“ร่างกายที่ดีคงไม่ใช่นั่งๆ นอนๆ อะไรได้มาฟรีๆ บางอย่างลงทุนด้วยเงิน บางอย่างแรง บางอย่างลงทุนด้วยเวลา และความอดทน นั่งเฉยๆ นอนเฉยๆ คงไม่ได้อะไร ไขมันที่พอกมานานแรมปี เลือกทานอาหารหรือออกกำลังกายเพียง 2-3 วัน กะว่าออกวันนี้พรุ่งนี้ผอม หรือออกกำลังกายแบบบ้าคลั่งแบบหนักหน่วง 4-5 ชั่วโมงในวันเดียว กะจะผอมไปอีก 10 ปี เป็นไปไม่ได้ค่ะ”
ย่อหน้าข้างต้น คือคำกล่าวของหญิงสาวที่เรากำลังจะแนะนำให้คุณรู้จัก...แน่นอนล่ะว่า คุณอาจจะเคยรู้จักเธอมาก่อนหน้านี้แล้ว ในฐานะนักแสดงและนางแบบ แต่ช่วงหลังมานี้ เธอดูแปลกหูแปลกตาไปราวกับเป็นคนละคน ไม่ใช่ว่าเธอไปศัลยกรรมเสริมแต่งอะไรมาจากไหนหรอก หากแต่เพราะการออกกำลังกายและมีวินัยในการรับประทานล้วนๆ ที่ทำให้เธอเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด
หากยังไม่ชัด เราลองมาวัดองศาเรือนร่างของเธอ ระหว่างเมื่อก่อน กับตอนนี้ กันเลยดีกว่า
อ้อ...ลืมบอกไป เธอคือ “เมจิ-อโณมา ศรัณย์ศิขริน” ซึ่งในปัจจุบัน ใครหลายคนโดยเฉพาะสาวๆ ที่ติดตามฟอลโลว์เธอในอินสตาแกรมร่วมแสนคน ยกให้เธอเป็นไอดอลด้านสุขภาพและความฟิตเฟิร์มไปแล้วเรียบร้อย
“หลายๆ คนมีเป้าหมายในการออกกำลังกายและการเลือกทานอาหาร เพื่ออะไรบ้าง?” เมจิ อโณมา ตั้งคำถามนี้ไว้ในสเตตัสหนึ่งบนอินสตาแกรม พร้อมกับแซมคำตอบแนบท้ายไว้ให้คิด
“แน่นอน คำตอบส่วนใหญ่ คืออยากจะได้รูปร่างที่ดี แต่ยังมีประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เป็นผลพลอยได้ คือลดการเป็นโรคหัวใจ เส้นเลือดตีบ คอเลสเตอรอลเลวลดลง ป้องกันโรคเบาหวาน และนอกจากโรคที่ลดความเสี่ยงลงมากแล้ว
“เมจิสังเกตตัวเองมาเป็นระยะ ในสุขภาพตัวเองคือปกติเป็นภูมิแพ้อากาศ แพ้อาหารหมักดอง เกือบทุกชนิด อาการแพ้คือ จะคันหน้าคันในตา น้ำมูกไหล จามตลอดเวลา จนน่ารำคาญใจ แต่ตอนนี้เกือบ 98% ที่อาการพวกนี้หายไป จนลืมไปเลยว่าเคยเป็นภูมิแพ้มาก่อน และนอกจากนั้นเมจิสังเกตตัวเองดูกระฉับกระเฉงมากกว่าแต่ก่อน เมื่อก่อนทำอะไรก็เหนื่อยง่าย นอนดึก ตื่นสาย แต่ตื่นมาก็ไม่สดชื่น ทั้งๆ ที่นอนหลายชั่วโมง เวลามีรอบเดือนก็ปวดท้องน้อย อารมณ์ฉุนเฉียวด้วย เดี๋ยวนี้การออกกำลังกาย ทำให้เมจินอนเร็วประมาณ 3 ทุ่มครึ่ง หรือ 4 ทุ่มกว่าๆ ตื่นก็ 6 โมงถึง 6 โมงครึ่ง แบบเด้งตื่นเอง พอนอนไม่ดึก ไม่เกิน 4 ทุ่ม ร่างกายเราก็หลั่ง growth hormone ออกมา ทำให้ผิวพรรณดี สดชื่นแจ่มใส ตื่นเช้าก็สดชื่น แบบไม่งัวเงีย”
ประโยชน์ของการออกกำลังกาย ใครๆ ก็คงจะทราบ แต่น้อยคนนักที่จะลุกขึ้นมาปฏิบัติอย่างจริงจัง ซึ่งส่วนหนึ่ง อาจเป็นสาเหตุมาจากการขาดแรงจูงใจที่หนักแน่นเพียงพอ ทำให้ไม่มีแรงพอที่จะ “ทำดีต่อร่างกายของตัวเอง” ซึ่งในจุดนี้ อดีตดารานางแบบแนะนำแนวทางในการสร้างแรงจูงใจ เผื่อใครจะเอาไปใช้กับตนเอง
“แรงจูงใจ”
บันไดขั้นแรกของความฟิตเฟิร์ม
“คนที่ไม่มีแรงจูงใจในการลดน้ำหนัก หรือแม้แต่ออกกำลังกาย เพราะ....
