ครั้งนี้นับเป็นการจัดแสดงผลงานภาพเขียนของ “อาจารย์จรูญ บุญสวน” ศิลปินระดับครูวัย 87 ปี ที่พิเศษมากที่สุดเลยก็ว่าได้ สำหรับนิทรรศการ The Journey of Colors “สัมพันธภาพแห่งสี” นิทรรศการที่บันทึกการเดินทางของ “สี” ในฐานะหัวใจของผลงานจิตรกรรมตลอดชีวิตของอาจารย์จรูญ ซึ่งจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะไทยร่วมสมัย MOCA BANGKOK ตั้งแต่วันที่ 9 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยจะมีไปจนถึงวันที่ 21 ก.ย. 2568
นอกจากจะเป็นครั้งแรกที่จัดใหญ่ที่สุดที่เคยจัดมาแล้ว ภาพเขียนส่วนใหญ่ยังไม่เคยโชว์ที่ไหนมาก่อน เรียกว่าเป็นความพิเศษที่ดึงดูดให้ต้องไปชมให้ได้สักครั้ง ซึ่งอาจารย์เผยว่า แม้จะอายุมากแล้วแต่ยังเขียนรูปทุกวัน รู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่มีคนชื่นชมผลงาน พร้อมเปิดใจถึงเรื่องราวที่ทำให้อาจารย์ถึงกับขนลุก เมื่อมีคนมาดูผลงานของอาจารย์แล้วบอกว่า ทำให้เขานั้นลืมความตาย
พร้อมเผยพิธีกรรุ่นใหญ่ “ต๋อย ไตรภพ ลิมปพัทธ์” และนักร้องชื่อดัง “ป๊อด โมเดิร์นด็อก” ชื่นชอบผลงานและซื้อไปสะสมหลายชิ้น ทั้งนี้อาจารย์ยังบอกด้วยว่า ภาพเขียนที่สร้างขึ้นมากับมือก็เหมือนลูกที่รักมาก ถ้าลูกได้ไปอยู่ในที่ดีๆ ตนก็มีความสุข การเขียนรูปคือการพักผ่อน วันไหนไม่ได้เขียนจะหงุดหงิด ชีวิตเหมือนขาดอะไรไป ตั้งใจจะทำไปจนกว่าจะไม่มีเรี่ยวแรง
“มันเหมือนกับว่า ผมเขียนรูปมาค่อนข้างยาวนานทีเดียว ตั้งแต่เรียนจบตอนปี 2505 แล้วก็ไปทำงานที่โคราช ระหว่างทำงานผมก็เขียนรูปเรื่อยมา และเริ่มทดลองงานที่ไม่เคยทำ เช่น ทำแอบสแตรกต์ (Abstract) พอทำไปสักพักก็รู้สึกว่ามันไม่ถูกกับทัศนคติของผม ก็เปลี่ยนไปทำคิวบิสม์ (เป็นการสร้างศิลปะให้มีลักษณะเป็นเหลี่ยมมุม เป็นลูกบาศก์หรือมีทรงเรขาคณิต) พอทำไปสักพักก็ไม่ชอบมัน เลยกลับไปเขียนเรียลลิสติก (Realistic) จนถึงทุกวันนี้”
อาจารย์ชอบวาดรูปดอกไม้เป็นชีวิตจิตใจ
“ผมเป็นคนชอบสีครับ ตั้งแต่ปี 2523 ผมทำปริญญาโท แล้วจำเป็นต้องเขียนรูปดอกเฟื่องฟ้าในสระน้ำ เพราะผมไปอาศัยสถานที่ของลัดดาแลนด์เขียน ผมไม่เคยเขียนรูปสีสดครับ แล้วไปเจอรูปดอกเฟื่องฟ้าสีแดง ผมก็ติดใจ แล้วก็พยายามเขียนสีแดง การเขียนรูปนั้นมันเปลี่ยนชีวิตผม ทำให้ผมเขียนรูปช้าลง เมื่อก่อนผมเขียนรูปไวครับ นึกว่าเท่ นึกว่าดี แต่พอมาเขียนรูปช้าแล้วดีกว่าครับ มันมีเวลาคิด เรามีความสุขกับการเขียนรูปช้าๆ มากกว่าเขียนรูปเร็วๆ มันได้ดูละเอียดถี่ถ้วน
