หลังจากวันที่ 13 สิงหาคมเราได้ไปร่วมงาน "วิลล์ ไรท์และผองเพื่อน"กันไปแล้ว วันถัดมาในวันที่ 14 สิงหาคมเราก็มีโอกาสได้พบกับวิลล์ ไรท์อีกครั้งหนึ่งเพื่อสัมภาษณ์แบบตัวต่อตัว
ในตอนเช้าวิลล์ ไรท์ ได้เดินทางไปยัง โรงแรม Ritz-Carlton Millenia Singapore เพื่อเข้าร่วมบรรยายในงาน Global Brand Forum ซึ่งงานนี้จะเชิญผู้ประสบความสำเร็จในธุรกิจด้านต่างๆมาพูดเกี่ยวกับเรื่องการสร้างแบรนด์ของสินค้าของตน ซึ่งวิลล์ ไรท์ ได้พูดในหัวข้อ "The Evolution of Gaming and its Impact on Brand Building"
การบรรยายครั้งนี้จะแตกต่างจากวันแรกพอสมควรเพราะจะเน้นในเรื่องทางด้านธุรกิจเป็นหลัก แต่ก็ยังคงความสนุกสนานและเรียกเสียงหัวเราะให้กับผู้ที่รับฟังได้ตลอดเวลาและก็ใช้เวลาในการบรรยายไปประมาณ 30 นาทีก่อนที่จะได้มีการเปิดให้ผู้เข้าฟังการบรรยายได้ซักถาม
หลังจากนั้นก็เปิดโอกาสให้สื่อได้เข้าซักถามอีกเช่นเคย แต่เราก็ไม่ได้ซักถามอะไรในช่วงนี้เพราะทางเรามีกำหนดการที่จะได้พบกับวิลล์ ไรท์ ในตอนเย็นอยู่แล้ว เราจึงปล่อยให้สื่อท้องถิ่นที่นั่นได้ซักถามกันอย่างเต็มที่หลังจากนั้นก็พักรับประทานอาหารแล้วก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน
ในตอนเย็นเราได้เดินทางไปยังบริษัท อิเลคทรอนิค อาร์ต เอเชียเพื่อรอการสัมภาษณ์ ซึ่งในช่วงนี้จะมีสื่อจากเอเชียทั้งหมดแบ่งกันเข้าไปสัมภาษณ์ทีละกลุ่ม หลังจากที่เราได้ไปเตรียมตัวกันสักพักวิลล์ ไรท์ ก็พร้อมที่จะให้สัมภาษณ์แล้ว จากนั้นเขาก็ก้าวเข้ามาในห้องพร้อมด้วยหน้าตาที่ยิ้มแย้มแจ่มใส่และเป็นกันเอง หลังจากที่เราได้ทักทายเขาพอสมควรแล้วเราก็เริ่มยิงคำถามแรกก่อนเลย
ผู้จัดการเกม:คิดอย่างไรกับการที่มีคนบอกว่า คนที่เล่นวีดีโอเกมคือคนที่เหมือนกับเด็กที่ไม่รู้จักโต ?
วิลล์ ไรท์:ผมคิดว่าสิ่งนี้มันคือความชอบของคนแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน บางคนก็ชอบดูภาพยนตร์ดูละคร หรือบางคนก็ชอบอ่านหนังสือ แต่คนเล่นเกมก็ถูกให้คำจำกัดความไปอีกแบบหนึ่ง
ผมเคยอ่านหนังสือที่บอกเล่าถึงเหตุการณ์หนึ่งซึ่งมีคนคนหนึ่งกำลังนั่งจดจ่อกับอุปกรณ์อะไรบางอย่างในมืออย่างเพลิดเพลินโดยที่ไม่ได้ทันสังเกตว่ามีใครเข้ามาในห้อง คนอีกคนหนึ่งที่กำลังเดินเข้ามาก็แสดงอาการไม่พอใจว่าทำไมไม่สนใจเขาบ้างเลย
เหตุการณ์นี้ถูกเขียนในศตวรรษที่ 14 และอุปกรณ์ที่ทำให้คนเพลิดเพลินจนไม่ได้สนใจคนอื่นก็คือหนังสือ ซึ่งปัจจุบันนี้มันก็อาจจะเป็นวีดีโอเกม หรือเกมมือถืออะไรสักอย่าง เหตุการณ์แบบนี้มันมีมานานมากแล้ว
ผู้จัดการเกม:เห็นด้วยหรือไม่กับความคิดที่ว่า วีดีโอเกมเป็นเหมือนเครื่องมือบ่มเพาะความรุนแรง ?
วิลล์ ไรท์:ผมคิดว่าจริงๆแล้วความรุนแรงที่เกิดจากคนที่เล่นเกมมันยังน้อยกว่าพวกคนที่คลั่งคัมภีร์ไบเบิลซะอีก ก็เหมือนกับคนเราที่มองในสิ่งที่เราไม่เข้าใจและเราก็จะกลัวมันและก็หาเหตุผลว่าทำไมมันไม่ดี คล้ายกับที่สมัยก่อนที่เราคิดว่าเราถูกพายุใต้ฝุ่นทำร้ายเพราะเราไม่ได้ทำการสังเวยบูชายันให้พระเจ้า ดังนั้นการที่เราบอกว่าสิ่งนี้คือสาเหตุทำให้เกิดสิ่งนี้บางทีมันก็ไม่ใช่เสมอไป
ผู้จัดการเกม:คุณคิดว่าการที่คนเราใช้จินตนาการที่อิสระมากเกินไปจะก่อให้เกิดผลร้ายหรือไม่ ?