1.มัวแต่จะพุ่งเป้าไปที่ผลลัพธ์ที่ตัวเองต้องการ มากกว่าพุ่งเป้าที่เหตุแห่งการกระทำเพื่อได้ผลลัพธ์ เช่น ต้องการผลลัพธ์คือน้ำหนักลดลงอย่างน้อย 3 กิโลกรัม คิดแค่ตรงนี้ แต่ไม่เคยสร้างเหตุแห่งการกระทำ คือ อยากลดน้ำหนัก แต่ไม่ควบคุม หรือเลือกทาน และไม่ออกกำลังกายด้วย เหตุไม่มี ผลก็ไม่เกิด คิดอย่างเดียวแต่ไม่ทำ หรือทำแค่ 2-3 วันก็เลิก แล้วก็บอกว่าทำไม่ได้ หลักธรรมะสั้นๆ ง่ายๆ เลยค่ะ
2.ห่างหาย หรือเว้นช่วงการออกกำลังกายนานเกินไปจนทำให้ร่างกายเกิดความชินที่จะอยู่ใน comfort zone ทำให้แรงฮึดตก เหมือนปรอท แทนที่เครื่องกำลังร้อน แล้วออกเดินหน้า คุณก็ปล่อยลงจอดจนนิ่งสนิท ก็จะต้อง reboot ตัวเอง เหมือนเริ่มนับหนึ่งใหม่
3.อาจมีเพื่อนหรือ partner ที่ไม่ชอบออกกำลังกาย หรือทานอาหารแบบไม่เลือกเหมือนกัน ทีนี้เลยขาดแรงผลักดันที่จะเอาแบบอย่าง หรือชวนกัน out of comfort zone ชวนกันทานแบบสุดพลัง พอเราไม่ทานพิซซ่า แต่ partner ดั๊นสั่งมายั่วน้ำลาย ทีนี้จบเลยค่ะ ขาดการจัดอันดับว่าอะไรควรทำก่อน ทำหลัง ในวันว่าง วันหยุด พอไม่มีการวางแผน วันหยุดวันว่างเลยหมดไปกับสิ่งที่ทำตามใจ feeling มากกว่าที่จะทำตามแผนที่วางไว้ feeling คนเรานั้นเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ฉะนั้น แผนการลดน้ำหนัก ออกกำลังกาย ก็เลยตาม feeling มากกว่า สิ่งที่จำเป็นที่ต้องมาก่อน
4.หาภาพในอดีต หรือภาพตัวเองที่คิดว่าดูดีที่สุดที่เคยเป็นมาก่อน หรือถ้าไม่มีก็หาภาพคนที่เราอยากจะเป็น หรือกางเกงชุด size ที่คุณเคยใส่ได้ มาวางให้เห็นผ่านตาบ่อยๆ วางในมุมที่คุณเห็นผ่านตาทุกวัน เมื่อจิตคนเราเห็นอะไรทุกวัน จะเกิดแรงผลักดัน ให้เราไปถึงจุดนั้น ในอนาคต มันจะคอยตอกย้ำตัวคุณผ่านทางสายตามากกว่าคำพูด ว่าวันนึง ฉันจะต้องใส่ชุดนี้ให้ได้ หรือฉันจะเป็นแบบคนนี้ให้ได้ แปะภาพไว้ที่กระจกห้องน้ำ เราจะเห็นทุกเช้าเป็นภาพแรกหลังจากตื่นนอน จิตเราจะเกิดแรงกระตุ้นออกมาเอง
5.จำไว้นะคะ จงสร้างเหตุ ก่อนที่จะไปถึงผลลัพธ์ มากกว่าหวังแต่ผลลัพธ์ โดยไม่ก่อเหตุ
กฏเหล็กเพื่อรักษารูปร่างและน้ำหนัก
เมื่อสร้างแรงจูงใจให้แก่ตัวเองได้แล้ว อันดับต่อไปก็คือการออกสตาร์ท ซึ่งการออกสตาร์ทไปจนกว่าจะถึงปลายทางนี้ สิ่งหนึ่งซึ่งจำต้องมีก็คือ วินัยในตัวเอง และสำหรับเมจิ เธอวางแนวทางที่เป็นดั่ง “กฏเหล็ก” ให้แก่ตัวเองไว้ ดังนี้
1.ปริมาณไขมันอิ่มตัวโดยเฉพาะเนื้อสัตว์ติดมัน เลี่ยงได้เมจิเลี่ยง เน้นทานแบบไม่ติดมันแทน ใครที่ชอบทานแบบปิ้งย่าง ติดมันนี่อร่อยที่สุด อย่าทานบ่อยนะคะ
2.ปริมาณคาร์โบไฮเดรต เช่น แป้งขัดขาว ขนมปังขัดขาว เมจิตัดออกไปเลย และข้าวสวยเลือกที่จะไม่ทาน เพราะพวกนี้เข้าร่างกาย เขาเปลี่ยนเป็นน้ำตาลได้เร็ว หากเหลือ เค้าจะเก็บเป็นไขมันทันที แต่พวกข้าวกล้อง ข้าวสีเข้มๆ หรือ whole wheat ร่างกายจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นน้ำตาลช้าๆ เพราะเขามีสารอาหารอื่นที่ร่างกายต้องย่อยด้วย การเปลี่ยนเป็นไขมันเลยช้าลงด้วย เมจิจะทานคาร์โบฯ ในมื้อเช้า และกลางวัน ถ้าข้าวก็ขนาดเท่ากำปั้นตัวเอง
3.เลี่ยงพวกน้ำหวานๆ ขนมหวานๆ พวกเค้ก เบเกอรี่ ต่างๆ เมจิมีเทคนิคคือจะไม่ทานเหมือนวันทำงานแบบวันราชการ จะทานแบบวันหยุดราชการ เพราะไม่ได้มีทุกวัน คือทานแบบไม่ใช่ของจำเป็นที่ต้องทานทุกวันเหมือนสารอาหาร ที่ต้องทานทุกวันร่างกายต้องการ นานๆ ที
