xs
xsm
sm
md
lg

รับไม้ต่อจากรุ่นพี่ “Only Monday” พร้อมสานต่อวงร็อคกลิ่นไทยให้กับนักฟังเพลง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นับเป็นเวลากว่า 5 ปีแล้ว ที่วงดนตรีร็อคไทยอย่าง “Only Monday” ที่มีสมาชิก ได้แก่ ธีร์-ทีปกร คำสุรีย์ (ร้องนำ/กีตาร์) โปรด-วริศ สาระเขตต์ (เบส) และ เฟรม-คฑาวุธ ขำทอง (กลอง) ได้แนะนำตัวให้เป็นที่รู้จักกับนักฟังเพลงไทย ผ่านผลงานทั้งหลากหลายซิงเกิล และ 2 สตูดิโออัลบั้ม อย่าง Only Monday (2565) และ Hotel Room 302 (2568) จนเป็นที่ยอมรับและรับพวกเขาทั้งสามคน เข้าไปเป็นวงดนตรีโปรดของใครหลายๆ คน เป็นที่เรียบร้อย

และด้วยที่พวกเขากำลังจะมีคอนเสิร์ตใหญ่ของวงเป็นครั้งแรก อย่าง ‘WE ARE ONLY MONDAY CONCERT’ ที่จะมีขึ้นในช่วงกลางเดือนมิถุนายนนี้นั้น ที่สร้างปรากฎการณ์ขายบัตรหมดเกลี้ยง ในระยะเวลาแค่ 5 นาที จนต้องเปิดรอบที่สอง ก็ยังได้ผลตอบรับเช่นเดียวกัน ซึ่งนี่อาจจะเป็นจุดมุ่งหมายหนึ่งของพวกเขาทั้งสามต่อให้เป็นที่ยอมรับในวงกว้างยิ่งขึ้น รวมไปถึงการรับไม้ต่อจากวงดนตรีรุ่นพี่ ให้มาสืบทอดเจตนาร็อคไทยด้วยเช่นเดียวกัน


ที่มาที่ไปของคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกของพวกเรามันเริ่มมาจากอะไรครับ

ธีร์ : มันเริ่มมาจากที่พวกเราคุยกับค่ายว่า อัลบั้มที่ 2 มันควรมีอะไรที่มากกว่าคอนเสิร์ตเปิดอัลบั้ม ซึ่งตอนแรก มันก็ยังไม่ใช่ไอเดียคอนเสิร์ตใหญ่เลยนะครับ ตอนแรก มันเป็นแค่ไอเดียว่าจะจัดประมาณงาน exhibition ก็ว่าไป แต่ทีนี้มันเริ่มมาเป็นไอเดียคอนเสิร์ตใหญ่ คือน่าจะคอนเสิร์ต G-Fest Marathon เมื่อปีที่แล้ว ที่ผลตอบรับจากคนดูที่ค่อนข้างโอเค

เฟรม : คือดูจากหลายๆ งานครับ ว่าเหมาะสมที่จะจัดคอนเสิร์ตใหญ่มั้ย ก่อนที่ทางค่ายจะเคาะว่าให้มีคอนเสิร์ตใหญ่จริงๆ ก็น่าจะเป็นเทศกาลดนตรี Monster Music Festival ที่คนมารอดู มารอดูพวกเรา จนล้นออกไปข้างนอกเลย พอเป็นเหตุการณ์แบบนี้ เลยคิดว่า น่าจะเหมาะสมแล้วในการมีคอนเสิร์ตใหญ่ของวงได้แล้วนะ ประมาณนี้ครับ

ธีร์ : อย่างตอน G-Fest Marathon ที่จัดที่อิมแพ็ค ก็ยังไม่ได้ชัดขนาดนั้น เพราะคนดูก็เข้ามาทีเดียว มันไม่ได้ เหมือนกับตอนมอนสเตอร์ ที่มีหลายเวทีแล้วสามารถเดินไปดูในเวทีต่างๆ ได้ แล้วคอนเสิร์ตมอนสเตอร์มัน ก็ชัดมากๆ เพราะว่างานนั้นมันก็จุคนได้เป็นหมื่นแล้ว ซึ่งสถานที่ที่พวกเราเลือก ก็คือ ธันเดอร์ โดม มันก็จุ ได้ 5,000 กว่า ก็คิดว่าน่าจะจัดได้ ซึ่งตอนแรก ไอเดียของเราก็คือจะจัดรอบเดียว แต่สุดท้าย ก็จัด 2 รอบ เพราะว่าก็มีหลายๆ คน อยากจะมาดูพวกเราเล่นเช่นกัน แล้วพอถึงวันขายบัตรวันแรก ปรากฎว่าขายหมดไว มาก เพราะจำได้ว่า เริ่มขายบัตรตอน 10 โมง. วันนั้นผมตื่น 11 โมง แล้วมีคนทักมาหาผมเต็มเลย บอกว่าซื้อบัตรไม่ทัน

เฟรม : วันนั้น ก็ตื่นมาประมาณ 11 โมงกว่า ๆ เหมือนกันครับ ก็รู้แค่ว่ามันหมดแล้ว แล้วมีพี่ทีมงาน เขาบอกแชทในกลุ่มว่า เดี๋ยวจะเปิดขายอีกรอบนึงนะ ในตอนเที่ยงในวันเดียวกัน ผมก็โอเค ก็คงมีคนกดบัตรแหละ คือส่วนตัว ผมก็คิดไว้แล้วแหละว่าบัตรน่าจะหมดอีกรอบแน่ แต่ก็ไม่ได้คิดว่ามันจะหมดไวขนาดนั้น เพราะ พอขึ้นว่า 12:01 น. พี่ทีมงานคนเดิมก็พิมพ์ลงในไลน์กลุ่มว่า บัตรรอบสอง หมดอีกแล้ว มันใช้เวลาในการกด แค่ครึ่งนาทีด้วยซ้ำ คนโถมเข้าเว็บกัน

ธีร์ : ใช่ครับ เพราะว่าก่อนเที่ยง คนรอในเว็บเป็นหมื่นเลย เพราะผมก็มาเช็คเองด้วย คนก็มารอกันเต็มเลย เพราะจำได้ว่า พอเที่ยงปุ๊บ เวลาผ่านไปแค่ประมาณ 1-2 วินาที บัตรหมดแล้ว (ยิ้ม)

เฟรม : ส่วนเรื่องชื่อคอนเสิร์ต ตอนแรกพวกเราก็ไปนั่งประชุมกันครับ ว่าเราจะใช้ชื่อคอนเสิร์ตว่าอะไรดี

ธีร์ : คือชื่อที่จะใช้ มีเยอะมาก

เฟรม : เยอะมากเลยครับ ก็เลยตัดสินใจว่า โอเค ถ้างั้นก็เป็น We Are Only Monday Concert แล้วกัน เพราะ ว่า ความหมายของมัน ก็คือเหมือนเราปักธงว่า ไม่ใช่แค่พวกเรา 3 คน แต่ว่าทุกคนที่มาดูคอนเสิร์ตครั้งนี้ ก็คือ we are only Monday ตามชื่อคอนเสิร์ตเลยครับ

ธีร์ : คือคำว่า We Are ในความรู้สึกผม ผมว่าคำๆ นี้ มันเหมือนมีอะไรบางอย่าง

เฟรม : แต่ความตลกของมันคือ คำว่า We Are Only Monday Concert มันอยู่ในตัวเลือกแรก ที่เหลือก็คือ ชื่ออื่นๆ ตามมาอีกเพียบเลย ซึ่งสุดท้ายแล้วชื่อเหล่านั้น ก็ไม่ได้ใช้ มาใช้ชื่อแรกสุด ในที่สุด

