เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2568 เอเชีย ซึ่งถือเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่มีการเปลี่ยนแปลงและความหลากหลายสูงที่สุดในโลก กำลังเป็นที่จับตาในฐานะผู้นำการเปลี่ยนผ่านสู่การเติบโตทางอุตสาหกรรมที่ปล่อยคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืนและทั่วถึง อย่างไรก็ตาม ภูมิภาคเอเชียมีอัตราการใช้พลาสติกสูงที่สุดในโลกและเป็นผู้ผลิตปูนซีเมนต์ถึง 2 ใน 3 ของการผลิตทั่วโลก ซึ่งทั้งสองอุตสาหกรรมนี้สร้างผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม
ด้วยเหตุนี้ แนวทางปฏิบัติเพื่อเดินหน้าสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนและการลดการปล่อยคาร์บอนจึงจำเป็นอย่างเร่งด่วน เพื่อเปลี่ยนจากแบบแผนการผลิตและการบริโภคแบบดั้งเดิม ไปสู่การปลดล็อกโอกาสทางเศรษฐกิจที่สามารถปกป้องโลกไปพร้อมกัน
ด้วยเหตุผลดังกล่าว ผู้แทนภาครัฐ ผู้นำภาคอุตสาหกรรม องค์การระหว่างประเทศ และผู้เชี่ยวชาญ จึงมาร่วมงานสัมมนา ที่กรุงเทพฯ ในหัวข้อ “Scaling Circular Solutions: From Pilots to Policy in Asia” หรือ “การขยายผลเศรษฐกิจหมุนเวียน: จากโครงการนำร่องสู่นโยบายในทวีปเอเชีย" ซึ่งจัดโดยสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมแห่งนอร์เวย์ (SINTEF) และองค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO)
งานในครั้งนี้เป็นการขยายผลต่อจากสองโครงการเรือธง ได้แก่ โครงการการจัดการพลาสติกในมหาสมุทรให้กลายเป็นโอกาสในเศรษฐกิจหมุนเวียน (OPTOCE) ที่ได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐบาลนอร์เวย์ และโครงการการลดการปล่อยคาร์บอนในภาคอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์และคอนกรีตในประเทศไทย (Decarbonization of the Cement and Concrete Sectors in Thailand) ที่ได้รับทุนสนับสนุนจากกระทรวงสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งแคนาดา (ECCC) และดำเนินงานโดย UNIDO
ในงานมีการนำเสนอผลสำเร็จจากโครงการนำร่อง OPTOCE ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการใช้กระบวนการเผาร่วมในเตาปูนซีเมนต์ ซึ่งเป็นวิธีการที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการจัดการขยะพลาสติกที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้ ซึ่งช่วยลดทั้งขยะพลาสติกและการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล
เวทีสัมมนายังได้นำเสนอผลลัพธ์จากโครงการลดการปล่อยคาร์บอนในภาคอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์และคอนกรีตในประเทศไทย เพื่อแสดงให้เห็นว่าการบูรณาการระหว่างนวัตกรรม นโยบาย และกลไกทางการเงิน ช่วยขับเคลื่อนการพลิกโฉมอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืนได้
นอกจากนี้ เวทีดังกล่าวยังเน้นย้ำถึงก้าวต่อไปที่สำคัญอย่างการขยายผลโครงการนำร่องที่มีประสิทธิภาพไปสู่กลยุทธ์ระดับชาติที่ช่วยลดขยะพลาสติก ลดการปล่อยคาร์บอน และสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมที่ครอบคลุมและปล่อยคาร์บอนต่ำ การพูดคุยภายในงานครอบคลุมประเด็นเรื่องกลไกเชิงนโยบายที่นำไปปฏิบัติได้จริง เช่น กรอบการขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิต (EPR) และเทคโนโลยีใหม่ที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนและลดการปล่อยคาร์บอน
ผู้เข้าร่วมงานได้ร่วมสำรวจแนวทางปฏิบัติที่พร้อมสำหรับการลงทุนเพื่อขยายผลโครงการเปลี่ยนขยะให้เป็นทรัพยากร ตอกย้ำว่าแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียนสามารถลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและตอบโจทย์การลงทุน ทั้งนี้ จากความท้าทายในการดำเนินนโยบายเหล่านี้ระหว่างประเทศ งานสัมมนาจึงเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการเสริมความร่วมมือที่แข็งแกร่งในระดับภูมิภาค และการสร้างภาคีความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ซึ่งจะช่วยขยายผลแนวทางปฏิบัติที่ใช้ได้จริง
