หากมองย้อนกลับไปในช่วงสิบปีที่ผ่านมา จะเห็นได้ชัดว่าตลาดกล้องดิจิตอลในไทยไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป จากยุคที่ กล้องดิจิตอล DSLRราคาหมื่นต้นเคยครองใจนักเรียนหรือนักศึกษา วันนี้กล้องในระดับเริ่มต้นแทบจะหายไปจากชั้นวางสินค้าแล้ว เหตุผลสำคัญมาจากการที่สมาร์ทโฟนพัฒนาขึ้นจนสามารถตอบโจทย์การถ่ายภาพในชีวิตประจำวันและไลฟ์สไตล์ทั่วไปได้ครบถ้วน ผู้ผลิตจึงหันมาเลือกโฟกัสที่ตลาดระดับกลางและบน ซึ่งมีกลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการคุณภาพสูงขึ้นและพร้อมจ่ายเพื่อคุณภาพและประสบการณ์ที่แตกต่าง ทำให้สิ่งที่เห็นได้ชัดในปัจจุบันคือ ราคาเฉลี่ยของกล้องต่อเครื่องเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนอย่างชัดเจนในตลาดไทย โดยราคากล้อง Mirrorless รุ่นที่ขายจริงส่วนใหญ่เริ่มต้นไม่ต่ำกว่า 30,000–40,000 บาท ขณะที่กล้องสำหรับมืออาชีพขยับขึ้นไปอยู่ในช่วง 70,000–150,000 บาท หรือแม้แต่สูงกว่านั้น ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันราคาคือ ต้นทุนเทคโนโลยีที่สูงขึ้น และการยกระดับฟีเจอร์ในทุกระดับราคา หนึ่งในตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ เซนเซอร์รับแสงแบบ Full-frame ซึ่งในอดีตถูกจำกัดให้ใช้เฉพาะในกล้องเรือธงระดับโปรราคาเกินแสน ปัจจุบันกลับถูกนำมาใส่ในกล้องระดับกลางมากขึ้น เพื่อให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถเข้าถึงคุณภาพไฟล์ที่ใกล้เคียงกับมืออาชีพได้ง่ายขึ้น ขณะเดียวกันกล้องระดับ APS-C ก็ยังคงถูกพัฒนาให้รองรับงานจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ถูกวางตำแหน่งให้เป็น “รอง” สำหรับผู้ที่ให้ความสำคัญกับความคล่องตัวและราคาที่เบากว่า
นอกจากเรื่องเซนเซอร์แล้ว ผู้ผลิตยังเพิ่มฟีเจอร์ขั้นสูงที่เคยเป็นเอกสิทธิ์ของรุ่นท็อป เช่น ระบบโฟกัส Real-time Eye Tracking, กันสั่นในบอดี้ (IBIS), การถ่ายวิดีโอความละเอียด 6K–8K และระบบเชื่อมต่อสำหรับ Live Streaming ฟีเจอร์เหล่านี้ล้วนช่วยยกระดับคุณค่าของสินค้า แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นตัวผลักดันให้ราคากล้องในตลาดสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
แม้ยอดขายรวมจะลดลงจากยุคทองของ DSLR แต่รายได้ในเชิงมูลค่ากลับไม่ได้หายไปตามไปด้วย เหตุผลคือผู้ใช้ที่เหลืออยู่ส่วนใหญ่คือกลุ่มที่มองกล้องเป็น “การลงทุน” มากกว่าจะมองว่าเป็นเพียง “งานอดิเรกราคาแพง” เหมือนในอดีต การซื้อกล้องในปัจจุบันมักมีจุดประสงค์ชัดเจนเพื่อการสร้างคอนเทนต์วิดีโอ ไม่ว่าจะเป็น Vlog, TikTok, YouTube หรือการผลิตงานเชิงพาณิชย์ ผู้ประกอบการ SME ไปจนถึงผู้ค้าออนไลน์จำนวนมากยอมจ่ายแพงขึ้นเพื่อให้ได้ไฟล์คุณภาพสูง ระบบที่เสถียร และเครื่องมือที่ตอบโจทย์การทำงานจริง