4.เลี่ยงชูรส หากทานข้างนอกก็จะบอกว่าใม่ใส่ชูรส หากเลี่ยงไม่ได้ก็สุดแล้วแต่ความเหมาะสมตามสถานการณ์ (เหมือนรถติด บางทีก็เลี่ยงทางอื่นได้ บางทีก็เลี่ยงไม่ได้ อาหารแบบชูรสก็เช่นกัน) ส่วนถ้าปรุงอาหารเอง ผงชูรส เปรียบเหมือนสิ่งผิดกฎหมายที่ห้ามเข้าบ้าน เพราะไม่มีประโยชน์ แถมยังมีโทษ แถมทำให้ร่างกายดูดน้ำไว้มาก ผลคือตัวบวมน้ำ ลองสังเกตตัวเอง ใครชอบทานชูรส หิวน้ำตลอดเวลา
5.ของเค็มๆ เมจิไม่ทานเป็นประจำแล้ว เมื่อก่อนชอบมากๆ เดี๋ยวนี้ใส่เค็มแบบเล็กน้อยให้อาหารมีรสชาติไม่จืดชืดเกินไป และจะไม่เน้นรสจัดจ้านเป็นประจำ ขอแบบนานๆ ทีเป็นการสปอยล์ตัวเองในช่วงมีวินัยเพื่อชีวิตจะได้ไม่เครียด เพราะยังไงอาหารพวกนี้ก็ยังถูกปากพวกเราอยู่ดี ตัดออกไปเลย เหมือนตัดเพื่อนรักออกจากชีวิต ความเค็มของเกลือที่มากเกินไป ทำให้ร่างกายดูดน้ำไว้มาก ผลคือน้ำหนักไม่ลง ถึงแม้ไม่ทานคาร์โบไฮเดรตก็ตาม หรือทานแบบโลว์แคลอรีก็ตาม
6.ผลไม้รสหวาน โดยเฉพาะน้ำผลไม้รสหวาน คือน้ำตาลมากกว่าสารอาหารอื่นค่ะ ใครติดจะลดน้ำหนักโดยทานพวกนี้แทนอาหาร ไม่แนะนำค่ะ อาจได้ไขมันหนักกว่าอาหารอีก
สรุปคือคนที่มีน้ำหนักมาก คือเกิดจากไขมันสะสม และน้ำที่เก็บกักไว้ตามเซลล์มากค่ะ 5 สิ่งที่เมจิสรุปเป็นข้อใหญ่ๆ ที่ส่งผลโดยตรงเรื่องน้ำหนักและรูปร่าง ส่วนใครจะมีสูตรลดน้ำหนักด้วยการทานแบบไหนยังไง จะทานคลีนนับแคลฯ คำนึงถึงข้อข้างบนนะคะ การไดเอตของเมจิเลยไม่มีข้อจำกัด เพื่อปรับตามสถานการณ์ และกิจกรรมรายวันค่ะ
5 เคล็ดลับสุขภาพดี ตลอดปี 58 และตลอดไป
1.ใครที่เคยชินกับการที่ร่างกายไม่ค่อยให้เหงื่อออก ลองมองย้อนกลับไปในปีที่ผ่านมา ว่าตัวเองเคยทำให้ร่างกายเหงื่อออก หรือเสียเหงื่อไปกับการออกกำลังกายได้กี่ครั้ง? ใครที่นับครั้งได้ในปีที่แล้ว ถือว่าน้อยเกินไป ใครที่นับไม่ได้ ถือว่าใช้ได้ค่ะ เริ่มต้นสตาร์ทตัวเองให้เสียเหงื่อกับการออกกำลังกายให้มากกว่าปีที่แล้ว อยากได้ของดีต้องลงทุนลงแรงค่ะ
2.ตั้งเป้าหมายว่าต้องการลดไซส์ ลดรูปร่างกี่กิโลกรัม เขียนลงกระดาษแปะลงที่ผ่านตาทุกวัน หน้ากระจกตอนแปรงฟัน แปะที่ตู้เย็น เริ่มแรกให้ตั้งเป้าหมายเล็กๆ ก่อน เช่น สัปดาห์แรกจะลดน้ำหนักลงให้ได้ 1 กิโลกรัม เมื่อทำได้แล้ว ตั้งเป้าหมายต่อไปว่า 2 สัปดาห์ลด 2 กิโลกรัม เพราะหากเป้าหมายเล็กๆ ยังทำไม่ได้ เป้าหมายใหญ่ก็ไม่ต้องพูดถึงค่ะ เริ่มจากสิ่งเล็กๆ อย่าไปตั้งเป้าหมายสูงเกินไป เพราะหากทำไม่ถึงก็จะท้อใจ ค่อยๆ ไปทีละสเต็ป
3.หากลุ่มเพื่อนใหม่ๆ หรือคลาสต่างๆ ที่มีคนชอบออกกำลังกายเหมือนกัน เช่น สมัครฟิตเนสหรือมีงบก็จ้างเทรนเนอร์ หรือถ้าไม่มีงบ ให้ไปวิ่งตามสวนสาธารณะ ปั่นจักรยานในสวน เพราะคุณจะได้เจอคนที่ชอบเรื่องสุขภาพ ได้เจอกับอะไรใหม่ๆ เพราะบางคนอาจจะมีเพื่อนกลุ่มที่คบมานาน แต่เค้าอาจจะชอบ drink drank drunk มากกว่า เรื่องออกกำลังกาย การเข้าคลาสต่างๆ หรือไปที่ที่มีคนออกกพลังกาย คุณก็จะได้เปลี่ยนเรื่องราวชีวิตใหม่ๆ มากกว่าซ้ำๆ ที่เดิม แต่เมจิไม่ได้บอกให้เลิกคบเพื่อนกลุ่มเดิมนะคะ เพียงเปิดโลกไปเจออะไรใหม่ๆ บ้าง เพื่อนคือคนที่จูงใจได้ดีที่สุดค่ะ
4.โละของในตู้เย็น ในครัว ในบ้าน ที่ไม่ดีต่อสุขภาพและรูปร่าง เช่น น้ำมันผ่านกรรมวิธี คุกกี้ ของหวานๆ เค้ก ไอศกรีม junk food ที่ทานแล้วมีแต่สารให้ไขมันรอบเอว น้ำอัดลม น้ำหวาน น้ำผลไม้กล่องสำเร็จรูป เพราะพวกนี้ใกล้มือใกล้ปากยามดึก เสี่ยงตบะแตกได้ง่าย เปลี่ยนเป็นถั่ว ถั่วอบแท่ง โปรตีน ขนมปัง whole wheat ข้าวสีเข้มๆ แทนข้าวสวย ผัก ผลไม้ไม่หวานเจี๊ยบ เช่นแอปเปิลเขียว ถือว่าปีใหม่นี้เป็นปีแห่งสุขภาพของตัวเอง คิดซะว่าล้างบ้าน รับปีใหม่ พอมีแต่ของสุขภาพ เราก็จะทานแต่แบบนั้น