เพราะว่าตอนแรก คือแค่คุยกันเล่นๆ ว่า เรามีเพลงชื่อว่า We Are Only Monday แค่พูดกันเล่นๆ เท่านั้นเองครับ ก็ไม่ได้คิดว่า จะได้เอามาใช้กันจริงๆ เพราะอีกอย่าง คือเหตุผลที่ใช้เป็นชื่อนี้เลยเพราะว่า คำมัน แข็งแรงมาก แล้ว แบบ we are only Monday แบบคำมันเร้ามากเลย คอนเสิร์ตครั้งแรกของวง แบบว่าพวกเรา จะประกาศศักดา คำๆ นี้ ค่อนข้างที่จะแบบแข็งแรงพอสมควรครับ


แสดงว่า การที่จะมีคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกของพวกเรา ความรู้สึกมันเหมือนกับว่า พวกเราพร้อมที่จะเปิดตัวในวงกว้างด้วยมั้ย

ธีร์ : จริงๆ พวกเรา พยายามจะทำให้เห็นในวงกว้างมาตลอดครับ แต่ว่ามันเพิ่งมาเห็นแบบได้ชัดจริง ๆ ก็คือ ตอนที่กำลังประชุมว่าจะทำคอนเสิร์ตใหญ่แล้วครับ ช่วงนั้นมันคือช่วงที่พวกเรา ค่อยๆ ทยอยปล่อยอัลบั้มสอง เพราะเพลงมันเริ่มเยอะขึ้น แต่ละเพลงก็เริ่มมีการตอบรับมากขึ้น ยิ่งเป็นแพลตฟอร์ม Tik-Tok นี่คือตัว ทำงานเลย คือเวลาที่พวกผม คิดทำงานในแต่ละเพลง ไม่ได้คิดเริ่มจากคอนเทนต์เลย เพราะว่าในตัวเพลงมันมีคอนเทนต์ที่เราจะหยิบมาใช้ได้อยู่แล้ว เราแค่ทำในสิ่งที่เราชอบ แล้วเราก็ค่อยดูทีหลังว่า เราจะหยิบคอนเทนต์อะไรมาเล่น ซึ่งมันก็เป็นผลพลอยได้ด้วย ที่มันเล่นได้ แล้วคนมันเล่นกันเยอะ แล้วตัวที่ทำให้งานเราเพิ่มขึ้นมาเพิ่ทเติม ก็คือ ซิงเกิลแรกของอัลบั้ม 2 ชื่อว่า บรรยากาศ เพลงนั้นคือจุดเปลี่ยนจริง ๆ เพราะว่า ก่อนหน้านั้น

เฟรม : วงแทบจะไม่มีงานเลยครับ มีงานน้อยที่สุดคือ เดือนละ 1 งาน เรียกว่าเคว้งเลย แต่พอปล่อยซิงเกิล บรรยากาศ มาได้ประมาณ 2-3 เดือน คนก็เริ่มเอาเพลงไปใช้กันมากขึ้น แล้วอยู่ๆ พี่ผู้จัดการวง ก็มาเล่าให้ฟัง ว่า โทรมาติดต่อจะจ้างงานเยอะเลย เริ่มจาก 5 งาน ไปเป็น 10 งาน 15 งาน จนสูงสุดคือ 20 งาน เคยมีสถิติสูงสุด ทะลุไป 22-23 งาน ต่อเดือนก็มีครับ

ธีร์ : ถ้าแบบสูงสุดจริงๆ คือประมาณ 28 งานต่อเดือน เพราะว่าผมเป็นคนที่ทำตารางงานเอง เรียกว่าแทบจะทุกวัน อีก 2 วันคือวันเดินทาง (หัวเราะ) ก็คือทำงานทุกวันจริงๆ ครับ




การที่เฟรมบอกว่า จุดเปลี่ยนก็คือซิงเกิล บรรยากาศ จากที่มีแค่เดือนละงาน เปลี่ยนมาเป็นมีงานเล่นทุกวัน เรียกได้ว่าตั้งตัวไม่ติดด้วยมั้ย

โปรด : สิ่งแรกที่ผมพูดอาจจะติดตลกนิดนึงนะครับ จะมีการซักผ้าที่ฉ่ำมาก (หัวเราะ) คือด้วยความที่เราไม่ค่อยได้อยู่บ้าน บ้านที่เราอยู่เป็นหลักคือ ไม่สนามบินก็รถตู้ รวมถึงโรงแรมด้วย ส่วนบ้านจริงๆ ของเรา เรา แทบจะไม่ได้อยู่เลย กลับมาเสื้อผ้าก็กองเต็มเลยครับ แล้วช่วงนั้นมีความตื่นเต้นที่อยู่ๆ ก้ได้เล่นทุกวัน คือมัน เป็นความรู้สึกที่เหนื่อยแต่สนุกครับ อารมณ์ประมาณว่า พวกเรากำลังประกาศศักดาของวงเลยก็ว่าได้ครับ

เฟรม : ถ้าส่วนตัวผมเอง ผมรู้สึกดีใจนะครับ เพราะว่า ผมแค่รู้สึกว่าอยากเล่นเพลงของตัวเองให้คนอื่นฟัง เยอะๆ ในหลายๆที่ เหมือนแค่เรามีความสุขกับการได้ตีกลองเพลงของตัวเอง ให้คนอื่นได้ฟังในทุกๆ วัน มันเหมือนเป็นการกระชับความสัมพันธ์ ระหว่าง พวกเรากับแฟนคลับมากขึ้นด้วยครับ เพราะว่า การที่เรา ได้ไปเจอคนที่เขาอยากมาดูเราจริงๆ พอได้ทำงานตรงนั้นแล้ว มันรู้สึกมีความสุขมากขึ้นครับ แต่มันก็เป็นแค่ในช่วงแรกครับ ถามว่าทุกวันนี้ก็ยังมีความสุขครับ แต่แค่รู้สึกว่า เราก็ควรจะมีเวลาให้ตัวเองด้วย เพราะ ว่าเรื่องร่างกายในการทำงานมันเป็นเรื่องสำคัญนะครับ ยิ่งเราทำงานเยอะ เราทัวร์เยอะ เท่ากับว่า เราก็มีเวลา พักผ่อนน้อย เราก็อยากมีเวลาที่จะกลับมาดูแลตัวเองมากขึ้น

ธีร์ : ส่วนตัวผม ก็เหมือนกับเฟรม คือรู้สึกดีใจ ที่มีคนอยากดูพวกเราเยอะขนาดนี้ แล้วก็แต่ละร้านที่พวกเราไปทัวร์เอง เขาก็ดีใจที่ทางร้านยังคิดว่าพวกเราก็สามารถที่จะเรียกลูกค้าให้เขาได้ เขาเชื่อใจพวกเรา และเชื่อว่ามันจะออกมาดี ซึ่งผมคิดว่า ในแต่ละร้าน ก็น่าจะไปหาข้อมูลมาแล้วว่า คนขอพวกเราไปเล่นในแต่ละที่ เพราะว่า พอหลังจากปล่อยเพลงบรรยากาศออกไป ผมก็สังเกตเลยว่า ทุกร้านที่พวกเราไปเล่น โต๊ะเต็มตลอดหมดเลย

เฟรม :ในช่วงก่อนมันอาจจะไม่ได้เต็มขนาดนั้นครับ ซึ่งผมพูดตรงๆ ว่า เพลงของพวกเรา มีเพลงดังเยอะ แต่ บางทีคนฟังเขาจำได้แค่เพลงครับ แล้วมันจะเป็นส่วนน้อยมากๆ เลย ที่อยากมาดูพวกเรา จริงๆ ประมาณนี้ครับ

โปรด : ผมจำได้ประโยคนึง แต่ไม่แน่ใจว่าใครพูดให้ฟัง ว่ามีเจ้าของร้านร้านหนึ่ง เขาพูดออกมาแบบมีกังวลว่า วันที่พวกเราไปเล่น จะมีคนดูเหรอวะ คนจะรู้จักเหรอ ดังแต่เพลง แต่พอมาเล่น ปรากฎว่ามันได้ผลตอบรับดี