นางอัสตริด เอมีเลีย เฮลเล (H.E. Mrs. Astrid Emilie Helle) เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรนอร์เวย์ประจำประเทศไทย กล่าวเปิดงานว่า "นอร์เวย์ให้ความสำคัญกับการสนับสนุนแนวทางแก้ปัญหาที่ใช้ได้จริงและอาศัยหลักวิทยาศาสตร์ในการรับมือวิกฤตพลาสติกและสภาพภูมิอากาศ โครงการ OPTOCE ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า หากมีพันธมิตรที่เหมาะสม เราสามารถเปลี่ยนขยะให้เป็นโอกาส อีกทั้งยังช่วยลดมลพิษ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และสร้างคุณค่าใหม่ ๆ เราหวังว่าจะได้เห็นความสำเร็จนี้ขยายผลไปทั่วเอเชีย"
ดร.คอเร เฮลเก คาร์สเตนเซน (Dr. Kåre Helge Karstensen) หัวหน้านักวิทยาศาสตร์และผู้จัดการโครงการ OPTOCE กล่าวในงานสัมมนาว่า “จากโครงการ OPTOCE เราได้พิสูจน์แล้วว่าการนำพลาสติกที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้มาเผาร่วมในเตาปูนซีเมนต์นั้น ไม่เพียงแต่จะทำได้จริง แต่ยังปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม และสามารถสร้างผลกระทบในวงกว้างได้อย่างรวดเร็ว สิ่งที่เราต้องทำต่อคือขยายผลจากโครงการนำร่องสู่การนำไปใช้เป็นนโยบาย ขั้นตอนสำคัญคือการนำไปเป็นยุทธศาสตร์ระดับชาติและสร้างความร่วมมือในภูมิภาค เพื่อให้เอเชียเป็นผู้นำในการจัดการปัญหาพลาสติกและลดคาร์บอนในภาคอุตสาหกรรม”
นายบรูโน ฟ็อกซ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินทรี อีโคไซเคิล จำกัด กล่าวว่า "อินทรี อีโคไซเคิล ได้ดำเนินโครงการรื้อร่อนบ่อขยะในประเทศไทย เพื่อผลิตเชื้อเพลิงขยะหรือ RDF มาเป็นระยะเวลาหลายปีแล้ว จากการศึกษาพบว่าขยะที่ถูกทิ้งส่วนใหญ่เป็นพลาสติกมูลค่าต่ำ และขยะเหล่านี้มักจะรั่วไหลลงสู่แหล่งน้ำและทะเล การนำขยะพลาสติกที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้มาแปลงเป็นเชื้อเพลิงทดแทนในการผลิตปูนซีเมนต์ ช่วยให้เราลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ขณะเดียวกัน ยังช่วยลดปัญหาบ่อขยะล้นและช่วยป้องกันไม่ให้พลาสติกไหลลงสู่ทะเล เรามุ่งมั่นที่จะร่วมมือกับทุกภาคส่วนต่อไป และยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน”
นางสาวปิง กิดนิกร (H.E. Ms. Ping Kitnikone) เอกอัครราชทูตแคนาดาประจำประเทศไทย กล่าวว่า “แคนาดา เดินหน้ารับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการสร้างเส้นทางพัฒนาที่ยั่งยืน เรารับทราบว่าความก้าวหน้าที่แท้จริงในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การเสริมสร้างความพร้อมรับมือ และการสร้างอนาคตสีเขียว จำเป็นต้องอาศัยแนวทางแก้ไขในระดับโลก เราต้องการพันธมิตรที่เข้มแข็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก การนำแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนมาใช้ในระยะยาว จะช่วยให้เราสามารถปรับระบบการทำงานต่างๆ เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมความยั่งยืนอย่างแท้จริง”
การสัมมนาครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมระดับภูมิภาคที่จัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจะมีการจัดงานในลักษณะเดียวกันที่กรุงฮานอยในเดือนตุลาคม เพื่อให้ข้อมูลสำคัญต่อการกำหนดนโยบายระดับชาติและการเจรจาระหว่างประเทศ รวมถึงการเจรจาสนธิสัญญาพลาสติกโลกที่กำลังดำเนินอยู่ ทั้งนี้งานครั้งนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของแผนงานของ UNIDO ในการลดคาร์บอนทั้งในภูมิภาคและทั่วโลก เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการถ่ายทอดเทคโนโลยี การลงทุน ตลอดจนการพัฒนาขีดความสามารถ และสร้างความตระหนักรู้เรื่องการลดคาร์บอนในภาคอุตสาหกรรม
รชา อับดราบู (Rasha Abdrabu) ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาอุตสาหกรรม องค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO) กล่าวสรุปว่า "เราจำเป็นต้องเร่งการดำเนินงานและร่วมมือกันสร้างแนวร่วมเพื่อขับเคลื่อนการลดคาร์บอนในภาคอุตสาหกรรม ทั้งนี้เพื่อขยายผลให้เกิดการลงทุนในวงกว้างสำหรับการลดคาร์บอนในอุตสาหกรรม”
