Rate ESRB E10+ สำหรับผู้มีอายุ 10 ปีขึ้นไป
ย้อนอดีตไปเมื่อปี 1995 อันเป็นยุคเฟื่องฟูของเกม อาร์พีจี ญี่ปุ่น ในตอนนั้น สแควร์ กับ อีนิกซ์ ยังไม่รวมบริษัทกัน ใครจะนึกว่าทีมงานของสุดยอด เกมภาษาชื่อดังอย่าง Hironobu Sakaguchi แห่ง Final Fantasy กับ Yuuji Horii แห่ง Dragon Quest แถมด้วย Akira Toriyama จาก Dragon Quest และ Dragon Ball จะมาร่วมกันสร้างเกมอาร์พีจี จนกำเนิดมาเป็นสุดยอดเกมภาษา ที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นเกมภาษาที่ดีที่สุดตลอดกาล ที่มาทั้งกราฟิกที่สวยงามมาก(ในยุคนั้น) และด้วยเนื้อเรื่องที่โดดเด่นเข้มข้น ที่แม้จะผ่านเวลามากว่า 13 ปีแล้วเกมก็ยังคงสนุกไม่เสื่อมคลาย
สำหรับผู้ที่ไม่รู้จักหรือเกิดไม่ทันเล่น เกม Chrono trigger เป็นเกมภาษา แบบ Turn Base ที่ไม่มีการตัดเข้าฉากต่อสู้ และศัตรูเห็นในฉากแบบไม่มีการสุ่ม ที่มีเสน่ห์ที่ความรวดเร็วฉับไว ยิ่งถ้าเราปรับเป็นแบบ Active แล้วแทบจะเป็นเกมภาษาที่มีระบบการต่อสู้ที่รวดเร็วที่สุด แม้การรีเมคครั้งนี้ จะเหมือนยกมาจากเมื่อ 13 ปีก่อนทั้งดุ้นทั้งภาพและเสียง แถม คัตซีนก็นำมาจากสมัยรีเมคครั้งแรกบน PS1 แต่ภาพแบบนี้แหละที่ทำให้เกมยังคงความรวดเร็ว แม้จะเสียดายเล็กๆ ที่แม้จะเป็นกราฟิกที่สวยงามมาก(ในยุค16บิต) แต่อย่างน้อยน่าจะปรับภาพให้สวยขึ้นสักนิด(ในแบบดอทพิกเซล)อยู่ดี อย่างไรก็ตามเมื่อมาอยู่บนจอเล็กๆของ DS ภาพในเกมก็ยังคงดูดี
และแม้ว่าด้านภาพจะไม่เปลี่ยนแปลงก็ตาม แต่การรีเมคครั้งนี้ ถือว่าใช้ 2 หน้าจอของ NDS ได้คุ้มค่าสุดๆ เพราะเมื่อมีการนำเกมคอนโซลมาลงจอเล็กๆของเครื่องมือถือ ปัญหาหลักคือความเล็กของหน้าจอ เพราะเมนูจะบีบหน้าจอให้เล็กลงไปอีก แต่เกมปรับเปลี่ยนให้จอด้านบน เป็นฉาก ส่วนจอล่างเป็นเมนู และแผนที่ ที่ทำให้เกมดูง่าย และสามารถใช้ได้อย่างรวดเร็วไม่แพ้บนคอนโซล นอกจากนี้เกมยังใช้ระบบสัมผัส เล่นได้ทั้งหมด แต่โดยส่วนตัวชอบการกดปุ่มแบบเดิมๆมากกว่า เสียดายที่ตัวอักษรเล็กไปนิด ต้องใช้การเล่นสักพักถึงจะชิน นอกนั้นเราสามารถปรับเปลี่ยนเมนูได้หลากหลาย อันเป็นจุดเด่นของการรีเมคครั้งนี้
รูปแบบการเล่นโดยรวมยังคงเดิม ของเกมภาษายุคก่อนที่ระบบไม่ซับซ้อน เหมือนเกมภาษาในยุคนี้ที่ต้องตั้งค่ากันวุ่นวายมากกว่าจะเริ่มต่อสู้ได้ เกมนี้ยังคงเน้นการปั๊มเลเวล ใส่อาวุธ เครื่องป้องกัน แบบเดิมๆ แต่ที่โดดเด่นคือ การ “ผสานท่าไม้ตาย” ของเพื่อนๆในทีม ที่มีมากมายหลากหลาย และจำเป็นอย่างยิ่งในการวางแผนสู้บอสสุดโหด โดยเราต้องเลือกเพื่อนรวมทีมให้เข้าขากับท่าไม้ตาย โดนในแต่ละท่า ต้องคำนึงถึงระยะในการกำจัดศัตรูด้วยเพราะ ศัตรูบางตัวมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา โดยรวมแล้วสำหรับเด็กยุคใหม่ๆอาจจะดูว่าเชย แต่ด้วยระบบพื้นฐานที่ไม่ซับซ้อนแต่สนุกนี่แหละ ทำให้เกมนี้โดดเด่น เหนือกว่าเกมอื่นๆ จนถึงเกมในยุคนี้ก็อยากให้มองย้อนกลับมาดู ระบบที่ง่ายๆ แต่ทรงพลังของเกมในยุคก่อน บ้าง
