xs
xsm
sm
md
lg

ผนังมดลูกบาง ทำให้ท้องยากจริงหรือ? บำรุงอย่างไรให้พร้อมสำหรับการฝังตัวของลูกน้อย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผนังมดลูก (Endometrium) คือเยื่อบุโพรงมดลูกที่ทำหน้าที่สำคัญต่อการฝังตัวของตัวอ่อน งานวิจัยทางการแพทย์จำนวนมากยืนยันว่า “ความหนาของผนังมดลูก” เป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่กำหนดความสำเร็จของการตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในผู้หญิงที่อยู่ระหว่างการรักษาภาวะมีบุตรยากด้วยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ 

ครูก้อย – นัชชา ลอยชูศักดิ์ ครูวิทยาศาสตร์และผู้ก่อตั้งเพจ BabyAndMom.co.th แหล่งความรู้ด้านการเตรียมตั้งครรภ์ยืนหนึ่งในใจผู้มีบุตรยาก  ได้ให้ข้อมูลว่า การเตรียมผนังมดลูกเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการทำเด็กหลอดแก้ว หากผนังมดลูกพร้อมในการฝังตัว อาจช่วยเพิ่มโอกาสสำเร็จในการทำ ICSI โดยผนังมดลูกที่เหมาะสมในการฝังตัวอาจมีลักษณะดังนี้ 1.ผนังมดลูกควรมีความหนาประมาณ 8-10 มิลลิเมตร 2.เรียงตัวเป็นสามชั้น ผิวเรียบ และเห็นเส้นกลางชัดเจน (Triple Lines) 3.มีลักษณะใสเป็นวุ้น (ไม่หนาทึบ)4.มดลูกอุ่น มีการไหลเวียนเลือดดี และไม่มีสารพิษตกค้าง

ภาวะผนังมดลูกบาง
ภาวะผนังมดลูกบาง (Thin Endometrium) คือภาวะที่ผนังมดลูกมีความหนาน้อยกว่า 7 มิลลิเมตรในช่วงก่อนย้ายตัวอ่อน ซึ่งสัมพันธ์กับอัตราการตั้งครรภ์ที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และจากการศึกษางานวิจัยด้านภาวะเจริญพันธุ์ระดับนานาชาติหลายฉบับล้วนได้ผลลัพธ์ไปในทิศทางเดียวกัน ยกตัวอย่างงานวิจัยชิ้นสำคัญที่ตีพิมพ์ในวารสาร Human Reproduction ปี 2018 ศึกษารอบย้ายตัวอ่อนกว่า 40,000 รอบ พบว่า ในรอบการย้ายตัวอ่อนแบบแช่แข็งของผู้หญิงที่มีผนังมดลูกหนา ≥8 มม. มีอัตราการตั้งครรภ์ 38.4% และจะลดลงเรื่อยๆ เมื่อความหนาของผนังมดลูกลดลง โดยอยู่ที่ 27.3% ในกลุ่ม 4.0-4.9 mm และอัตราการคลอดแบบมีชีวิตก็ลดลงตามไปด้วย 

สาเหตุของภาวะผนังมดลูกบาง นี้มีหลายประการ
ผนังมดลูกบาง มีสาเหตุหลายประการ เช่น  ความไม่สมดุลของฮอร์โมน ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบเรื้อรังหรือพังผืดในมดลูก ตลอดจนปัจจัยจากไลฟ์สไตล์ เช่น การสูบบุหรี่ ความเครียด และโภชนาการที่ไม่เหมาะสม รวมถึงการกระตุ้นรังไข่ซ้ำหลายรอบก็อาจทำให้เยื่อบุโพรงมดบางได้เช่นกัน
นอกจากนี้ยังมีรายงานวิจัยรายงานว่าอายุที่มากขึ้นยังส่งผลต่อทำให้ผนังมดลูกบางอีกด้วย ซึ่งสอดคล้องกับรายงานวิจัยที่ทำการศึกษาเกี่ยวกับ ปัจจัยที่มีผลต่อความหนาของเยื่อบุมดลูกในระหว่างการรักษาด้วยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ ตีพิมพ์ในวารสาร Fertility and sterility ปี 2007 เรื่อง Predicting factors for endometrial thickness during treatment with assisted reproductive technology พบว่า เยื่อบุมดลูกมีแนวโน้ม “บางลง” ตามอายุ โดยผู้หญิงอายุเกิน 40 ปีมีโอกาสที่เยื่อบุมดลูกหนาน้อยกว่าผู้หญิงที่อายุน้อยกว่า อีกทั้งการมีเยื่อบุมดลูกที่หนาพอเหมาะมีความสัมพันธ์กับอัตราการตั้งครรภ์ที่สูงขึ้น โดยเฉพาะในผู้หญิงอายุมากกว่า 35 ปี  

แนวทางการเตรียมความพร้อมของผนังมดลูก ที่สามารถปฏิบัติได้ด้วยตนเองควบคู่กับวิธีทางการแพทย์ ก่อนการย้ายตัวอ่อน 