ธีร์ : ส่วนของผม มีเรื่องตลกเกี่ยวกับตรงนี้ให้ฟังครับ คือช่วงแรกที่ไปทัวร์ไม่รู้ว่าเป็นจังหวัดไหนนะครับ ผมเดินลงมาจากเวที แล้วก็มีพี่ที่อยู่โต๊ะตรงอยู่หัวบันได แล้วก็บอกกับพวกเราว่า ‘โห น้องเล่นดีมากเลยอ่ะ’ ผมก็งงว่า ยังไงนะครับ พี่เขาก็ถามเรากลับว่า แล้ววง Only Monday ขึ้นตอนไหน ผมก็ตอบกลับไปว่า พวกผมเล่นให้พี่ดูไปเมื่อกี้แล้วครับ พวกผมไม่ได้เล่นประจำร้านครับ แล้วก็ผมอยู่ค่ายแกรมมี่อยู่แล้วครับ (หัวเราะ)

โปรด : อีกเรื่องนึง ก็เป็นเรื่องชื่อ ที่ถูกจำสลับกัน ตอนนี้ผมมีชื่อใหม่แล้วว่า ปอนด์ (ทำหน้างง) แล้วก็มีแท็กไอจีมาว่า ปอนด์ Only Monday หรือบางทีแท็กชื่อในไอจีสลับกันก็มี ล่าสุดเลยครับ ลงคลิปเล่นดนตรีไป ก็มีคอมเมนต์ประมาณว่า ‘อีกนิดเดียว ก็เหมือนต้นฉบับแล้ว’ แล้วก็จะมาในแบบแซว ก็คือ ‘อันนี้ไม่ใช่ โปรด Only Monday ครับ แต่เป็น โกรธ Only Monday’ (หัวเราะ) ซึ่งก็ไม่ได้โกรธนะครับ

เฟรม : หลังๆ มามันก็ดีขึ้นครับ อย่างเช่น ร้านล่าสุดที่เราไปเล่น ที่ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นเซเล็บ คือมัน อาจจะเป็นเพราะว่า เราไปเล่นร้านตรงนั้น แล้วเราต้องรีบกลับด้วย คือเหตุการณ์ก่อนหน้านั้น ก็มีทั้งสัมภาษณ์ และไปถ่ายรายการไป นู่นนี่นั่น มาตั้งแต่เช้า พอเล่นเสร็จช่วงดึก เราก็อยากกลับแล้ว ไม่มีเวลาให้แฟนเพลงของวงได้ถ่ายรูป กำลังจะเดินออกจากร้าน การ์ดล้อมวงเรา แล้วมีคนเดินตาม ตอนนั้นเหมือนตัวเองเป็น จัสติน บีเบอร์ (หัวเราะเบาๆ)

ธีร์ : คือใจเราก็อยากจะไปเทคแคร์แฟนเพลงอยู่นะครับ แต่ว่าร่างกายเรามันฟ้องว่า ควรพักได้แล้ว เลยประมาณว่า วันนี้ขอละกัน แล้วก็เดินไป ซึ่งระหว่างที่เดินไป ก็ยังสามารถมาถ่ายรูปกับพวกเราได้อยู่ แต่แค่ เราจะกลับแล้ว ไม่ได้ยืนถ่ายต่อแถวกันอะไรอย่างงี้

เฟรม : เดินมาแล้ว อาจจะเป็นถ่ายรูปเซลฟี่ ใส่ 3 คน เราก็เข้ากล้องเล่นไปปกติประมาณนั้นครับ

ธีร์ : ซึ่งจริง ๆ ที่เป็นตัวที่ทำให้คนเริ่มจำหน้าพวกเราได้ คือ Tik-Tok ของผมเอง มันเริ่มจากคลิปร้านหมูกระทะ (เฟรม – อันนี้คือตัวเปิดเลย) ใช่ แล้วคนก็แบบ ‘อ๋อ นี่คือเจ้าของเพลงเหรอ’ แล้วคนก็แบบเคยเข้า ใจ มาตลอดเลยว่า เป็นเพลงของ three man down บ้าง tilly birds บ้าง หรือ พี่โอ แว่นใหญ่ ก็มี พวกเราก็เข้าใจได้ เพราะว่าบางคนก็ฟังเพลงอย่างเดียว ไม่ได้ดูเอ็มวี บางทีระบบมันรันตามอัตโนมัติ พอฟังแล้วชอบ แต่อาจจะไม่ได้ดูชื่อวง ก็รู้แค่ว่าชอบเพลง ซึ่งก็ถือว่าปกตินะครับสำหรับสมัยนี้ เพราะมันไม่ใช่สมัยเมื่อก่อนที่ แบบศิลปิน มันไม่ได้ว่าใครจะเป็นได้ เพราะว่ามันต้องแบบต้องสุดยอดจริง ๆ แบบวงโลโซ รวมถึง รายการโทรทัศน์มันก็ไม่ได้มีเยอะ เจอหน้ากันก็จำได้แล้ว แต่ปัจจุบันนี้ คนทำเพลงมันเยอะขึ้น เพราะใครๆ ก็สามารถทำเพลงเองได้ ปล่อยลงสตรีมมิ่งเองยังได้เลย แต่ฐานคนฟังยังเท่าเดิม พวกเราก็เข้าใจได้ว่า คนอาจจะยังจำหน้าตาคนร้องไม่ได้ ถามว่าช่วงแรกก็มีนอยด์บ้าง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เราพยายามจะสร้างช่องทางโซเชียลออนไลน์ พยายามให้คนเห็นหน้าเราเยอะขึ้น เล่นคอนเทนต์ที่เป็นพวกเราจริงๆ อะไร

โปรด : ส่วนผมก็รู้สึกว่า มันมีข้อดีข้อเสีย ข้อเสีย คือ คนอาจจะจำเราไม่ค่อยได้ ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติ ผมคิด ว่าไม่ใช่แค่พวกเราวงเดียว หลายๆ คน ก็เกิดปัญหาแบบนั้นเหมือนกัน ซึ่งยิ่งยุคนี้ มันเปิดกว่าเมื่อก่อน อย่างเวลาสมัยที่ผมเป็นเด็กๆ ศิลปินดารา แค่ขยับก็เป็นข่าวแล้ว แถมช่องทางยังจำกัดอีก แต่พอเป็นยุคนี้ อยากเห็นหน้าใครก็ตาม แค่เปิดยูทูปก็เจอแล้วครับ อยากดูใครก็เจอผ่านทางช่องทางต่างๆ เต็มไปหมด โอเค มันอาจจะเป็นเรื่องปกติที่คนจำไม่ได้ครับ แต่ว่าไม่ได้ไปคิดตรงนั้น แต่แค่คิดว่า เราก็ทำให้เต็มที่ มีความสุข ณ วันนี้ ตอนนี้ ก็ดีแล้วครับ

เฟรม : อีกอย่างนึงที่ผมแค่รู้สึกก็คือ ถ้าถามเรา เปิดเพลงของวงนึงขึ้นมา ผมเคยได้ยินเพลง แต่ก็ไม่เคยเจอ ศิลปินเหมือนกัน ขนาดส่วนตัวเรายังเป็นเลย แล้วคนอื่นจะเป็นไม่ได้เหรอ ก็เลยไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้แล้ว ครับ เราก็มาทำโซเชียลของเราให้แข็งแรงมากขึ้น ให้คนเห็นหน้าเรามากขึ้นดีกว่า


เพราะว่าจากที่เฟรมว่ามาก็รู้สึกว่า ถ้าคนมันอยากรู้จัก เดี๋ยวก็ต้องไปไล่หาข้อมูลต่อเอง

