างกายเท่านั้น เพราะไขมันเป็นสิ่งจำเป็นต่อร่างกาย ขาดไม่ได้ และการรับประทานอาหารก็ไม่ใช่ว่าจะรับประทานแค่อาหารผัด อาหารทอด เราควรรับประทานอาหารอย่างอื่นร่วมด้วยหรือสลับกันไปด้วย เช่น ต้ม ยำ นึ่ง แกง ย่าง หรือการทานสดๆ
"เพราะไขมันในอาหารที่เข้าสู่ร่างกาย เราไม่ใช่แค่ได้รับจากการใช้นํ้ามันในการทำอาหารเท่านั้น แต่เรายังได้รับไขมันจากตัวอาหารนั้นๆ อีกด้วย เช่น นํ้ามันในเนื้อ หมู กุ้ง ปู ปลา ไก่ และธัญพืชเมล็ดแห้งชนิดต่างๆ"
ท้ายที่สุด ก็ใช่ว่าต้องใช้แต่ "น้ำมันหมู" เท่านั้นในการประกอบอาหารรับประทาน แต่ก็ควรจะเรียนรู้วิธีการใช้ที่เหมาะสม นอกจากตามประเภทการใช้งานแต่ละอย่างก็ควรใช้ น้ำมันอื่นๆ ร่วมด้วย
"นํ้ามันพืช ปัจจุบันนี้ที่บ้านผมก็มีใช้ทำอาหารอยู่บ้างเป็นบางครั้ง ส่วนใหญ่จะใช้ทำสลัดผัก และ ใช้เป็นส่วนหนึ่งในการหมักหมูนํ้ามันงาเวลาจะย่างหมูแดง นอกจากนั้นผมจะใช้นํ้ามันพืชมากในช่วงเทศกาลถือศีลกินเจและทุกวันพระจีน เพราะผมจะทานเจเดือนละ 2 วัน ก็ต้องใช้นํ้ามันพืชเช่นกันครับ
"แต่นํ้ามันพืชที่ผมใช้ ผมก็จะเลือกใช้นํ้ามันพืช "สกัดเย็น" เท่านั้น เช่น นํ้ามันงา นํ้ามันรำข้าว นํ้ามันมะกอก นํ้ามันมะพร้าว สลับกันไปครับ"
______________________________________________________
ข้อมูล : HappyPhoneMBKfanpage