5.ซื้อชุดกรือกางเกงยีนไซส์เล็กลงกว่าที่เป็นอยู่ ใส่ไซส์ 40 อยู่ ให้ซื้อเป็น 38 หรือ 36 ซื้อมาแขวนไว้ให้เห็นทุกวัน ควบคุมอาหาร พร้อมกับออกกำลังกาย ตามที่เมจิเคยแชร์ไว้แล้วมากมายในไอจี ลองไปหาเวลาว่างอ่านดูนะคะ ลองสวมใส่บ่อยๆ เพิ่มเป็นการตอกย้ำการกระทำตนเองว่าวันนึงคุณจะต้องใส่กางเกง หรือชุดนี้ให้ได้ เพราะคนเราหากคิดในใจอย่างเดียวจะไม่กระตุ้นจิตใต้สำนึกมากพอเท่ากับคิดด้วย กระทำออกมาด้วย การกระทำด้วยการใส่กางเกงยีนที่ไซส์เล็กกว่าที่คุณเป็นอยู่ เป็นการตอกย้ำการกระทำให้จิตใต้สำนึกเห็นภาพชัดเจนมากขึ้น เพื่อให้คุณไปถึงผลลัพธ์นั้นให้ได้ค่ะ นี่คือจุดเริ่มต้นเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเอง ปีใหม่ คุณคือคนใหม่ ที่ใส่ใจรูปร่าง และสุขภาพมากกว่าคนเดิม เมจิเป็นกำลังใจให้ทุกคนทำให้ได้ค่ะ
พิเศษ...สาวชอบปาร์ตี้ ชอบกิน ทำไงดี
เมื่อมีปาร์ตี้หลายงาน แต่เมจิก็ต้องเตือนตัวเองไม่ให้ขี้เกียจ เมจิจะไม่เว้นช่วงให้ห่างการออกกำลังกายไปนาน เพราะเว้นนานแรงจะตก กล้ามเนื้อที่ฟิตไว้จะเริ่มเหลวและนิ่มลง ระบบเผาผลาญพลังงานก็จะลดลงตามความฟิตของกล้ามเนื้อ และเมื่อกล้ามเนื้อน้อยลง ภูมิคุ้มกันในร่างกายก็จะลดลงตามกล้ามเนื้อไปด้วย เรี่ยวแรงจะลดลง พยายามหาเวลาบ้าง ที่บ้านก็ได้ ออกกำลังกายบริหารร่างกายให้เกิดมวลกล้ามนะคะ เพราะกล้ามเนื้อ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นนักเล่นกล้ามเท่านั้นที่จะทำได้ แค่คนทั่วไปควรมีแบบแค่ระดับให้ฟิตเฟิร์ม คือลองบีบแขน ขาตัวเองไม่ให้นุ่มนิ่ม เหลวยวบยาบ
ยิ่งอายุมากเรี่ยวแรง ภูมิคุ้มกัน ก็ละลดลง แปลว่าร่างกายมีกลัามเนื้อน้อยค่ะ ผลตามมาคือ คนที่อยู่ในวัยเข้า 50 การเคลื่อนของข้อต่อกระดูกจะเริ่มตามมา เพราะมวลกล้ามน้อย ทำให้กระดูกเป็นตัวแบกรับน้ำหนักในร่างกายจนกระดูกเคลื่อน เห็นมั้ยคะว่ากล้ามเนื้อสำคัญมากกว่าดูเป็นนักเล่นกล้ามอย่างเดียว ใครไม่อยากมีหุ่นแบบนักกล้ามก็สามารถสร้างกล้ามให้เหนียวแน่นแข็งแรงก็พอ ไม่ต้องกลัวจะมีกล้ามโตๆ หรือมีหุ่นแบบผู้ชาย เพราะคนที่มีหุ่นแบบนักกล้าม หรือกล้ามชัดๆ ต้องควบคุมอาหาร และเพิ่มระดับการออกกำลังกายหลายเลเวลมากกว่าแค่ให้มีกล้ามแบบฟิตแอนด์เฟิร์มปกติทั่วไป
เฉพาะอย่างยิ่ง ช่วง happy season แบบนี้เป็นช่วงที่ท้าท้าย วัดใจ สำหรับสาวๆ ที่กำลังอยู่ในช่วงรักษารูปร่าง หรือเตรียมตัวลดน้ำหนัก แต่ต้องไปปาร์ตี้ ไหนจะ drink drank drunk อีก อาหารก็อ้วนๆ คาร์บๆ (คาร์โบไฮเดรต) ไขมันๆ หวานๆ ซะทั้งนั้นด้วยสิ แล้วจะทำยังไงดีล่ะทีนี้
1.ถ้ามีบาร์บีคิว เมจิจะทานแต่เนื้อสัตว์ เช่น ส่วนอกไก่ เนื้อหมูไม่ติดมัน แล้ว side dish จะไม่ทานกับ chips หรือมันบด เพราะพวกนี้เป็นคาร์บ เมจิจะทานกับผัก คู่กับสเต๊ก
2.แต่ถ้ามีแต่สปาเกตตี หรือพิซซ่า ที่มองไปไหนก็เจอแต่แป้ง! เมจิจะตักเอาส่วนที่เป็นเครื่องมากกว่าส่วนเส้น เช่นสปาเกตตีผัด มักจะมีเครื่องต่างๆ ด้วย หรือพิซซ่า ทานแค่ 2-3ชิ้นพอ แล้วไปทานสลัด หรืออื่นๆ เพราะแน่นอน ต้องมีของหวาน หรือเครื่องดื่ม อย่าเพิ่งไปจบที่แค่พิซซ่าอย่างเดียว
3.เครื่องดื่ม เมจิจะเน้นที่ผสมโซดาหรือ Sparkling water แล้วไซรัป แยกออกมาผสมเอง เพราะเครื่องดื่มที่ใส่โซดาจะมีแก๊ส เลยทำให้เมจิอิ่มท้องเร็ว ทีนี้จะไม่อยากทาน อยากดื่มมากเกินไป ทำให้อิ่มเร็ว แต่เมจิจะไม่ดื่มน้ำอัดลม หรือค็อกเทลที่หวานๆ ด้วย เมจิมักจะสั่งแยกไซรัปเสมอ เพราะความหวานแต่ละคนไม่เท่ากัน บางคนผสมหวานแทบเป็นลม