ธีร์ : ใช่ครับ เพราะว่ามันเป้นคำที่พี่โอม วงค็อกเทล (ปัณฑพล ประสารราชกิจ) เคยพูดกับผม ซึ่งพี่เขาเคยพูดกับผมว่า ถ้าเพลงมันเจ๋งจริง เดี๋ยวคนมันไปหาเองว่ามันคือใคร คือทำเพลงของเราให้แข็งแรง แล้วคนมันจะไปตามดูว่าเราคือใคร ซึ่งเราก็เชื่อตรงนี้มาโดยตลอด แล้วตอนนี้มันก็เห็นผลแล้วจริงๆ พอพวกเราเน้นเรื่องคุณภาพของเพลง เน้นเรื่องการ ที่ให้เพลงมันติดหูได้ง่ายที่สุด แล้วก็คนจำง่ายที่สุด มันก็ทำให้คนเขาจำเพลงได้ง่ายมาก อารมณ์ประมาณว่า เอ้ย เพลงนี้ฟังได้เรื่อย ๆ แล้วเริ่มอยากรู้แล้วว่า เพลงของวงนี้อีกแล้ว อยากรู้แล้วว่าศิลปินพวกนี้คือใคร ยิ่งช่วงนี้มันเริ่มเห็นชัดมากๆ แล้วยิ่งช่วงใกล้คอนเสิร์ตใหญ่เข้ามา มันก็เห็นได้ชัดเลยว่า ตอนนี้คนเริ่มรู้จักพวกเรามากขึ้นแล้วนะ

เฟรม : ปล่อยให้เป็นไปตามเวลาครับ ผมว่าคอนเสิร์ตใหญ่ มันก็คงจะมีอะไรที่มันเปลี่ยนแปลงมากขึ้น

ธีร์ : คือหลังจากคอนเสิร์ตใหญ่ การที่เราจะรักษาตรงนี้ไว้ เพราะว่าเข้าใจว่าวงการบันเทิงมันมีขึ้นมีลง แต่ว่า พี่โอมก็ย้ำเสมอว่า การที่จะรักษาตรงนี้ไว้ให้มันคงสภาพเดิม คือสิ่งที่ยากที่สุดแล้ว มันไม่ใช่นกทุกตัวที่จะบินอยู่บนฟ้าได้ตลอด มันอยู่ที่ว่าเรามีชั่วโมงบินของเราเยอะแค่ไหน ประสบการณ์เรามีมากแค่ไหน และเรา เรียนรู้ศึกษาทิศทางมามากน้อยแค่ไหน ถ้าเรารู้ว่าเราต้องเอาตัวเองไปอยู่ตรงไหน มันก็จะทำให้เห็นเองว่าจะ รักษาสถานะตรงนี้ไว้ได้ เหมือนตอนนี้ พวกเราก็รู้สึกว่าจะรักษามาตรฐานได้แค่ไหน เพราะผมคิดมาตลอดว่า มันจะดร็อปลงไม่ได้ เราต้องพยายามหาหนทางยังไงก็ได้ที่เราต้องเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ เราจะไม่เดินกลับถอยหลัง


มองในมุมนึงว่า การที่พวกเรามี ผลงานเข้าสู่อัลบั้มที่ 2 ขณะเดียวกัน นอกจากมีความแตกต่างจากชุดก่อนหน้านี้แล้ว มันก็เหมือนเป้นการพิสูจน์ตัวเองด้วยมั้ย

ธีร์ : ก็ถือว่าพอสมควรนะครับ เพราะตอนช่วงที่เราทำอัลบั้มแรก พวกเราไม่เคยพูดถึงอัลบั้มสองเลย เพราะเรารู้สึกว่า อัลบั้มแรกเราเข้าใจได้ เนื่องจากช่วงนั้น พวกเรามีเพลงที่พร้อมใช้งานได้ และค่ายก็เห็นว่าควรทำเป็นอัลบั้มพอดี แล้วเราก็เลยออกอัลบั้มมา แต่ว่าพอเป็นงานต่อไป มันต้องเป็นยังไงนะ จะเป็นซิงเกิลเหรอ มันจะยากไปหรือเปล่า เพราะว่าการที่จะมีอัลบั้มต่อไปนั้น เรารู้สึกว่ามันยากมากเลย มันน่าจะใช้เวลาสักพักเลย แต่พอวงมาตั้งเพลงกัน เราได้หยิบอะไรมาทำ เราได้วัตถุดิบหรือแรงบันดาลใจดีๆ มา มันก็เป็นตัวพิสูจน์แล้วว่า เราสามารถเดินไปสเต็ปต่อไป โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย เรามากังวลและเครียดแค่เรื่องทำเพลงของเราก็พอ เราไม่ต้องไปเครียดเรื่องอื่นแทนคนอื่น เช่น เรื่องการตลาดก็ไม่ต้องไปเครียดแทนค่ายเขา ให้พี่ๆ เขาเครียดไป (หัวเราเบาๆ) เพราะพี่โอมบอกว่า มึงทำเรื่องของมึงให้ดี ไม่ต้องมายุ่งเรื่องอื่น ใช้คำนี้เลยครับ (หัวเราะอีกครั้ง) เดี๋ยวเรื่องอื่นๆ พี่จะจัดการเอง


ทีนี้มาพูดถึงอัลบั้มใหม่นิดนึง แน่นอนว่าพวกเราก็มีพัฒนาการในเรื่องดนตรีและก็ลูกเล่นต่างๆ คิดว่าใน ส่วนตัวของพวกเรากับอัลบั้มสอง มันมีการพัฒนาในแง่ไหนเพิ่มเติมอีกบ้าง

ธีร์ : อย่างในมุมผมนะครับ ในฐานะที่เป็นคนเขียนเนื้อร้องและทำนองก็รู้สึกว่าใช้ภาษาได้คมคามมากขึ้น อันเนื่องมาจาก เราเริ่มอ่านบทความ อ่านหนังสือเยอะขึ้น เราเริ่มหยิบแรงบันดาลใจแล้วมาทำเป็นเพลงมากขึ้น เริ่มที่อยากที่จะเอาตัวเองออกจากเซฟโซนมากขึ้น ซึ่งจริง ๆ มันเป็นสิ่งที่ดีนะครับ ที่เราไม่ควรอยู่ในเซฟ โซนตลอดเวลา เราควรที่จะเดินไปข้างหน้า ไม่ใช่จะย่ำอยู่กับที่ ผมเลยรู้สึกว่า เนื้อเพลงมันเริ่มโตขึ้น

เฟรม : ถ้าเป็นในพาร์ทของดนตรี ก็รู้สึกว่าได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ อาจจะเป็นในเรื่องของแนวดนตรีใหม่ๆ รวมถึงมีเพลงภาษาอังกฤษด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้ พวกเราก็เคยทำเพลงลักษณะนี้มาก่อน เป็นเพลงที่ปล่อยในช่องยูทูปของวงเอง แต่เราก็อยากจะทำเพลงภาษาอังกฤษอีกครั้ง เพราะอย่างเพลงแรกสุด เราทำมาจาก google translate ซึ่งในแง่แกรมม่าของภาษา มันก็ยังไม่ตรงซะทีเดียว แล้วได้กลับมาทำเพลงภาษาอังกฤษใหม่ในชุดนี้ เราเลยมาทำอย่างจริงจัง เอาให้ชาวต่างชาติได้มาฟังแล้วแบบวงนี้มันทำเพลงแบบนี้ได้นี่หว่า ซึ่ง ส่วนตัวผมก็แค่รู้สึกว่าอยากให้ทุกคนรู้ว่า พวกเราก็ทำเพลงแบบนี้ได้เหมือนกันนะ ประมาณนั้นครับ อีกทั้งชุดนี้ก็มีในส่วนของเครื่องสายเพิ่มมาด้วย ก็เริ่มตั้งแต่ซิงเกิล ‘จดจำ’ แล้วครับ โดยมีน้องโปรดิวเซอร์ อีก 2 คน ก็คือ โตโต้ (นริศ เป็นสุขเหลือ) กับ ครูธันวา (ธันวา เนตรไทย) ซึ่งก็จะมาดูในส่วนของพวกเครื่องสายให้ ซึ่งทั้งคู่ก็ถนัดทางด้านนั้นอยู่แล้วครับ และก็เก่งทางด้าน Arrange อยู่แล้วครับ