ในมุมของผู้บริโภคไทย เราเห็นการเปลี่ยนผ่านอย่างชัดเจนจาก “ผู้ใช้กล้อง” สู่ “ผู้สร้างคอนเทนต์” กล้องจึงไม่ถูกมองว่าเป็นเพียงของสะสมหรืออุปกรณ์ส่วนตัวอีกต่อไป แต่ถูกยกระดับเป็น “เครื่องมือทำมาหากิน” ที่สามารถสร้างรายได้และโอกาสใหม่ ๆ แบรนด์อย่าง Canon และ Sony ยังคงถูกยกให้เป็นมาตรฐานมืออาชีพที่หลายคนไว้ใจ ส่วน Nikon และ Panasonic แม้ไม่ได้ครองตลาดกว้าง แต่ยังคงเป็นที่เลือกใช้ในกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับความทนทานและงานวิดีโอคุณภาพสูง
เมื่อมองในเชิงภาพรวม กล้องจึงไม่ได้ถูกขายในฐานะอุปกรณ์พื้นฐานอีกต่อไป แต่ถูกวางตำแหน่งเป็น “สินค้าพรีเมียม” ที่สะท้อนทั้งคุณภาพและภาพลักษณ์มืออาชีพ เหมือนกับที่ผู้ผลิตรถยนต์หรือนาฬิกาสร้างมูลค่าแบรนด์เพื่อให้สินค้ามีความหมายเกินกว่า “ฟังก์ชัน” นอกจากนี้ กล้องยังถูกมองว่าเป็น “สัญลักษณ์ทางไลฟ์สไตล์” และ “แฟชั่น” ของผู้บริโภคยุคใหม่ การถือกล้องบางรุ่นไม่ได้สะท้อนแค่ความสามารถในการถ่ายภาพ แต่ยังเป็นการบ่งบอกรสนิยมและบุคลิกของผู้ใช้ด้วย กล้องที่ออกแบบในสไตล์ย้อนยุคอย่าง Fujifilm X-Series หรือ Nikon Z fc จึงถูกมองว่าเป็นเครื่องประดับที่ช่วยเสริมภาพลักษณ์ได้ไม่ต่างจากกระเป๋า เสื้อผ้า หรือรองเท้า ขณะเดียวกัน Fujifilm ยังสร้างฐานผู้ใช้ที่เหนียวแน่นด้วยเอกลักษณ์ของ Film Simulation ซึ่งมอบโทนสีและอารมณ์ภาพเฉพาะตัว ทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่ากล้องไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือ แต่เป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตและการแสดงออกถึงสไตล์ของตัวเอง
สิ่งที่น่าสังเกตอีกอย่างคือ พฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคไทยไม่ได้หยุดเพียงแค่ “ตัวบอดี้กล้อง” แต่ได้ขยายไปสู่การซื้อ โซลูชันแบบครบชุด ตั้งแต่เลนส์เสริมหลายช่วงทางยาว ไมโครโฟนสำหรับงานวิดีโอ ขาตั้งกล้อง หรือแม้กระทั่งชุดไฟสตูดิโอและไฟพกพา เพื่อให้พร้อมใช้งานจริงตั้งแต่วันแรกที่ซื้อ นั่นหมายความว่าการตัดสินใจซื้อหนึ่งครั้งมักมีมูลค่ารวมสูงขึ้นกว่ายุคก่อน และทำให้ตลาดอุปกรณ์เสริมเติบโตควบคู่ไปด้วยอย่างมีนัยยะ เพราะผู้บริโภคไม่ได้มองแค่ “กล้อง” แต่ต้องการ ระบบนิเวศ (ecosystem) ที่ครบถ้วนสำหรับการสร้างสรรค์คอนเทนต์
อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจซื้อกล้องในไทยไม่ได้พิจารณาแค่ความต้องการหรือความชอบเพียงอย่างเดียว ปัจจัยทางเศรษฐกิจก็มีบทบาทสำคัญอย่างมาก กำลังซื้อของผู้บริโภคทั่วไปมีแนวโน้มชะลอตัว ขณะที่ค่าเงินบาทที่ผันผวนส่งผลโดยตรงต่อราคานำเข้า นอกจากนี้ยังมีปัญหาสินค้าขาดตลาดในรุ่นยอดนิยม ซึ่งยิ่งทำให้ราคาถูกดันสูงขึ้นไปอีก แต่ในทางกลับกัน ช่องว่างของตลาดพรีเมียมกลับยังคงแข็งแรง กลุ่มผู้ใช้ที่มีศักยภาพสูงหรือมองกล้องเป็นการลงทุนยังคงพร้อมจ่ายเพื่อคุณภาพและความมั่นใจในการใช้งาน อีกทั้งการเติบโตของ e-commerce การให้บริการผ่อนชำระ 0% หรือโปรแกรม Trade-in ก็เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคเข้าถึงกล้องระดับกลางถึงสูงได้ง่ายกว่าเดิม