3.หากต้องทานของหวาน ก็เช่นไอศกรีมหนึ่งสกู๊ปหรือเค้กหนึ่งชิ้นก็พอ เพราะส่วนใหญ่เน้นเครื่องดื่มหลายแก้ว เมจิเลยไม่ทานของหวานมากเกินไป ทั้งหมดที่ว่ามานี้เมจิจะไม่อ้าง วัน เวลา เทศกาล เพราะอย่างนั้นอย่างนี้ ในการผัดวันประกันพรุ่งในการทานอาหาร หรือออกกำลังกาย เพราะเมจิฝึกนิสัยการควบคุมอารมณ์ตัวเองมามากในการทานอาหาร จนกลายเป็นอุปนิสัยในการทานแบบมีสติ เมจิเคยแชร์ไปแล้วว่า เราควรฝึกการทานแบบมีสติ จนวันนึงร่างกายพอโดนทำอะไรเป็นประจำ เค้าจะกลายเป็นอุปนิสัย ไม่ว่าเราจะใส่อะไรที่ดี หรืออะไรที่ไม่ดี คนที่เกียจคร้าน หากทำบ่อยๆ ก็จะกลายเป็นนิสัยเช่นกันค่ะ ฉะนั้น การเจออาหารในงานปาร์ตี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการทานในชีวิตประจำที่เราต้องทำค่ะ
ภาพ - ข้อมูล : IG Meiji_27anorma
ย่อหน้าข้างต้น คือคำกล่าวของหญิงสาวที่เรากำลังจะแนะนำให้คุณรู้จัก...แน่นอนล่ะว่า คุณอาจจะเคยรู้จักเธอมาก่อนหน้านี้แล้ว ในฐานะนักแสดงและนางแบบ แต่ช่วงหลังมานี้ เธอดูแปลกหูแปลกตาไปราวกับเป็นคนละคน ไม่ใช่ว่าเธอไปศัลยกรรมเสริมแต่งอะไรมาจากไหนหรอก หากแต่เพราะการออกกำลังกายและมีวินัยในการรับประทานล้วนๆ ที่ทำให้เธอเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด
หากยังไม่ชัด เราลองมาวัดองศาเรือนร่างของเธอ ระหว่างเมื่อก่อน กับตอนนี้ กันเลยดีกว่า
อ้อ...ลืมบอกไป เธอคือ “เมจิ-อโณมา ศรัณย์ศิขริน” ซึ่งในปัจจุบัน ใครหลายคนโดยเฉพาะสาวๆ ที่ติดตามฟอลโลว์เธอในอินสตาแกรมร่วมแสนคน ยกให้เธอเป็นไอดอลด้านสุขภาพและความฟิตเฟิร์มไปแล้วเรียบร้อย
“หลายๆ คนมีเป้าหมายในการออกกำลังกายและการเลือกทานอาหาร เพื่ออะไรบ้าง?” เมจิ อโณมา ตั้งคำถามนี้ไว้ในสเตตัสหนึ่งบนอินสตาแกรม พร้อมกับแซมคำตอบแนบท้ายไว้ให้คิด
“แน่นอน คำตอบส่วนใหญ่ คืออยากจะได้รูปร่างที่ดี แต่ยังมีประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เป็นผลพลอยได้ คือลดการเป็นโรคหัวใจ เส้นเลือดตีบ คอเลสเตอรอลเลวลดลง ป้องกันโรคเบาหวาน และนอกจากโรคที่ลดความเสี่ยงลงมากแล้ว
“เมจิสังเกตตัวเองมาเป็นระยะ ในสุขภาพตัวเองคือปกติเป็นภูมิแพ้อากาศ แพ้อาหารหมักดอง เกือบทุกชนิด อาการแพ้คือ จะคันหน้าคันในตา น้ำมูกไหล จามตลอดเวลา จนน่ารำคาญใจ แต่ตอนนี้เกือบ 98% ที่อาการพวกนี้หายไป จนลืมไปเลยว่าเคยเป็นภูมิแพ้มาก่อน และนอกจากนั้นเมจิสังเกตตัวเองดูกระฉับกระเฉงมากกว่าแต่ก่อน เมื่อก่อนทำอะไรก็เหนื่อยง่าย นอนดึก ตื่นสาย แต่ตื่นมาก็ไม่สดชื่น ทั้งๆ ที่นอนหลายชั่วโมง เวลามีรอบเดือนก็ปวดท้องน้อย อารมณ์ฉุนเฉียวด้วย เดี๋ยวนี้การออกกำลังกาย ทำให้เมจินอนเร็วประมาณ 3 ทุ่มครึ่ง หรือ 4 ทุ่มกว่าๆ ตื่นก็ 6 โมงถึง 6 โมงครึ่ง แบบเด้งตื่นเอง พอนอนไม่ดึก ไม่เกิน 4 ทุ่ม ร่างกายเราก็หลั่ง growth hormone ออกมา ทำให้ผิวพรรณดี สดชื่นแจ่มใส ตื่นเช้าก็สดชื่น แบบไม่งัวเงีย”
ประโยชน์ของการออกกำลังกาย ใครๆ ก็คงจะทราบ แต่น้อยคนนักที่จะลุกขึ้นมาปฏิบัติอย่างจริงจัง ซึ่งส่วนหนึ่ง อาจเป็นสาเหตุมาจากการขาดแรงจูงใจที่หนักแน่นเพียงพอ ทำให้ไม่มีแรงพอที่จะ “ทำดีต่อร่างกายของตัวเอง” ซึ่งในจุดนี้ อดีตดารานางแบบแนะนำแนวทางในการสร้างแรงจูงใจ เผื่อใครจะเอาไปใช้กับตนเอง
“แรงจูงใจ”
บันไดขั้นแรกของความฟิตเฟิร์ม
“คนที่ไม่มีแรงจูงใจในการลดน้ำหนัก หรือแม้แต่ออกกำลังกาย เพราะ....
