xs
xsm
sm
md
lg

One Battle After Another ภารกิจบ้าระห่ำในโลกที่บิดเบี้ยว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: อภินันท์ บุญเรืองพะเนา



ท่ามกลางกระแสภาพยนตร์ที่มักจะนำเสนอความจริงที่ถูกปรุงแต่งอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย One Battle After Another (2025) คือเสียงแห่งความวุ่นวายที่โอบกอดความบ้าคลั่งเอาไว้ได้อย่างลงตัว นี่คือผลงานล่าสุดของ “พอล โทมัส แอนเดอร์สัน” (Paul Thomas Anderson) ผู้กำกับที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในหัวหอกสำคัญของวงการภาพยนตร์ยุคใหม่ ซึ่งการกลับมาครั้งนี้เป็นการพิสูจน์ให้เห็นอีกครั้งว่าเมื่อเขาจับมือกับนักแสดงระดับโลกอย่าง ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ (Leonardo DiCaprio) ผลลัพธ์ที่ได้ไม่ใช่แค่หนัง แต่คือประสบการณ์ที่ยากจะลืมเลือน

เมื่อสงครามไม่เคยสิ้นสุด: แก่นเรื่องที่เสียดสีอย่างลึกซึ้ง
One Battle After Another ไม่ใช่หนังแอคชั่นทั่ว ๆ ไปที่เราคุ้นเคย หากแต่เป็นงานที่ผสมผสานหลายแนวทางเข้าไว้ด้วยกัน ทั้ง Black Comedy, Action Thriller, และ Political Satire โดยมีแก่นเรื่องที่อิงมาจากนวนิยายสุดคลาสสิกอย่าง Vineland (1990) ของนักเขียนชาวอเมริกันผู้มีสไตล์เฉพาะตัวอย่าง “โทมัส พินชอน” (Thomas Pynchon)

หนังเล่าเรื่องราวของ “บ็อบ” อดีตนักปฏิวัติที่ปลีกตัวไปใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอยู่กับ “วิลล่า” ลูกสาวสุดที่รักในโลกที่อยู่นอกสายตาของรัฐบาล แต่แล้วอดีตอันวุ่นวายก็กลับมาหลอกหลอน เมื่อศัตรูตัวฉกาจเมื่อ 16 ปีก่อนอย่าง “คอลอเนล ล็อกจอว์” กลับมาปรากฏตัวอีกครั้งพร้อมกับการหายตัวไปของลูกสาว ทำให้บ็อบต้องกลับไปเผชิญหน้ากับสงครามที่ไม่มีวันจบสิ้น

สิ่งที่ผู้กำกับนำมาเป็นแกนหลักคือการตั้งคำถามว่า “สงคราม” ที่แท้จริงนั้นคืออะไร? มันไม่ใช่แค่การสู้รบในสนามเพลาะ แต่คือความขัดแย้งที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าทั้งในระดับประเทศและในระดับจิตใจของตัวละครแต่ละตัว บ็อบไม่ได้ต่อสู้กับศัตรูเพียงอย่างเดียว แต่เขายังต้องต่อสู้กับความหวาดระแวง ความเจ็บปวดจากอดีต และการพยายามที่จะปกป้องอนาคตที่กำลังเลือนรางของลูกสาวตัวเอง ซึ่งภาพการต่อสู้ในเรื่องก็ถูกนำเสนอในลักษณะที่บิดเบี้ยวและบ้าคลั่ง เป็นการล้อเลียนความไร้สาระของสงครามอย่างน่าสนใจ


สิ่งที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้โดดเด่นอย่างแท้จริงคือการแสดงของ “ลีโอนาร์โด ดิแคปริโอ” ในบทบาทของ “บ็อบ” ซึ่งแตกต่างจากบทบาทที่เคยสร้างชื่อให้เขาอย่างสิ้นเชิง จากบุคลิกที่ดูสุขุมและสง่างาม กลายมาเป็นชายผู้หวาดระแวงและหมดอาลัยตายอยาก เส้นผมที่ยุ่งเหยิงและท่าทางที่ดูไร้ทิศทางของเขาเป็นภาพสะท้อนของตัวละครที่ถูกหลอกหลอนโดยอดีตและไม่สามารถหาทางออกให้กับชีวิตได้ นักวิจารณ์หลายสำนักต่างยกย่องว่านี่คือหนึ่งในการแสดงที่น่าสนใจที่สุดในอาชีพของเขา และยังมีการเปิดเผยว่าหลาย ๆ ส่วนในบทพูดของตัวละครนี้เป็นผลมาจากการด้นสดของดิคาปริโอเอง ซึ่งทำให้ตัวละครมีความสมจริงและมีมิติที่ลึกซึ้งในแบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน

นอกจากดิคาปริโอแล้ว ทีมนักแสดงสมทบในเรื่องก็ทรงพลังไม่แพ้กัน ทั้ง “ฌอน เพนน์W ที่กลับมารับบทบาทสุดโหดในฐานะ “คอลอเนล ล็อกจอว์” และถูกยกย่องว่าเป็นการแสดงที่น่ากลัวแต่ก็เศร้าสร้อยไปพร้อม ๆ กัน นอกจากนี้ยังรวมไปถึง “เบนิซิโอ เดล โตโร” ในบทบาทของเซนเซย์ผู้ลึกลับที่ต้องมาร่วมทีมกับบ็อบ รวมถึง “เรจินา ฮอลล์” และนักแสดงหน้าใหม่อย่าง “เชส อินฟินิตี้” ผู้รับบทวิลล่า ที่ได้รับคำชื่นชมอย่างล้นหลามจากนักวิจารณ์หลายสถาบัน โดยเฉพาะการแสดงที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนทางอารมณ์ที่สามารถสะท้อนความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างเธอกับพ่อได้อย่างน่าเชื่อถือ

ภาษาภาพยนตร์ของแอนเดอร์สันในเรื่องนี้ก็ยังคงเป็นเอกลักษณ์ เขายังคงใช้การถ่ายทำด้วยกล้องที่เคลื่อนไหวอย่างมีชีวิตชีวา และให้ความสำคัญกับการใช้แสงธรรมชาติในช่วง Golden Hour ทำให้ภาพที่ออกมาสวยงามและมีเอกลักษณ์ในแบบฉบับของตัวเอง แต่สิ่งที่โดดเด่นคือการใช้ “ลองเทค” (long take) ในบางฉากสำคัญที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของการกระทำนั้นอย่างแท้จริง


นอกจากนี้ เพลงประกอบของ “จอห์นนี กรีนวูด” จากวง Radiohead ก็ยังคงเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนอารมณ์ของเรื่องราวให้ลื่นไหลและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน บทเพลงที่ถูกคัดสรรมาอย่างพิถีพิถันไม่ได้มีเพียงแค่การสร้างบรรยากาศ แต่ยังทำหน้าที่เป็นตัวบอกเล่าเรื่องราวและอารมณ์ของตัวละครไปพร้อม ๆ กัน

One Battle After Another เป็นภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องได้อย่างเต็มที่ มันไม่ได้มีเส้นเรื่องเดียว แต่เป็นการเล่าเรื่องที่ซ้อนทับกันหลาย ๆ เส้นราวกับภาพปะติด (Collage) ที่สะท้อนความสับสนอลหม่านของยุคสมัย ทำให้ผู้ชมต้องใช้สมาธิอย่างเต็มที่ในการรับชม และมันยังคงทิ้งให้ผู้ชมได้กลับไปขบคิดถึงประเด็นทางสังคมและการเมืองที่ถูกนำเสนออย่างเสียดสีและตรงไปตรงมา ไม่ว่าจะเป็นการกล่าวถึงการต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ การควบคุมของรัฐบาล และการนิยามความหมายของ “ความรุนแรง” ในรูปแบบต่าง ๆ

One Battle After Another ไม่ใช่หนังที่ดูง่าย ไม่ได้เป็นมิตรกับผู้ชมที่ต้องการความบันเทิงแบบสำเร็จรูป แต่มันคือประสบการณ์การรับชมภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยพลัง ความบ้าคลั่ง และความคิดสร้างสรรค์ที่ไร้ขีดจำกัด หากคุณเป็นคนที่ชื่นชอบงานของพอล โทมัส แอนเดอร์สัน หรือต้องการที่จะเห็นการแสดงของลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ ในบทบาทที่ไม่เหมือนใคร ภาพยนตร์เรื่องนี้จะตอบโจทย์คุณได้อย่างแน่นอน

มันคือการเดินทางที่ยากจะคาดเดา และเป็นการพิสูจน์ว่าในโลกภาพยนตร์ การเล่าเรื่องที่กล้าหาญและไม่เหมือนใครยังคงสามารถสร้างสรรค์ผลงานระดับมาสเตอร์พีซขึ้นมาได้ แม้ว่าในตอนจบหนังจะไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจน แต่ก็เปิดโอกาสให้ผู้ชมได้ตีความและทำความเข้าใจถึงความสับสนวุ่นวายของตัวละครและของโลกใบนี้ไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว ความงดงามที่แท้จริงของมันก็อาจจะซ่อนอยู่ในความวุ่นวายนั้นเอง







กำลังโหลดความคิดเห็น