1.การบริโภคโปรตีนคุณภาพดี
ครูก้อย – นัชชา กล่าวเสริมว่า โภชนาการมีบทบาทสำคัญที่ส่งผลต่อความหนาของเยื่อบุโพรงมดลูกโดยจากการศึกษางานวิจัยหลายฉบับพบว่า การบริโภคโปรตีนคุณภาพดี โปรตีนจากพืช หรือ เนื้อสัตว์ไม่ตัดมัน ไข่  ปลา ถั่ว และธัญพืช กรดไขมันไม่อิ่มตัว และรับประทานผักผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง โดยมีรายการผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ใน American Journal of Clinical Nutrition ปี 2018 พบว่าผู้หญิงที่บริโภคปลามากขึ้นก่อนเข้ารับการรักษาภาวะมีบุตรยาก มีอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์กว่ากลุ่มที่รับประทานโปรตีนจากเนื้อสัตว์ประเภทอื่นอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่งานวิจัยใน Fertility and Sterility ปี 2016 รายงานว่า การบริโภคธัญพืชเต็มเมล็ดมากกว่า 52 กรัมต่อวัน ช่วยเพิ่มอัตราการคลอดบุตร และการเพิ่มปริมาณธัญพืชเต็มเมล็ด 28 กรัมต่อวัน ยังสัมพันธ์กับการเพิ่มความหนาของเยื่อบุโพรงมดลูกเฉลี่ย 0.4 มิลลิเมตร

2.เสริมวิตามินและแร่ธาตุ
การเสริมวิตามินและสารอาหาร เช่น โฟลิก ,Coenzyme Q10 , มัลติวิตามิน และ Fish oil วิตามินอี และโอเมก้า-3 ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดไปยังมดลูก ช่วยลดค่าการอักเสบ รวมถึงอาจช่วยเพิ่มความสมบูรณ์ของผนังมดลูก

3.ออกกำลังกายเบาๆ กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต
การออกกำลังกายเบา ๆ เช่น โยคะ แอโรบิก หรือการเดินเร็ว ประมาณ 150 นาทีต่อสัปดาห์ สามารถช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดไปยังอุ้งเชิงกราน ส่งผลให้มดลูกได้รับออกซิเจนและสารอาหารได้ดีขึ้น การไหลเวียนเลือดที่ดีขึ้นยังสามารถสนับสนุนความสมบูรณ์ของผนังมดลูกและสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการฝังตัวของตัวอ่อนได้ 

4.นอนหลับให้เพียงพอ 7–8 ชั่วโมง
การนอนหลับให้เพียงพอวันละ 7–8 ชั่วโมง ช่วยให้ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการเจริญพันธุ์ทำงานสมดุล สนับสนุนการตกไข่และการฝังตัวของตัวอ่อน อีกทั้งยังลดความเครียด ควบคุมคอร์ติซอลเสริมภูมิคุ้มกัน และลดการอักเสบ ซึ่งล้วนส่งผลดีต่อโอกาสตั้งครรภ์ งานวิจัยใน BMC Women’s Health ปี 2024 เรื่อง “Sleep disturbances and female infertility: a systematic review” พบว่าผู้หญิงที่มีภาวะมีบุตรยากมักมีคุณภาพการนอนต่ำ นอนดึก และมีปัญหาการนอน ซึ่งสัมพันธ์กับผลการรักษาที่แย่ลง ทั้งจำนวนไข่ คุณภาพตัวอ่อน และอัตราการปฏิสนธิ 

5.สมดุลจุลินทรีย์ในมดลูก
“สมดุลจุลินทรีย์ในมดลูก” (Endometrial Microbiome) ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความพร้อมของมดลูกในการตั้งครรภ์ โดยจุลินทรีย์ที่อยู่ในภาวะสมดุลมีบทบาทช่วยรักษาสภาพแวดล้อมภายในมดลูกให้อยู่ในเกณฑ์เหมาะสม ลดการอักเสบ ควบคุมเชื้อก่อโรค และปรับสมดุลของระบบภูมิคุ้มกัน ส่งผลให้มดลูกเอื้อต่อการฝังตัวของตัวอ่อน ทั้งนี้มีรายงานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Journal of Assisted Reproduction and Genetics ปี 2019 ศึกษาพบว่าว่า ผู้หญิงที่มีจุลินทรีย์ชนิด Lactobacillus และ Bifidobacterium มากกว่า 80% ในเยื่อบุมดลูก มีอัตราการตั้งครรภ์จากการทำเด็กหลอดแก้ว สูงกว่ากลุ่มที่จุลินทรีย์ไม่สมดุลอย่างมีนัยสำคัญ 

กล่าวโดยสรุป ภาวะผนังมดลูกบางเป็นปัจจัยที่ทำให้โอกาสการตั้งครรภ์ลดลงอย่างชัดเจน แต่การดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน ตั้งแต่โภชนาการที่ดีการพักผ่อน การออกกำลังกาย ไปจนถึงการเสริมวิตามินและการดูแลสมดุลจุลินทรีย์ภายใต้คำแนะนำแพทย์ สามารถช่วยเพิ่มความพร้อมของร่างกายและโอกาสความสำเร็จในการตั้งครรภ์ได้อย่างมีนัยสำคัญ หรือสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.babyandmom.co.th/uterus-prep 

ติดตามความรู้เตรียมตั้งครรภ์สำหรับผู้มีบุตรยากได้ที่
Facebook: https://www.facebook.com/BabyAndMom.co.th/
TikTok: https://www.tiktok.com/@babyandmom.co.th
Line OA: @BabyAndMom.co.th (ปรึกษาครูก้อยและเคล็ดลับบำรุงเตรียมตั้งครรภ์สำหรับผู้มีบุตรยาก)









กำลังโหลดความคิดเห็น