และเนื้อเรื่องที่ว่าด้วย การท่องกาลเวลาไปยังยุคต่างๆทั้งอดีตและอนาคต ที่การกระทำของเราในอดีตจะส่งผลไปยังอนาคต โดยมีการเขียนเรื่องออกมาได้ยอดเยี่ยมมากและมีการใช้ตำนานของยุคต่างๆของโลกเรามาเขียนผสานกับเกมได้อย่างลงตัว ส่วนทางด้านการเขียนบทของตัวละครมีความลึก มีอดีตให้ติดตาม ไม่ว่าจะเป็น เจ้ากบ หรือราชาปีศาจ ที่มีความหลังที่น่าติดตาม และด้วยการเขียนเนื้อเรื่องออกมาดีมากนี่เอง ทำให้ผู้เล่นมีความผูกพันกับตัวละคร มากกว่าเกมอื่นๆ ลองนึกดูว่า ในยุคนั้นที่ไม่มีคัทซีนสวยๆ(เวอร์ชั่น SFC) ไม่มีเสียงพากย์ มีเพียงแค่ภาพแบบ ดอทพิกเซล แต่เกมกลับสร้างความรู้สึกผูกพัน จนต้องน้ำตาซึมกับบางฉากในเกมได้
และที่จะไม่พูดถึงไม่ได้คือ เพลง ประกอบ ที่ส่วนตัวถือว่าเป็นเกมที่มี เพลงประกอบที่ไพเราะ ที่สุดในประวัติศาสตร์เกมอาร์พีจีญี่ปุ่น บนคอนโซล เพราะอย่างที่บอกว่าเกมนี้เป็นการรวมตัวกันทำงานของคนเก่งๆในวงการเกม ดังนั้นการแต่งเพลงก็เป็นการรวมตัวกันของนักประพันธ์ชั้นยอดหลายคน เช่น คุณ Nobuo Uematsu จาก Final Fantasy และ คุณ Yoko Shimomura ผู้ประพันธ์อันมีเอกลักษณ์ ที่โดดเด่นด้วยเสียงระฆังและเปียโน ที่ป็นคนทำเพลงประกอบ เกมดังๆหลายเกมเช่น Front Mission , Parasite Eve , Kingdom Hearts และปัจจุบันกำลังทำงานให้กับเกมดังอย่าง Final Fantasy Versus XIII อยู่ ดังนั้นจึงไม่แปลกว่า เพลงประกอบเกมจะมีคุณภาพสูงมากถึงขนาดบางธีม ต้องหยุดเล่นเพื่อฟังกันเลยทีเดียว
ของที่แถมมาตามประเพณีของการรีเมคของ สแควร์ อีนิกซ์ คือดันเจี้ยนลับ , โหมดดูคัทซีน , ประวัติมอนสเตอร์ที่สู้มา และการเล่นกับเพื่อนผ่านระบบ Wireless แต่ที่พิเศษคือ ระบบเลี้ยงมอนสเตอร์ โดยมีลานประลอง ตามเกมแนวนี้ ทั่วๆไป โดยมีการนำประเด็นหลักของเกมนั้นก็คือการท่องเวลา เป็นการส่งมอนสเตอร์ ไปยังยุคต่างๆเพื่อเพิ่มค่าพลังต่างๆได้ด้วย เสียดายที่ไม่มีระบบ Online แต่ที่แฟนๆต้องชอบและต้องเล่นคือ ฉากจบพิเศษ เฉพาะภาค NDS ที่ต้องลองเล่นเองว่าจะแตกต่างจากจากการรีเมค ครั้งก่อนอย่างไร
สรุปสุดท้ายสำหรับผู้เขียนนั้นเกม Chrono trigger เปรียบเหมือน Super Mario 3 ฉบับเกมภาษา ที่ยอดเยี่ยมและลงตัวในทุกๆองค์ประกอบ ที่ส่วนตัวเล่นเกมนี้มาไม่ต่ำกว่า 15 รอบแล้วก็ยังคงสนุกกับการเล่นอีกครั้ง แต่เสียดายที่ปัจจุบันแม้ สแควร์ และ อีนิกซ์ จะรวมบริษัท กันแล้ว แต่โอกาสการรวม ทีมแบบตอนที่สร้าง Chrono trigger นั้นอาจเป็นแค่ฝัน เพราะหลายคนแยกตัวออกไปเปิดบริษัท เอง ทำให้เกมนี้อาจเป็นเกมแรกและเกมสุดท้ายที่ได้เห็นกัน ที่แม้จะมีภาคต่อ(Chrono Cross) ก็ไม่ได้สร้างโดยทีมงานเดิม และไม่สนุกเท่าภาคแรก สรุปโดยรวมภาครีเมคลง DS นี้แม้จะเหมือนการกลับมาอย่างไม่ค่อยลงทุนและเหมือนกลับมาหากินใหม่แบบง่ายๆ แต่ด้วยตัวเกมที่ยอดเยี่ยมมากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว อย่างไรก็คุ้มค่าที่จะได้สนุกทะลุมิติกาลเวลาไปกับโคโรโน่อีกครั้ง
ข้อดี : รีเมคได้เยี่ยมไม่เสียความคลาสิก
ข้อเสีย : ไม่ต่างจากการรีเมคครั้งก่อนนัก , ตัวอักษรเล็กไปหน่อย
สูตรสำเร็จของ Chrono : Dragon Quest + Final Fantasy + Back to the Future ไง
เกมการเล่น | 9 |
กราฟิก | 8 |
เสียง | 9.5 |
ความคิดสร้างสรรค์ | 8 |
ความคุ้มค่า | ยังคงคุ้มค่าที่จะเล่นอีก |
ภาพรวม | 9 |
Darth.Vader (วงศกร ปฐมชัยวัฒน์)