โปรด : ส่วนในมุมของผม อัลบั้มนี้ถือว่าเป็นชุดที่มีความพยายามมากๆ เลยครับ ถ้าอัลบั้มแรกคือปีแรก ชุดที่ 2 ก็คือปีถัดมา ซึ่งอัลบั้มนี้เป็นชุดที่ส่วนตัวซ้อมหนักมากกว่าเดิม ถึงขนาดที่ซ้อมจนเลือดกำเดาไหลเลยครับ ถ้าเป็นเพลงที่ชอบที่สุดในชุดนี้ ส่วนตัวผมให้เพลง ท้ายปี ครับ เพราะผมแค่รู้สึกว่า ตอนช่วงที่ทำงานในเพลงนี้นั้น สิ่งที่เราตั้งใจทำไปมันสำเร็จแล้วครับ กับเพลง Hotel Room ที่เป็นเพลงภาษาอังกฤษ มันมีพาร์ทดนตรีที่ฉีกมุมไปเลยครับ ซึ่งได้ผลตอบรับดีครับ แล้วก็แอบกระซิบบอกนิดนึง ยังไม่เคยบอกเพื่อนร่วมวงเลยว่า ตอนที่ผมเอาเพลงไปให้แม่ผมฟังยัง แล้วยังไม่ได้บอกว่าเป็นเพลงของวง แม่ผมบอกว่า เป็นเพลงใหม่ของวงอื่นเหรอ (หัวเราะ) ซึ่งส่วนตัวพอมาได้ฟังแรกๆ เราก็รู้สึกว่ามีแอบคล้ายอยู่นะ (หัวเราะอีกครั้ง) แต่โดยรวมของชุดนี้เป็นอัลบั้มที่ไม่ใช่แค่การพิสูจน์ตัวเองครับ ผมรู้สึกว่าทั้งวงก็มีการทำงานหนักในส่วนของแต่ละคนเหมือนกัน (ยิ้ม)


แน่นอนว่าจากที่พวกเราทำผลงานกันมา โดยส่วนใหญ่จะเน้นเเรื่องความเศร้าเป็นหลัก จนหลายๆ คน มีภาพจำ ไปแล้ว ในมุมมองของแต่ละคนคิดว่าทำไมถึงเป็นอย่างงั้นครับ

เฟรม : ผมรู้สึกว่าเพลงเศร้ามันฟังง่ายครับ มันเข้าถึงคนได้ทุกรูปแบบครับ ผมรู้สึกว่าเพลงเศร้ามันขายง่าย ครับ คือคนที่มีความสุข บางทียังฟังเพลงเศร้าเลยครับ แล้วคนที่เศร้าอยู่แล้ว มาฟังเพลงเศร้าอีก มันจะไม่ชอบเข้าไปอีกเหรอ ผมรู้สึกแบบนั้นนะ ผมเลยรู้สึกว่าเพลงเศร้ามันเข้าถึงคนง่าย ใครๆ ก็เศร้าได้ครับ มีความเศร้าทิพย์ (ยิ้ม)

โปรด : ในมุมของผม ผมว่าคนเรามีความสุข แต่มันจะอยู่กับเราได้ไม่นานหรอกครับ ถ้าลองนึกภาพตามว่า เกิดอาการอกหัก หรือไปโดนเรื่องอะไรมา เช่น โดนด่า โดนกดดัน สุดท้ายถ้าเราอยู่คนเดียว ทุกคนก็ต้องจากเราไป สิ่งที่อยู่เป็นเพื่อนเรา ก็คือ ฟ้าฝน ความเศร้า ในมุมมองของผมก็เลยรู้สึกว่า การฟังเพลงเศร้า มันจะขึ้นมาทันทีเลย แล้วพอมาผสมกับเพลงร็อคอีก ผมเปรียบเทียบว่าเป็นอาหารละกัน มันจะกลายเป็นของหวานขึ้นมาทันที

ธีร์ : ส่วนมุมมองของผม ในฐานะที่เป็นคนแต่งนะครับ ที่เลือกหมวดเศร้า ประการแรก เพราะว่าเพลงแรกๆ ที่เป็นซิลเกิลของวง มันเริ่มจากเพลงเศร้า แล้วมันทำงานได้ค่อนข้างดีในพอสมควร ประการที่สอง ก็คือ อย่าง ที่เฟรมบอก ก็คือมันขายง่าย มันย่อยง่าย และ เข้าถึงคนได้ง่าย ข้อสาม คือคนหนึ่งคน มันไม่ได้มีความ สมบูรณ์แบบ 100% นะครับ ผมว่าคนเรามันก็ต้องมีผิดพลาด มีการสูญเสีย และมีบาดแผลอะไรในใจ เพราะว่าไม่งั้น คนเหล่านั้นก็จะไม่ได้เรียนรู้ถึงความสวยงามของการมีชีวิต คือมันเป็นความเจ็บปวดที่มันมีค่ามาก เพราะว่าการได้เรียนรู้จากความผิดพลาด มันทำให้เราได้เติบโตขึ้น ซึ่งทุกคนต้องเจอกับสิ่งนิ้อยู่แล้ว มันไม่ใช่ทุกคนที่จะมีความสุข แล้วชีวิตมันโรยด้วยกลีบกุหลาบ

ถ้าคนที่มีแต่ความสุข แล้วไม่เคยเจอความเศร้าหรือความเสียใจเลย ผมรู้สึกว่าชีวิตของคนๆ นั้น มันน่าเสีย ดาย เพราะว่าเหมือนเขาไม่ได้เรียนรู้อะไร ผมก็เลยรู้สึกว่าเพลงเศร้า มันคู่กับทุกคนอยู่แล้ว อีกอย่าง มันไม่ได้น่าอายเลยที่เราจะร้องไห้ ถ้าอยากร้องก็ร้องไป เดี๋ยวเพลงของพวกเราจะคอยปลอบเอง เพลงของพวกเรามันเหมือนเป็นเพื่อน คือถ้าไม่มีใครเข้าใจ เราพร้อมที่จะเข้าใจนะเว้ย เราเคยเจอเรื่องเดียวกัน เลยมองว่า ที่ผมแต่งเพลงเศร้า เพราะอยากให้เพลงเหล่านี้ อยู่เป็นเพื่อนกับผู้ฟัง อีกทั้ง ไม่ว่าจะอยู่ในสภาวะไหน เพลงของพวกเรา ก็มีพูดถึงการคิดถึงอดีต คือคนที่มีความสุขแล้ว เขาก็อาจจะมีแบบว่า มีมุมนึงที่ฟังเพลงนี้แล้วฉันรู้สึกถึงเหตุการณ์นั้นที่ฉันเคยผ่านมา โดยตอนนั้นมันมีความสุขจังเลยเนอะ แต่ว่าความสุขนั้นมันก็ไปไวเหมือนกันนะ แบบวันหนึ่งมันก็ต้องหายไป แต่ความทรงจำดีๆ มันจะอยู่ในใจเสมอ นี่ก็คือเหตุผลว่า ทำไมพวกเราถึงได้ทำแต่เพลงเศร้า แต่ถามว่ามีเพลงเนื้อหาอื่นรึเปล่า เร็วๆ นี้ ก็อาจจะได้ฟังกัน


แต่โดยพื้นฐานดนตรีคร่าวๆ ของแต่ละคน เมื่อนำมาผสมรวมกันทั้ง 3 คน มันเหมือนกับว่า ผลลัพธ์ที่ลงตัวของผลงานของวงด้วยมั้ย