สำหรับผู้แทนจำหน่ายในไทย การขายกล้องเพียงอย่างเดียวไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ได้อีกต่อไป พวกเขาจำเป็นต้องปรับตัวสู่การขายในลักษณะ “โซลูชันครบวงจร”ไม่ว่าจะเป็นการเจาะตลาดองค์กร มหาวิทยาลัย ไปจนถึงบริษัทโปรดักชัน ที่ต้องการระบบถ่ายทำวิดีโอและสื่อสารภาพลักษณ์แบบครบชุด ผู้บริโภคคาดหวังการบริการที่มากกว่าแค่การซื้อขายสินค้า แต่ต้องการ “คำแนะนำที่เชื่อมโยงกับการใช้งานจริง” ตั้งแต่การเลือกเลนส์ที่เหมาะสม ไปจนถึงอุปกรณ์เสริมที่รองรับงานเฉพาะทาง
ในภาพรวม ผู้แทนจำหน่ายต่างก็เร่งปรับปรุงประสบการณ์ทั้ง ออฟไลน์และออนไลน์ จากการเป็นเพียงร้านขายสินค้าเทคโนโลยีทั่วไป ไปสู่การนำเสนอ โซลูชันที่ตอบโจทย์การใช้งานจริงจังสอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าและไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไป กลยุทธ์ทางการตลาดจึงถูกออกแบบให้เป็น เชิงประสบการณ์ มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการจัด Workshop, Event ทดลองใช้งานจริง ไปจนถึงการสร้าง Community ของผู้ใช้งาน เพื่อเปลี่ยนลูกค้าธรรมดาให้กลายเป็นแฟนประจำ และรักษาความสัมพันธ์ในระยะยาว ปัจจุบันกลุ่มดีลเลอร์ที่ยังคงแข็งแกร่งในตลาดมีไม่มากนัก เช่น Big , World , FF และ EC MALL
จากการสัมภาษณ์ผู้บริหารของ EC MALL ได้สะท้อนให้เห็นภาพการปรับตัวของผู้ค้าปลีกกล้องในไทยอย่างชัดเจน ในฐานะ ร้านกล้องที่อยู่ในวงการมากว่า 23 ปี และเผชิญการเปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่ยุค DSLR จนถึงการมาของ Mirrorless ในปัจจุบัน EC MALL ต้องรับมือกับความท้าทายหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ราคาสินค้าที่สูงขึ้นทำให้ลูกค้าบางกลุ่มเลิกเล่นกล้องหรือห่างหายจากตลาด รวมถึงปัญหาสินค้าขาดตลาดในรุ่นยอดนิยม เช่น DJI Osmo Pocket 3, Fujifilm X100VI และ Ricoh GR III ที่มักถูกขายหมดอย่างรวดเร็วและสร้างความต้องการเกินกว่าซัพพลายที่มีอยู่
เพื่อตอบโจทย์สถานการณ์เหล่านี้ EC MALL ไม่ได้หยุดอยู่แค่การจัดหาสินค้า แต่ยังเร่ง ยกระดับภาพลักษณ์ร้านค้าและช่องทางออนไลน์ให้ดูพรีเมียมมากขึ้น พร้อมทั้งเสริมบริการที่สร้างความมั่นใจให้ลูกค้า ตั้งแต่การให้คำปรึกษาเชิงลึกโดยผู้เชี่ยวชาญ การจัดแพ็กเกจโซลูชันครบชุดสำหรับ Creator ไปจนถึงการสร้างประสบการณ์ผ่านกิจกรรม Workshop และ Event ทดลองใช้งานจริง กลยุทธ์เหล่านี้ไม่เพียงช่วยรักษาความเชื่อมั่นของลูกค้าเก่า แต่ยังดึงดูดกลุ่มลูกค้าใหม่ที่มองหามากกว่าการ “ซื้อกล้อง” แบบดั้งเดิม เพราะต้องการทั้งคุณภาพ บริการ และประสบการณ์ที่ครบวงจร
สรุปได้ว่า ตลาดกล้องไทยกำลังเปลี่ยนโฉมไปสู่ตลาดที่ “เล็กลงแต่พรีเมียมขึ้น” — ผู้ผลิตหันมาโฟกัสกับสินค้าที่มีคุณภาพและภาพลักษณ์ ผู้บริโภคมองกล้องเป็นการลงทุนที่สร้างทั้งรายได้และอัตลักษณ์ ขณะที่ผู้แทนจำหน่ายต้องขายประสบการณ์ครบวงจรและสร้างชุมชนผู้ใช้ หากใครสามารถเชื่อมโยงทั้งสามปัจจัยนี้เข้าด้วยกันได้ จะเป็นผู้ที่อยู่รอดและเติบโตได้จริงในยุคใหม่นี้