1.มัวแต่จะพุ่งเป้าไปที่ผลลัพธ์ที่ตัวเองต้องการ มากกว่าพุ่งเป้าที่เหตุแห่งการกระทำเพื่อได้ผลลัพธ์ เช่น ต้องการผลลัพธ์คือน้ำหนักลดลงอย่างน้อย 3 กิโลกรัม คิดแค่ตรงนี้ แต่ไม่เคยสร้างเหตุแห่งการกระทำ คือ อยากลดน้ำหนัก แต่ไม่ควบคุม หรือเลือกทาน และไม่ออกกำลังกายด้วย เหตุไม่มี ผลก็ไม่เกิด คิดอย่างเดียวแต่ไม่ทำ หรือทำแค่ 2-3 วันก็เลิก แล้วก็บอกว่าทำไม่ได้ หลักธรรมะสั้นๆ ง่ายๆ เลยค่ะ
2.ห่างหาย หรือเว้นช่วงการออกกำลังกายนานเกินไปจนทำให้ร่างกายเกิดความชินที่จะอยู่ใน comfort zone ทำให้แรงฮึดตก เหมือนปรอท แทนที่เครื่องกำลังร้อน แล้วออกเดินหน้า คุณก็ปล่อยลงจอดจนนิ่งสนิท ก็จะต้อง reboot ตัวเอง เหมือนเริ่มนับหนึ่งใหม่
3.อาจมีเพื่อนหรือ partner ที่ไม่ชอบออกกำลังกาย หรือทานอาหารแบบไม่เลือกเหมือนกัน ทีนี้เลยขาดแรงผลักดันที่จะเอาแบบอย่าง หรือชวนกัน out of comfort zone ชวนกันทานแบบสุดพลัง พอเราไม่ทานพิซซ่า แต่ partner ดั๊นสั่งมายั่วน้ำลาย ทีนี้จบเลยค่ะ ขาดการจัดอันดับว่าอะไรควรทำก่อน ทำหลัง ในวันว่าง วันหยุด พอไม่มีการวางแผน วันหยุดวันว่างเลยหมดไปกับสิ่งที่ทำตามใจ feeling มากกว่าที่จะทำตามแผนที่วางไว้ feeling คนเรานั้นเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ฉะนั้น แผนการลดน้ำหนัก ออกกำลังกาย ก็เลยตาม feeling มากกว่า สิ่งที่จำเป็นที่ต้องมาก่อน
4.หาภาพในอดีต หรือภาพตัวเองที่คิดว่าดูดีที่สุดที่เคยเป็นมาก่อน หรือถ้าไม่มีก็หาภาพคนที่เราอยากจะเป็น หรือกางเกงชุด size ที่คุณเคยใส่ได้ มาวางให้เห็นผ่านตาบ่อยๆ วางในมุมที่คุณเห็นผ่านตาทุกวัน เมื่อจิตคนเราเห็นอะไรทุกวัน จะเกิดแรงผลักดัน ให้เราไปถึงจุดนั้น ในอนาคต มันจะคอยตอกย้ำตัวคุณผ่านทางสายตามากกว่าคำพูด ว่าวันนึง ฉันจะต้องใส่ชุดนี้ให้ได้ หรือฉันจะเป็นแบบคนนี้ให้ได้ แปะภาพไว้ที่กระจกห้องน้ำ เราจะเห็นทุกเช้าเป็นภาพแรกหลังจากตื่นนอน จิตเราจะเกิดแรงกระตุ้นออกมาเอง
5.จำไว้นะคะ จงสร้างเหตุ ก่อนที่จะไปถึงผลลัพธ์ มากกว่าหวังแต่ผลลัพธ์ โดยไม่ก่อเหตุ
กฏเหล็กเพื่อรักษารูปร่างและน้ำหนัก
เมื่อสร้างแรงจูงใจให้แก่ตัวเองได้แล้ว อันดับต่อไปก็คือการออกสตาร์ท ซึ่งการออกสตาร์ทไปจนกว่าจะถึงปลายทางนี้ สิ่งหนึ่งซึ่งจำต้องมีก็คือ วินัยในตัวเอง และสำหรับเมจิ เธอวางแนวทางที่เป็นดั่ง “กฏเหล็ก” ให้แก่ตัวเองไว้ ดังนี้
1.ปริมาณไขมันอิ่มตัวโดยเฉพาะเนื้อสัตว์ติดมัน เลี่ยงได้เมจิเลี่ยง เน้นทานแบบไม่ติดมันแทน ใครที่ชอบทานแบบปิ้งย่าง ติดมันนี่อร่อยที่สุด อย่าทานบ่อยนะคะ
2.ปริมาณคาร์โบไฮเดรต เช่น แป้งขัดขาว ขนมปังขัดขาว เมจิตัดออกไปเลย และข้าวสวยเลือกที่จะไม่ทาน เพราะพวกนี้เข้าร่างกาย เขาเปลี่ยนเป็นน้ำตาลได้เร็ว หากเหลือ เค้าจะเก็บเป็นไขมันทันที แต่พวกข้าวกล้อง ข้าวสีเข้มๆ หรือ whole wheat ร่างกายจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นน้ำตาลช้าๆ เพราะเขามีสารอาหารอื่นที่ร่างกายต้องย่อยด้วย การเปลี่ยนเป็นไขมันเลยช้าลงด้วย เมจิจะทานคาร์โบฯ ในมื้อเช้า และกลางวัน ถ้าข้าวก็ขนาดเท่ากำปั้นตัวเอง
3.เลี่ยงพวกน้ำหวานๆ ขนมหวานๆ พวกเค้ก เบเกอรี่ ต่างๆ เมจิมีเทคนิคคือจะไม่ทานเหมือนวันทำงานแบบวันราชการ จะทานแบบวันหยุดราชการ เพราะไม่ได้มีทุกวัน คือทานแบบไม่ใช่ของจำเป็นที่ต้องทานทุกวันเหมือนสารอาหาร ที่ต้องทานทุกวันร่างกายต้องการ นานๆ ที
4.เลี่ยงชูรส หากทานข้างนอกก็จะบอกว่าใม่ใส่ชูรส หากเลี่ยงไม่ได้ก็สุดแล้วแต่ความเหมาะสมตามสถานการณ์ (เหมือนรถติด บางทีก็เลี่ยงทางอื่นได้ บางทีก็เลี่ยงไม่ได้ อาหารแบบชูรสก็เช่นกัน) ส่วนถ้าปรุงอาหารเอง ผงชูรส เปรียบเหมือนสิ่งผิดกฎหมายที่ห้ามเข้าบ้าน เพราะไม่มีประโยชน์ แถมยังมีโทษ แถมทำให้ร่างกายดูดน้ำไว้มาก ผลคือตัวบวมน้ำ ลองสังเกตตัวเอง ใครชอบทานชูรส หิวน้ำตลอดเวลา