ธีร์ : ผมมองว่ามันเป็นข้อดีนะครับ เนื่องจากพวกเราทั้งสามคน มีความชอบแนวดนตรีส่วนตัวที่แตกต่างต่างกัน เพราะว่าการที่คนแปลกทั้ง 3 คน มาเจอกัน มันกลายเป็นการเกิดส่วนผสมที่ลงตัว แน่นอนว่าพื้นฐานของแนวเพลงของวงก็คือแนวร็อค แต่โปรดฟังแนวโซลกับอาร์แอนด์บี ส่วนเฟรมก็จะฟังป็อปร็อคปกติ และผมจะฟังแนวอัลเทอร์เนทีฟ คือมันคนละแนวเพลงก็จริง แต่ว่ามันก็มีบางสิ่งที่มันคล้ายกัน อย่างเช่นเพลงก็สามารถเล่นคอร์ดแบบอาร์แอนด์บีก็ได้นะ หรือว่า นำความเป็นอัลเทอร์เนทีฟมาผสมกับอาร์แอนด์บีมันก็ได้ เหมือนกัน คือเราไม่จำเป็นที่จะต้องตีกรอบตัวเองว่าเราคือแนวอะไร แต่ว่าเราแค่บ่งบอกในเพลงของเราว่าอันนี้ คือ Only Monday แค่นั้นพอแล้วซึ่งถือว่ามันดีแล้วครับที่แต่ละคนชอบแนวเพลงที่ต่างกัน

เฟรม : ผมโตมากับ Bodyslam, Zeal, Potato เพลง พรหมลิขิต นี่คือเปิดทุกเช้า (หัวเราะ)

โปรด : ส่วนของผม ก็จะเป็นพี่อ๊อฟ ปองศักดิ์ โบกี้ไลอ้อน จัสติน บีเบอร์ รวมถึง ไมเคิล แจ็คสัน และ บีจีส์ วงหลังนี่คือคุณพ่อเปิดให้ฟัง ผมว่าก็เป็นเรื่องดีนะครับ เพราะว่าก่อนหน้านั้น ส่วนตัวแทบไม่แนวร็อคเลย จนเพื่อนทั้ง 2 คน ได้นำพาให้มารู้จักเพลงแนวนี้ และรู้ว่าแนวดนตรีร็อคเป็นยังไง

ธีร์ : คือเพลงร็อค ผมว่ามันเป็นแนวดนตรีที่จริงใจ อารมณ์จิ๊กโก๋อกหัก ใจถึงพึ่งได้ เป็นคนที่มีความจริงใจ อย่างผมก็จะฟังโลโซ โมเดิร์นด็อก พี่ออดี้ วงสี่เต่าเธอ ส่วนวงนอก ก็จะฟัง Radiohead, Nirvana, Pearl Jam, Limp Bizkit, Linkin Park, Hoobastank, Oasis, Green Day คือผมฟังเยอะมาก เพราะว่าพ่อเป็นคนเล่นแผ่นเสียง ผมเลยได้ฟังเพลงเหล่านี้มาตั้งแต่เด็กๆ มันก็เลยทำให้เรามีวัตถุดิบ ก็เลยเหมือนเป็นผลพลอยได้ที่ได้ฟัง เพลงเยอะ ที่จะ blend อะไรเข้ามาที่ตัวเองชอบได้ ผลลัพธ์ที่ว่ามา ผสมรวมกันจนทำให้เป็นเพลงของพวกเราที่ให้ทุกคนได้ฟังกันนี่แหละครับ พวกเรา 3 คนทุ่มสุดตัวในการทำทุกเพลงตลอดอยู่แล้ว (ยิ้ม)


ระหว่างการทำงานตามโจทย์ หรือ ทำงานตามใจ พวกเรามีการแยกแยะทั้งหน้าที่ และความรู้สึกยังไง

ธีร์ : ถ้าทำเพลงตามโจทย์ ส่วนมาก ผมจะไปทำเพลงให้คนอื่น เอาจริงๆ เพลงของวงเรา ไม่เคยวางโจทย์เลย เราทำตามใจล้วนๆ ไม่ได้ตามใจคนฟังนะ เราตามใจตัวเองล้วนๆ อย่างคนฟังบอกอยากฟังเพลงเศร้าเหรอ ได้ แต่ว่าฉันขอเลือกเรื่องที่ฉันจะเล่าเองนะ เธอมีหน้าที่ฟังไป ถ้าชอบก็คือชอบ ถ้าไม่ชอบ ก็รอเพลงต่อไปก็ได้ พวกเรา เน้นเรื่องของความสุขของวง เพราะถ้าเราทำอะไรที่มันทำไปแล้วมันไม่มีความสุข แบบไม่ชอบเพลงนี้เลยแต่มันดังนะ ต้องเล่นเพลงนี้ทุกวัน มันก็ห่อเหี่ยวเหมือนกันนะ

โปรด : ถ้าทำเพลงตามโจทย์ ผมว่ามันน่าจะนอกเหนือการทำเพลงของพวกเรา ผมว่ามากันคนละครึ่งทางละกัน แต่ในพาร์ทการทำงาน ผมว่าเริ่มจากธีร์ก่อน เขาไม่เคยตีกรอบชีวิตใคร ไม่เคยตีกรอบเลยว่า ต้องเล่นอย่างงี้นะ (ทำท่าประกอบ) ไม่ใช่ วงเรา ธีร์ไม่เคยพูดเลย แต่จะเป็นแบบว่า เฟรม จะตีกลองยังไงก็ได้ โปรดอยากเล่นอะไรก็เล่นเลย ถ้ามันเกินผมตัดให้ ผมจะไม่พูดว่าเป็นการทำงานที่ง่าย แต่ผมว่ามันเป็นการทำงานที่มีความสุข ผมว่าการทำงานทุกอย่าง มันมีความยากทั้งหมดละครับ แต่ขึ้นอยู่กับว่า เราทำมันแล้วมีความสุขหรือเปล่า ประมาณนี้เลยครับ

เฟรม : การทำงานตามโจทย์สำหรับผม คือการที่ไปทำงานแบบทัวร์ คือแต่ละงานก็จะธีมงานแบบต่างๆ แล้วโจทย์ที่ได้รับในแต่ละครั้ง เช่นว่า เราต้องเล่นกี่โมง เราต้องใช้ system อะไรบ้าง นู่นนี่นั่น แต่ถ้างานตามใจก็ คงจะเป็นเรื่องการ performance บนเวที นะครับ เพราะผมรู้สึกว่า ผมยืนเบสหลัก สมมุติว่า ผมตีกลองแพทเทิร์นหลัก แต่ผมก็จะตามใจตัวเอง ในเรื่องของการใส่สกิลของผมตัวเองบ้าง หรือประมาณว่า เมื่อวานไปซ้อมตีกลองในลักษณะนี้มา เดี๋ยวเอามาใช้ในการแสดงครั้งต่อไปดีกว่า แต่ถ้ามันไม่ได้ก็อาจจะตัดออกบ้างดีกว่าก็มี

ธีร์ : อย่างผมก็จะปล่อยให้ลองกันเองเป็นยังไง ถ้าไม่เวิร์คค่อยมานั่งคุยกัน หรือว่าถ้าตัวเองรู้สึกว่ามันไม่เวิร์คก็ค่อยๆ คิดไป แต่ถ้าสมมุติว่าดูตัวเองว่ามันเวิร์คก็เล่นต่อไป คือเราทำงานกันแบบแฟร์ๆ แต่ละคนมีสิทธิ์ที่จะคิด ที่อยากจะเล่นในแบบที่ตัวเองอยากเล่น ส่วนตัวในเวลาเล่น ผมจะไม่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง อย่างเวลารูปแบบใหม่ๆ ผมก็จะถาม ประมาณว่า มันร็อคไปรึเปล่าวะ อะไรอย่างงี้ ผมว่าคนละครึ่งทางดีกว่า เพราะว่า ถ้าฉันเล่นอย่างงี้ ฉันชอบ ไม่มีใครมาสั่งฉันได้ สุดท้ายมันจะเป็นบ่อเกิดให้ความวงแตกขึ้นมา ผมรู้สึกแบบนั้น เพราะว่า แม้แต่การเล่น หรือการ Perform ทุกอย่างต้องคนละครึ่งทาง ส่วนตัวผมมองอย่างงี้มากกว่า เพราะผมรู้สึกว่า ผมไม่เอาความรู้สึกของตัวเองเป็นที่ตั้ง ผมเอาความรู้สึกคนอื่นมาก่อนครับ แล้ว ค่อยเอาของตัวเองตามหลัง คือเพราะว่าความเป็นวงน่ะครับ เรื่องการยืดหยุ่นมันสำคัญมาก ถ้า 3 คน ต่างคน ต่างมีอีโก้ใส่กัน ยังไงก็ไม่รอดครับ เราควรยืดหยุ่น และควรเป็นทีมเวิร์คที่ เพราะมันจะทำให้ส่งผลดีทุกเรื่องเลยครับ จนทำให้คนมองการเล่นของพวกเราในแง่ดี คือไม่ใช่พวกเรานะครับ ผมรวมไปถึงทีมงานด้วย ต่างๆ นานา คือการมีทีมที่ดี ทุกอย่างมันดีหมด