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สื่อมวลชน กรุณาติดต่อ:
• SINTEF — Dr Kåre Helge Karstensen หัวหน้านักวิทยาศาสตร์และผู้จัดการโครงการ อีเมล: khk@sintef.no โทรศัพท์: +47 930 59 475 (WhatsApp)
เว็บไซต์ https://optoce.no/ และ https://www.sintef.no/en/
• UNIDO — Rasha Abdrabu ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาอุตสาหกรรม อีเมล: r.abdrabu@unido.org
โครงการ OPTOCE ที่ได้รับทุนสนับสนุนจากกระทรวงการต่างประเทศนอร์เวย์และดำเนินการโดย SINTEF ได้นำร่องการใช้กระบวนการเผาร่วมในเตาปูนซีเมนต์ ซึ่งเป็นวิธีการที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการจัดการขยะพลาสติกที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้ วิธีดังกล่าวใช้เชื้อเพลิงทดแทนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลและการป้องกันไม่ให้ขยะพลาสติกไปสู่หลุมฝังกลบและแหล่งน้ำ ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
ผลสำเร็จจากโครงการนำร่อง OPTOCE ได้แก่
• พิสูจน์ความเป็นไปได้ทางเทคนิคและความปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อมของการเผาร่วมใน 8 ประเทศ ได้แก่ บังกลาเทศ กัมพูชา จีน อินเดีย ฟิลิปปินส์ ศรีลังกา ไทย และเวียดนาม
• ป้องกันไม่ให้ขยะพลาสติกที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้ประมาณ 1 ล้านตันต่อปีสู่หลุมฝังกลบและแหล่งที่เสี่ยงต่อการรั่วไหล
• ลดการใช้ถ่านหินในเตาเผาปูนซีเมนต์ประมาณ 0.5 ล้านตันต่อปี โดยใช้เชื้อเพลิงขยะ ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในทางตรง (จากการใช้เชื้อเพลิงทดแทน) และทางอ้อม (จากการป้องกันการรั่วไหลของพลาสติก)
• สร้างและเผยแพร่องค์ความรู้ผ่านบทความวิชาการ หนังสือ และบทในหนังสือ ที่ผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญกว่า 20 บทความ รวมถึงการนำเสนอผลงานเกือบ 100 ครั้งในการประชุมนานาชาติ
• เสริมสร้างเครือข่ายความรู้ระดับภูมิภาคและสนับสนุนการปฏิรูปนโยบาย
โครงการการลดการปล่อยคาร์บอนในภาคอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์และคอนกรีตในประเทศไทย (Decarbonization of the Cement and Concrete Sectors in Thailand) ได้รับทุนสนับสนุนจากกระทรวงสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งแคนาดา (ECCC) และดำเนินการโดย UNIDO มุ่งเน้นการส่งเสริมการลดคาร์บอนในภาคปูนซีเมนต์และคอนกรีต UNIDO ประสานงานระหว่างภาครัฐ อุตสาหกรรม และผู้ร่วมทุนเพื่อพัฒนากลยุทธ์และแนวทางการลดคาร์บอนที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง เพื่อสนับสนุนประเทศไทยในการบรรลุเป้าหมาย Net Zero และเปิดทางสู่การเติบโตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในภาคส่วนนี้ โครงการมีการดำเนินงาน 5 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ นโยบาย นวัตกรรม การลงทุนและการสาธิตเทคโนโลยีลดการปล่อยคาร์บอน มาตรฐานและแนวทางปฏิบัติ และการแลกเปลี่ยนความรู้ โดยดำเนินงานดังต่อไปนี้
- การสนับสนุนภาครัฐในการส่งเสริมให้เกิดนโยบายและกลยุทธ์เพื่อบรรลุการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์
- โปรแกรมส่งเสริมและบ่มเพาะนวัตกร ให้เกิดการสร้างสรรค์นวัตกรรมสำหรับการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ตลอดห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรม
- เสริมสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน รวมถึงการให้คำปรึกษาทางธุรกิจ โดยเน้นการมีส่วนร่วมของผู้หญิงและเยาวชนอย่างต่อเนื่อง
- การลงทุนในเทคโนโลยีการลดคาร์บอนที่เป็นนวัตกรรมใหม่และการผลักดันในเชิงพาณิชย์
- ส่งเสริมให้เกิดการพัฒนามาตรฐานและแนวปฏิบัติ โดยเน้นนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างสีเขียวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (GPP)
- ส่งเสริมความร่วมมือและเผยแพร่ความรู้ระดับภูมิภาค (south-south) ในการทำโครงการลักษณะเดียวกันและส่งเสริมโมเดลอุตสาหกรรมที่ประสบความสำเร็จ