5.ของเค็มๆ เมจิไม่ทานเป็นประจำแล้ว เมื่อก่อนชอบมากๆ เดี๋ยวนี้ใส่เค็มแบบเล็กน้อยให้อาหารมีรสชาติไม่จืดชืดเกินไป และจะไม่เน้นรสจัดจ้านเป็นประจำ ขอแบบนานๆ ทีเป็นการสปอยล์ตัวเองในช่วงมีวินัยเพื่อชีวิตจะได้ไม่เครียด เพราะยังไงอาหารพวกนี้ก็ยังถูกปากพวกเราอยู่ดี ตัดออกไปเลย เหมือนตัดเพื่อนรักออกจากชีวิต ความเค็มของเกลือที่มากเกินไป ทำให้ร่างกายดูดน้ำไว้มาก ผลคือน้ำหนักไม่ลง ถึงแม้ไม่ทานคาร์โบไฮเดรตก็ตาม หรือทานแบบโลว์แคลอรีก็ตาม
6.ผลไม้รสหวาน โดยเฉพาะน้ำผลไม้รสหวาน คือน้ำตาลมากกว่าสารอาหารอื่นค่ะ ใครติดจะลดน้ำหนักโดยทานพวกนี้แทนอาหาร ไม่แนะนำค่ะ อาจได้ไขมันหนักกว่าอาหารอีก
สรุปคือคนที่มีน้ำหนักมาก คือเกิดจากไขมันสะสม และน้ำที่เก็บกักไว้ตามเซลล์มากค่ะ 5 สิ่งที่เมจิสรุปเป็นข้อใหญ่ๆ ที่ส่งผลโดยตรงเรื่องน้ำหนักและรูปร่าง ส่วนใครจะมีสูตรลดน้ำหนักด้วยการทานแบบไหนยังไง จะทานคลีนนับแคลฯ คำนึงถึงข้อข้างบนนะคะ การไดเอตของเมจิเลยไม่มีข้อจำกัด เพื่อปรับตามสถานการณ์ และกิจกรรมรายวันค่ะ
5 เคล็ดลับสุขภาพดี ตลอดปี 58 และตลอดไป
1.ใครที่เคยชินกับการที่ร่างกายไม่ค่อยให้เหงื่อออก ลองมองย้อนกลับไปในปีที่ผ่านมา ว่าตัวเองเคยทำให้ร่างกายเหงื่อออก หรือเสียเหงื่อไปกับการออกกำลังกายได้กี่ครั้ง? ใครที่นับครั้งได้ในปีที่แล้ว ถือว่าน้อยเกินไป ใครที่นับไม่ได้ ถือว่าใช้ได้ค่ะ เริ่มต้นสตาร์ทตัวเองให้เสียเหงื่อกับการออกกำลังกายให้มากกว่าปีที่แล้ว อยากได้ของดีต้องลงทุนลงแรงค่ะ
2.ตั้งเป้าหมายว่าต้องการลดไซส์ ลดรูปร่างกี่กิโลกรัม เขียนลงกระดาษแปะลงที่ผ่านตาทุกวัน หน้ากระจกตอนแปรงฟัน แปะที่ตู้เย็น เริ่มแรกให้ตั้งเป้าหมายเล็กๆ ก่อน เช่น สัปดาห์แรกจะลดน้ำหนักลงให้ได้ 1 กิโลกรัม เมื่อทำได้แล้ว ตั้งเป้าหมายต่อไปว่า 2 สัปดาห์ลด 2 กิโลกรัม เพราะหากเป้าหมายเล็กๆ ยังทำไม่ได้ เป้าหมายใหญ่ก็ไม่ต้องพูดถึงค่ะ เริ่มจากสิ่งเล็กๆ อย่าไปตั้งเป้าหมายสูงเกินไป เพราะหากทำไม่ถึงก็จะท้อใจ ค่อยๆ ไปทีละสเต็ป
3.หากลุ่มเพื่อนใหม่ๆ หรือคลาสต่างๆ ที่มีคนชอบออกกำลังกายเหมือนกัน เช่น สมัครฟิตเนสหรือมีงบก็จ้างเทรนเนอร์ หรือถ้าไม่มีงบ ให้ไปวิ่งตามสวนสาธารณะ ปั่นจักรยานในสวน เพราะคุณจะได้เจอคนที่ชอบเรื่องสุขภาพ ได้เจอกับอะไรใหม่ๆ เพราะบางคนอาจจะมีเพื่อนกลุ่มที่คบมานาน แต่เค้าอาจจะชอบ drink drank drunk มากกว่า เรื่องออกกำลังกาย การเข้าคลาสต่างๆ หรือไปที่ที่มีคนออกกพลังกาย คุณก็จะได้เปลี่ยนเรื่องราวชีวิตใหม่ๆ มากกว่าซ้ำๆ ที่เดิม แต่เมจิไม่ได้บอกให้เลิกคบเพื่อนกลุ่มเดิมนะคะ เพียงเปิดโลกไปเจออะไรใหม่ๆ บ้าง เพื่อนคือคนที่จูงใจได้ดีที่สุดค่ะ
4.โละของในตู้เย็น ในครัว ในบ้าน ที่ไม่ดีต่อสุขภาพและรูปร่าง เช่น น้ำมันผ่านกรรมวิธี คุกกี้ ของหวานๆ เค้ก ไอศกรีม junk food ที่ทานแล้วมีแต่สารให้ไขมันรอบเอว น้ำอัดลม น้ำหวาน น้ำผลไม้กล่องสำเร็จรูป เพราะพวกนี้ใกล้มือใกล้ปากยามดึก เสี่ยงตบะแตกได้ง่าย เปลี่ยนเป็นถั่ว ถั่วอบแท่ง โปรตีน ขนมปัง whole wheat ข้าวสีเข้มๆ แทนข้าวสวย ผัก ผลไม้ไม่หวานเจี๊ยบ เช่นแอปเปิลเขียว ถือว่าปีใหม่นี้เป็นปีแห่งสุขภาพของตัวเอง คิดซะว่าล้างบ้าน รับปีใหม่ พอมีแต่ของสุขภาพ เราก็จะทานแต่แบบนั้น
5.ซื้อชุดกรือกางเกงยีนไซส์เล็กลงกว่าที่เป็นอยู่ ใส่ไซส์ 40 อยู่ ให้ซื้อเป็น 38 หรือ 36 ซื้อมาแขวนไว้ให้เห็นทุกวัน ควบคุมอาหาร พร้อมกับออกกำลังกาย ตามที่เมจิเคยแชร์ไว้แล้วมากมายในไอจี ลองไปหาเวลาว่างอ่านดูนะคะ ลองสวมใส่บ่อยๆ เพิ่มเป็นการตอกย้ำการกระทำตนเองว่าวันนึงคุณจะต้องใส่กางเกง หรือชุดนี้ให้ได้ เพราะคนเราหากคิดในใจอย่างเดียวจะไม่กระตุ้นจิตใต้สำนึกมากพอเท่ากับคิดด้วย กระทำออกมาด้วย การกระทำด้วยการใส่กางเกงยีนที่ไซส์เล็กกว่าที่คุณเป็นอยู่ เป็นการตอกย้ำการกระทำให้จิตใต้สำนึกเห็นภาพชัดเจนมากขึ้น เพื่อให้คุณไปถึงผลลัพธ์นั้นให้ได้ค่ะ นี่คือจุดเริ่มต้นเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเอง ปีใหม่ คุณคือคนใหม่ ที่ใส่ใจรูปร่าง และสุขภาพมากกว่าคนเดิม เมจิเป็นกำลังใจให้ทุกคนทำให้ได้ค่ะ