แน่นอนว่า พวกเราประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุพึ่งเลข 2 มานิดหน่อย แล้วยิ่งเป็นยุคสมัยนี้ด้วย พวกเราต้อง มีการระวังตัวในเรื่องไหนยังไงบ้าง

ธีร์ : ผมรู้สึกว่าเรื่องที่ต้องระวังในการเป็นศิลปินยุคนี้ คือมันจะต้องหักห้ามใจตัวเอง มันไม่ใช่ทุกเรื่องที่เราจะสามารถทำได้ คือเราก็มีความเป็นตัวเองแหละ แต่เราก็รู้ขอบเขตของตัวเองว่าเราได้มากน้อยแค่ไหน อย่าง บางสิ่งที่เราเป็นตัวเอง บางทีคนดูอาจจะไม่ชอบก็ได้ แต่ถ้าตรงไหนที่เรามีความ เป็นตัวเอง เช่น Only Monday เป็นวงตลกๆ คนดูเขาชอบ อันนั้นก็โอเค อีกอย่าง ยุคนี้ สังคมออนไลน์โลกโซเชียลมันเร็วมากครับ แล้วถ้าเราพลาดแค่นิดนึงนะ มันไวไปหมดเลย เป็นโดมิโน่เลย อย่างเช่น ข่าวตอนผมถูกโดนไล่แทง แค่เรื่องของคนๆ นึงนะ พอเราเป็นบุคคลสาธารณะ มันไปไวมากเลย แล้วถ้ามันเป็นเรื่องอื่น มันจะไม่ไปไวเหรอครับ นั่นแหละครับ สิ่งที่ผมต้องระวัง เพราะพี่โอมจะเคยสอนว่า ถ้ายิ่งขึ้นสูงมากเท่าไหร่ ต้องยิ่งก้มให้ต่ำเท่านั้น คือเราต้องมีสัมมาคาระวะ


ใช่ๆ เพราะพี่เบิร์ด-ธงไชย แกเคยพูดว่า ออกจากบ้านเมื่อไหร่ก็ต้องพร้อมที่จะเป็นคนของประชาชน

ธีร์ : ใช่ครับ คือพอเราออกจากบ้านปุ๊บ เราต้องเป็น only Monday ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเวลาอะไรก็ตาม เพราะเราก็ไม่รู้ว่ารอบตัวเรามีใครรู้จักเราบ้าง มันก็เป็นสิ่งหนึ่ง เป็นหน้าที่ที่เราต้องสวมหัวโขนตลอดเวลา แค่บางเวลาที่อาจจะถอดมาเพื่อพักแป๊บนึงครับ (ยิ้ม)

โปรด : ส่วนตัวผม ก็ยังเป็นคนเดิมนะครับ ก็ยังเป็นมาตั้งแต่ตอนยังไม่เป็นศิลปินเช่นเดิม แต่สิ่งที่จากประสบการณ์ที่เคยเป็นมาก่อน ตอนแรกผมไม่รู้นะครับว่าโรค Rockstar Sydrome คืออะไร แต่พอมาได้เจอเองแล้ว อาการของโรคนี้ก็ไม่เหมือนกันอีก อย่าง หลายๆ คน อาจจะเป็นไม่เหมือนกัน ส่วนของผม จะเป็น ประสบการณ์จากจิตใต้สำนึกในใจ อย่างเช่นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบ มีคนมาเดินชนเรา แล้วก็มาด่าเรา ทั้งๆ ที่เราไม่ได้ทำอะไรผิด ผมก็เลยเดินชนเขากลับ ซึ่งก็ถือว่าเป็นบทเรียนให้กับตัวเองได้

ผมว่าโดยส่วนตัว ก็ทำตัวแบบปกติครับ ผมรู้สึกว่าถ้าเป็นบนเวที พวกเราคือคนพิเศษ ณ เวลานั้น เป็นคนที่ เก่งที่สุด ณ เวลานั้นแล้ว ไม่ได้สนใจเลยว่าข้างล่าง จะเป็นยังไง ณ เวลานั้น ผมเป็นศิลปิน แต่เมื่อไหร่ที่ผมลง จากเวทีหรือไม่มีการสัมภาษณ์หรืออะไรก็ตาม ผมก็เป็นโปรดคนเดิมครับ เพราะมันทำให้ตัวผมมีความสุขด้วยครับ เพราะต่อให้เราเป็นศิลปินหรือไม่ได้เป็น กลับบ้านมา เรากกลับมากินข้าวที่บ้านเหมือนเดิม ทำทุก อย่างเหมือนเดิมครับ แค่มันอาจจะมีคำพูดคำจา ที่มันต้องพูดให้ดี จะต้องคิดก่อนพูดให้มากขึ้น ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิมครับ

เฟรม : ของผม แบ่งเป็น 3 หัวข้อกับสิ่งที่ต้องระวังสำหรับตัวเองครับ เรื่องแรก ก็คงจะเป็นเรื่องชื่อเสียงครับ ผมจะต้องใช้ชื่อเสียงของตัวเองในทางที่ถูกต้อง ไม่ใช่เอาชื่อเสียงของตัวเองไปทำเรื่องเสียหาย เรื่องที่สอง คือเรื่องเงินครับ เราเป็นศิลปิน เรามีงานมีเงิน เพราะฉะนั้นแล้ว เรามีโอกาสมากกว่าคนอื่น เราสามารถหาเงิน ได้ตั้งแต่อายุประมาณ 18 เรียกว่าหาได้เยอะ ก็ต้องวางแผนในเรื่องการเงินดีๆ อย่างที่บอกว่าอาชีพศิลปินดารา นักแสดง มันมีขึ้นมีลง ในช่วงที่หาได้เยอะ ก็ต้องใช้เยอะ แต่ก็ต้องเก็บด้วย ส่วนเรื่องสุดท้าย จะเป็นเรื่องการเป็นบุคคลสาธารณะ ถ้าเราอยู่ในสถานะนี้ แล้วเราไปที่ไหนก็ตาม คนที่เขาไม่ได้ติดตามวงเรา เขาก็อาจจะไม่รู้จักเราก็ได้ แต่อย่างแรกสุดเลย พวกเราทั้ง 3 คน ขอเป็นคนที่สัมมาคารวะ กับ ทุกๆ คนละกัน เรา จะไม่ทำตัวแบบ ฉันเป็นศิลปินนะเว้ย ไม่ได้ เพราะสุดท้ายแล้ว เราก็คือเรา ก็คือเด็กคนนึงนะครับ ที่อยู่ในฐานะที่เป็นบุคคลสาธารณะ เพราะฉะนั้นแล้ว ผมขอทำให้ทุกคนเอ็นดูพวกเรา ในทุกๆ เรื่อง ดีกว่าครับ


แน่นอนว่าผลงานที่พวกเราเริ่มทำมา จนมีคนเริ่มมองเห็นตามเวทีต่างๆ จนกระทั่งได้รับรางวัลทางดนตรีครั้งแรก (รางวัลสีสันอะวอร์ดส์ ครั้งที่ 33 สาขาศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยม) มันเหมือนกับว่า พวกเราเริ่มที่จะได้รับการยอมรับ จากในวงการเพลงไทย อย่างเป็นทางการด้วยมั้ยครับ