วิลล์ ไรท์:มันจะมีคนที่เกิดอาการหวาดระแวงและก็ได้ยินเสียงในหัว ซึ่งมันก็เป็นโรคจิตชนิดหนึ่งซึ่งอาจจะเกิดจากการใช้จินตนาการมากเกินไป แต่ผมคิดว่าอาการแบบนี้ไม่ได้เกิดจากการอ่านหนังสือ ดูภาพยนตร์ หรือเล่นวีดีโอเกม
ผู้จัดการเกม:คุณคิดว่าตัวคุณมีอะไรที่ทำให้สามารถจินตนาการและสร้างสรรค์ได้มากมายขนาดนี้ ?
วิลล์ ไรท์:ผมคิดว่าน่าจะเป็นเพราะคุณแม่ที่คอยส่งเสริมให้ผมคิดสร้างสรรค์ตลอดเวลา จากสร้างตัวต่อโมเดลเป็นหุ่นยนต์ ต่อมาผมก็เอาคอมพิวเตอร์มาเชื่อมโยงหุ่นยนต์ แล้วผมก็สร้างสรรค์บนคอมพิวเตอร์ต่อ
ผู้จัดการเกม:เรื่องแปลกที่เกิดขึ้นในเกมของคุณเป็นความตั้งใจของทีมงานหรือเปล่า อย่างเช่นในเดอะซิมส์ที่คนทำอาหารไม่เก่งก็สามารถทำไฟไหม้บ้านได้ และจะมีอะไรแบบนั้นในสปอร์หรือเปล่าครับ?
วิลล์ ไรท์:ในเกมของผมจะมีเรื่องของความสำเร็จกับความล้มเหลว แต่เหมือนกับคนเล่นชอบช่วงที่มันล้มเหลวมากกว่าช่วงที่มันสำเร็จ ผมจึงชอบใส่สิ่งพวกนี้เข้าไป เพราะมันดูตลกดี และให้ผู้เล่นได้ลองค้นหา และก็ช่วงที่ประสบความสำเร็จในเกมมันก็ดูน่าเบื่อ แต่คนก็มักจะจดจำและชอบนำช่วงเวลาที่ล้มเหลวไปบอกเล่าและพูดถึงกันว่าเกมนั้นๆมันเป็นอย่างไร
ผู้จัดการเกม:ถ้าคุณเป็นพระเจ้าจะแกล้งคนไหม อย่างเช่นแกล้งไม่ให้เขาได้นอนหลับ ?
วิลล์ ไรท์:ผมก็อาจจะลองทำดูเหมือนกันนะครับ แต่ก็คงไม่หมกมุ่นกับมันมาก ถ้าผมได้เป็นพระเจ้าผมจะซ่อนตัวไม่ให้ผู้คนเห็นและก็จะคอยดูว่าพวกเขาจะทำอย่างไรและมีชีวิตอย่างไรตามธรรมชาติ แต่จะไม่ไปยุ่งหรือไปทำลายวิถีชีวิตของเขา
ผู้จัดการเกม:อยากให้ฝากคำพูดถึงแฟนเกมชาวไทยด้วยครับ ?
วิลล์ ไรท์:ยอดจำหน่ายเกมของผมในเมืองไทยโดดเด่นมาก เป็นตลาดที่สำคัญ เราพยายามสร้างสรรค์เกมให้คนไทยด้วย แต่ก็ปรากฏว่าภาษาไทยยากมาก ยากกว่าหลายภาษาที่เราได้ทำกัน แต่ผมก็พยายามครับ อยากจะรู้ว่าคนไทยจะสร้างสรรค์อะไรเกี่ยวกับสปอร์ได้บ้าง อยากให้ทำออกมาดีและยอดเยี่ยมด้วยครับ จะได้เป็นกำลังใจให้ผมได้ทำงานสร้างสรรค์เกมต่อไป
หลังจากนั้นเราก็ได้กล่าวขอบคุณ ก่อนที่จะกล่าวอำลาผู้ที่ให้กำเนิดเหล่าสปอร์ตัวน้อยให้ได้ออกมาโลดเล่น และก็เตรียมตัวให้พร้อมกับเกมสปอร์ตัวเต็มที่จะออกจำหน่ายในไม่ช้านี้ แต่เราก็ยังไม่จบเพียงเท่านี้ครับ
คอยพบกับบทสัมภาษณ์ ผู้สร้างเกม จากค่าย DICE ซึ่งมีผลงานที่โด่งดังมาแล้วจากเกมในซีรีส์ "Battlefield 2: Modern Combat" คราวนี้พวกเขาได้เปลี่ยนแนวเกมไปสร้างเกมแอคชันผจญภัยทื่ชื่อว่า "Mirror's Edge" คอยติดตามกันได้ครับ
เราจะทิ้งท้ายด้วยคำตอบของวิลล์ ไรท์ ที่ตอบในงาน Global Brand Forum เมื่อมีผู้ปกครองท่านหนึ่งถามเรื่องปัญหาเด็กติดเกม และเรื่องเกมรุนแรงวิลล์ ไรท์ ได้ตอบไปว่า
"เด็กก็เหมือนกับอะไรอย่างหนึ่งที่รับเอาทุกสิ่งทุกอย่างจากภายนอก เด็กไม่สามารถเลือกเองได้ เราในฐานะที่เป็นผู้ปกครองจะต้องคอยเลือกสิ่งที่ดีให้กับเขา อย่าปล่อยให้เขาไปค้นหาเอาเอง ถ้าเป็นไปได้ก็หาโอกาสทำความเข้าใจและเล่นเกมกับเขาบ้าง ค่อยๆสอนเขา ผมว่าน่าจะแก้ปัญหาได้ครับ"