พิเศษ...สาวชอบปาร์ตี้ ชอบกิน ทำไงดี
เมื่อมีปาร์ตี้หลายงาน แต่เมจิก็ต้องเตือนตัวเองไม่ให้ขี้เกียจ เมจิจะไม่เว้นช่วงให้ห่างการออกกำลังกายไปนาน เพราะเว้นนานแรงจะตก กล้ามเนื้อที่ฟิตไว้จะเริ่มเหลวและนิ่มลง ระบบเผาผลาญพลังงานก็จะลดลงตามความฟิตของกล้ามเนื้อ และเมื่อกล้ามเนื้อน้อยลง ภูมิคุ้มกันในร่างกายก็จะลดลงตามกล้ามเนื้อไปด้วย เรี่ยวแรงจะลดลง พยายามหาเวลาบ้าง ที่บ้านก็ได้ ออกกำลังกายบริหารร่างกายให้เกิดมวลกล้ามนะคะ เพราะกล้ามเนื้อ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นนักเล่นกล้ามเท่านั้นที่จะทำได้ แค่คนทั่วไปควรมีแบบแค่ระดับให้ฟิตเฟิร์ม คือลองบีบแขน ขาตัวเองไม่ให้นุ่มนิ่ม เหลวยวบยาบ
ยิ่งอายุมากเรี่ยวแรง ภูมิคุ้มกัน ก็ละลดลง แปลว่าร่างกายมีกลัามเนื้อน้อยค่ะ ผลตามมาคือ คนที่อยู่ในวัยเข้า 50 การเคลื่อนของข้อต่อกระดูกจะเริ่มตามมา เพราะมวลกล้ามน้อย ทำให้กระดูกเป็นตัวแบกรับน้ำหนักในร่างกายจนกระดูกเคลื่อน เห็นมั้ยคะว่ากล้ามเนื้อสำคัญมากกว่าดูเป็นนักเล่นกล้ามอย่างเดียว ใครไม่อยากมีหุ่นแบบนักกล้ามก็สามารถสร้างกล้ามให้เหนียวแน่นแข็งแรงก็พอ ไม่ต้องกลัวจะมีกล้ามโตๆ หรือมีหุ่นแบบผู้ชาย เพราะคนที่มีหุ่นแบบนักกล้าม หรือกล้ามชัดๆ ต้องควบคุมอาหาร และเพิ่มระดับการออกกำลังกายหลายเลเวลมากกว่าแค่ให้มีกล้ามแบบฟิตแอนด์เฟิร์มปกติทั่วไป
เฉพาะอย่างยิ่ง ช่วง happy season แบบนี้เป็นช่วงที่ท้าท้าย วัดใจ สำหรับสาวๆ ที่กำลังอยู่ในช่วงรักษารูปร่าง หรือเตรียมตัวลดน้ำหนัก แต่ต้องไปปาร์ตี้ ไหนจะ drink drank drunk อีก อาหารก็อ้วนๆ คาร์บๆ (คาร์โบไฮเดรต) ไขมันๆ หวานๆ ซะทั้งนั้นด้วยสิ แล้วจะทำยังไงดีล่ะทีนี้
1.ถ้ามีบาร์บีคิว เมจิจะทานแต่เนื้อสัตว์ เช่น ส่วนอกไก่ เนื้อหมูไม่ติดมัน แล้ว side dish จะไม่ทานกับ chips หรือมันบด เพราะพวกนี้เป็นคาร์บ เมจิจะทานกับผัก คู่กับสเต๊ก
2.แต่ถ้ามีแต่สปาเกตตี หรือพิซซ่า ที่มองไปไหนก็เจอแต่แป้ง! เมจิจะตักเอาส่วนที่เป็นเครื่องมากกว่าส่วนเส้น เช่นสปาเกตตีผัด มักจะมีเครื่องต่างๆ ด้วย หรือพิซซ่า ทานแค่ 2-3ชิ้นพอ แล้วไปทานสลัด หรืออื่นๆ เพราะแน่นอน ต้องมีของหวาน หรือเครื่องดื่ม อย่าเพิ่งไปจบที่แค่พิซซ่าอย่างเดียว
3.เครื่องดื่ม เมจิจะเน้นที่ผสมโซดาหรือ Sparkling water แล้วไซรัป แยกออกมาผสมเอง เพราะเครื่องดื่มที่ใส่โซดาจะมีแก๊ส เลยทำให้เมจิอิ่มท้องเร็ว ทีนี้จะไม่อยากทาน อยากดื่มมากเกินไป ทำให้อิ่มเร็ว แต่เมจิจะไม่ดื่มน้ำอัดลม หรือค็อกเทลที่หวานๆ ด้วย เมจิมักจะสั่งแยกไซรัปเสมอ เพราะความหวานแต่ละคนไม่เท่ากัน บางคนผสมหวานแทบเป็นลม
3.หากต้องทานของหวาน ก็เช่นไอศกรีมหนึ่งสกู๊ปหรือเค้กหนึ่งชิ้นก็พอ เพราะส่วนใหญ่เน้นเครื่องดื่มหลายแก้ว เมจิเลยไม่ทานของหวานมากเกินไป ทั้งหมดที่ว่ามานี้เมจิจะไม่อ้าง วัน เวลา เทศกาล เพราะอย่างนั้นอย่างนี้ ในการผัดวันประกันพรุ่งในการทานอาหาร หรือออกกำลังกาย เพราะเมจิฝึกนิสัยการควบคุมอารมณ์ตัวเองมามากในการทานอาหาร จนกลายเป็นอุปนิสัยในการทานแบบมีสติ เมจิเคยแชร์ไปแล้วว่า เราควรฝึกการทานแบบมีสติ จนวันนึงร่างกายพอโดนทำอะไรเป็นประจำ เค้าจะกลายเป็นอุปนิสัย ไม่ว่าเราจะใส่อะไรที่ดี หรืออะไรที่ไม่ดี คนที่เกียจคร้าน หากทำบ่อยๆ ก็จะกลายเป็นนิสัยเช่นกันค่ะ ฉะนั้น การเจออาหารในงานปาร์ตี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการทานในชีวิตประจำที่เราต้องทำค่ะ
ภาพ - ข้อมูล : IG Meiji_27anorma