ธีร์ : คือผมมองอย่างงี้ครับว่า เอาจริงๆ ผมไม่ได้เป็นคนซีเรียสเรื่องต้องได้รางวัลหรือไม่ได้นะครับ เพราะเราทำเพลงเองและไม่ได้คาดหวังเรื่องรางวัล แต่หวังว่าเพลงของพวกเรา มันจะทำ ให้เข้าถึงคนฟังดนตรีที่คุณภาพ คือไม่ได้บอกว่าเพลงของพวกเรามันเป็นเพลงที่ดีที่สุดนะครับ แต่ได้ฟังเพลงที่ผ่านการผลิตมาอย่างดี ส่วนเรื่องรางวัล อย่างที่ผมบอกเลย คือเป็นเรื่องของกำไรและผลพลอยได้จากการทำงานเพลงของพวกเรา ซึ่งตอนที่ได้รับรางวัลในครั้งนั้น รู้สึกดีใจและไม่คิดนะครับว่าจะได้รางวัลนี้ ตอนที่ได้รางวัล พวกเราก็มาคุยกันเองว่า เริ่มเป็นที่จับตามองจากคนในวงการมากขึ้น ทำให้เขาสนใจในผลงานของพวกเรา ดีใจที่เพลงของพวกเรา ทำให้คนในวงการและนักดนตรีด้วยกัน เขาชื่นชอบและยินดีที่จะมอบรางวัลนี้ให้กับพวกเราครับ

โปรด : รู้สึกดีครับ จริงๆ ก็ไม่ได้คาดหวังเหมือนกับธีร์นะครับ คือแค่ได้มาร่วมงานก็ดีใจแล้วครับ ได้มาเจอ เพื่อนๆ เฮฮา ปาร์ตี้ แค่นี้ก็สนุกแล้วครับ คือเราได้เจอศิลปินในตำนานที่เราไม่คิดว่าจะเจอก็ในงานนี้ละครับ คือนึกภาพตามนะครับ ได้ไปร่วมงานแล้วเจอพี่ๆ หรือ น้าๆ ศิลปินที่เป็นไอค่อนของเรา แค่นี้ก็หัวใจฟูแล้วครับ

เฟรม : ผมก็ดีใจไม่ต่างกับทั้ง 2 คนเลยครับ ที่ได้เข้าไปอยู่ในงานในครั้งนั้น ส่วนตัวผมก็ไม่ได้รู้จักพี่ๆ ศิลปิน เบอร์ใหญ่ๆ ขนาดนั้น แต่มันเป็นงานที่ผมว่ามันอาจจะทำให้เราสามารถมี connection กับทั้งผู้สื่อข่าว หรือว่า พี่ๆ น้าๆ ศิลปินรุ่นใหญ่ อย่างน้อย แม้ว่าเราอาจจะไม่ได้ร่วมงานกัน แต่เราก็ได้เคยพูดคุยกัน ผมว่า มันเป็นสิ่งที่ดีแล้วครับ (ยิ้ม)


ในระยะเวลากว่า 5 ปี นับตั้งแต่เราพวกเรา เปิดตัวซิงเกิลแรก มาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน คิดว่าแต่ละคนได้ตอบโจทย์ส่วนตัวยังไงบ้างครับ

ธีร์ : อย่างในมุมผม ตลอดระยะเวลากว่า 5 ปีที่ผ่านมา มันได้แสดงให้เห็นว่า เราสามารถที่จะ เป็นจากคนที่แบบเป็นใครก็ไม่รู้ มีความ underdog หน่อยๆ ยังไม่เคยประสบความสำเร็จใน ด้านนี้เลย แล้ว แบบ 5 ปีนี้ มันเห็นผลชัดมาก มันรู้สึกเหมือนว่าเราได้เส้นทางชีวิตเพิ่มขึ้นมาอีกเส้นทางที่ยาวไกลมากเลย แล้วก็มันเป็นเส้นทางที่เราคิดและฝันมาตลอดว่าอยากจะเป็น จนวันนี้เราได้เป็นแล้ว และมันประสบความสำเร็จด้วยในจุดเริ่มต้นนะครับ เพราะว่า ตอนนี้ ผมรู้สึกว่ามันก็กำลังจะเริ่มต้นอะไรบางอย่าง คือจริงๆ มันก็คือการเริ่มต้นแล้วละ แต่ว่าตอนนี้มันก็จะเป็นจุด check point จุดแรกของพวกเราที่จะปักธงลงไปใน วงการดนตรีไทยว่า ในวงการ ยังมี only monday อยู่นะที่พยายามจะร่วมพัฒนาอุตสาหกรรมเพลงไทย ให้มันดีขึ้น คือไม่ใช่แค่พวกเราวงเดียว ก็รวมไปถึงพี่ๆ วงอื่นๆ ด้วย ก็ถือว่า อย่างน้อยเราได้สานต่อกับตัวเองแล้วว่าเราสามารถเดินทางสายนี้ได้ และเราก็สามารถทำให้มันมั่นคงได้ในระดับหนึ่ง รวมถึง อย่างน้อยก็เป็นอีกฟันเฟืองนึงที่จะมาร่วมปฏิวัติอุตสาหกรรมเพลงไทย ซึ่งมันเป็น point ที่เรามองตั้งแต่แรกแล้วว่า พวกเราอยากที่จะมียุคทองของเรา

รู้สึกว่า ตอนนั้นมันจะเป็น การประชุมในค่ายนะครับ ผมเป็นคนเดียวเลยในการประชุมที่พูดเรื่องนี้ ซึ่งพี่โอมบอกว่า มึงทำได้นะเว้ย แต่ต้องใช้เวลา ต้องขยันและมีความทะเยอทะยานสุดๆ อีกทั้งต้องอดทนและเสียสละอะไรอีกเยอะ ซึ่งส่วนตัวผมก็ยินดีที่จะทำสิ่งนั้น อาจจะทุ่มทั้งชีวิตกับตรงนี้ ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือน กัน ถ้าผมไม่ทำตรงนี้ให้ดีที่สุด ผมจะไปทำอย่างอื่นอีกได้มั้ย มันเริ่มจากสิ่งที่เราทำในทุกๆ วัน ก่อน และถ้าต่อไปข้างหน้ามันมั่นคง นั่นละครับ มันถือว่าได้ตอบโจทย์ชีวิตตัวเองแล้วว่า เราสามารถที่จะยืนหยัดตรงนี้ได้

โปรด : ส่วนตัวผมนะครับ ระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ผมรู้สึกว่ามันคือการเดินทาง มันเริ่มตั้งแต่ยังไม่มีใครรู้จักพวกเราเลย ผมขอเปรียบว่าเป็นการนั่งรถตู้ละกันครับ ตลอดเวลา 5 ปี ก็ผ่านอะไรมามากมาย เจอเรื่องไม่เข้าใจกัน เจอคนหลายประเภท เจอทุกๆ อย่าง เจอความเครียด ความสุข ส่วนตัวผมก็รู้สึกว่ามันก็คงต้องเดินทางต่อไปเรื่อย ๆ ครับ จนกว่าพวกเราจะเล่นไม่ไหว สุดท้ายนี้ ถ้าวันหนึ่งไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไง หากวันหนึ่งเราต้องมีการแยกย้ายกันไป ผมจะจดจำอย่างเพลงจดจำ ละกันครับ ว่าเราเคยมีความสุขกับอาชีพนี้ มันเป็นช่วงหนึ่งของชีวิต ที่มาจากหลายๆ ช่วงรวมๆ กันครับ

เฟรม : ส่วนผมก็แค่รู้สึกว่า คำว่าเต้นกินรำกินในเมื่อก่อน ตอนนี้มันพิสูจน์แล้วว่ามันสามารถ หาเลี้ยงชีพได้แล้วนะ อีกอย่างหนึ่งคือ ดีใจที่เราได้เป็นไอดอลของน้องๆ หลายๆ คน เหมือนกับตอนที่เรา เคยมี พี่ๆ ที่ เป็น ไอดอลของเราเช่นเดียวกัน ประมาณนี้ครับ

เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : พลภัทร วรรณดี
กำลังโหลดความคิดเห็น