ผมสามารถเขียนรูปสีสดๆ ได้ ปกติผมเป็นคนชอบสี แล้วเราจะไปหาสีที่ไหนในทั่วๆ ไป ในธรรมชาติมันก็มีแต่ดอกไม้เท่านั้นแหละครับ ดอกไม้มีสารพัดสี ผมไปเชียงใหม่ มีตลาดดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุด ไม่เคยเห็นที่ไหนใหญ่เท่าที่กาดหลวง ไปเดินดูได้ทั้งวันครับ สะพรั่งทั้งแถวเลย เพราะฉะนั้นผมได้เปรียบคนอื่นที่อยู่ในดินแดนที่เป็นดอกไม้ใบหญ้าที่สวยงาม แล้วเราจะไม่เอามาเขียนได้อย่างไร ในเมื่อดอกไม้มันออกมาให้เราแท้ๆ ผมถือว่าผมโชคดีที่เกิดมารักดอกไม้ รักสี ทำให้ผมมีความสุขครับ”
ใช้ชีวิตสร้างงานศิลปะที่จังหวัดลำพูน ครั้งนี้เป็นการมาจัดนิทรรศการที่กรุงเทพฯ ที่ใหญ่ที่สุดที่เคยจัดมา นำมาแสดง 30 กว่ารูป
“ครั้งนี้นำมาแสดงทั้งหมด น่าจะ 30 กว่า รูปเล็กๆ มีอยู่น้อยหน่อยครับ แต่รูปใหญ่มีเยอะ ที่กรุงเทพฯ เคยจัดอยู่ 2-3 ครั้ง แต่ไม่ใหญ่เท่านี้ งานไม่มากขนาดนี้ ที่ต่างจังหวัดส่วนมากจะจัดที่เชียงใหม่ ประปรายไม่เป็นชิ้นเป็นอัน แต่คราวนี้จัดมาก เพราะสถานที่เขาใหญ่ ผมเอารูป 8 เมตรครึ่งมา ซึ่งจริงๆ ไม่อยากเอามา เพราะมันต้องถอด และไม่สามารถจะใส่รถได้ แล้วก็ต้องตัดเฟรมครึ่งหนึ่ง เพื่อใส่รถมาแล้วก็มาขึงใหม่ แต่เขาก็เอามา เขาอยากได้ ทาง MOCA เขาอยากได้รูปใหญ่ๆ ผมก็เอามารูปหนึ่ง และขนาด 3 เมตร เอามา 6-7 รูป
ที่สำคัญคือผมเคยทำรูปเขียนเล็กๆ สไตล์แอบสแตรกต์ ใส่ลังเอาไว้แล้วก็ลืมไว้ พอดีลูกสะใภ้ไปทำความสะอาดห้องเก็บของ ก็ไปเจอเข้า เขาบอกว่าเขาเจอขุมทรัพย์แล้ว มีรูปพ่อเป็นพันๆ เลย ผมเขียนรูปแอบสแตรกต์มามาก ทำเป็นรูปเล็กๆ มาทำเป็น สคส. ขายเลี้ยงชีพ เลี้ยงลูก 4 คนได้หลายปีครับ ระหว่างที่ทำแอบสแตรกต์ เพื่อทำ สคส. ผมก็ทำรูปใหญ่ๆ ทิ้งไว้ด้วย แล้วก็ลืมไป คราวนี้ก็เอามาแสดง คุณคิด (คณชัย เบญจรงคกุล) ผู้อำนวยการ พิพิธภัณฑ์ศิลปะไทยร่วมสมัย MOCA BANGKOK เขาก็เป็นคนเลือกเอง ได้มาร้อยกว่ารูปครับ”
อยากเป็นตัวอย่างให้กับศิลปินรุ่นใหม่ๆ ว่าแม้อายุเยอะแล้ว แต่ยังสามารถเขียนรูปใหญ่ๆ ได้อย่างมีพลัง
“ทีแรกผมจะเอารูปเล็กๆ มา รูปใหญ่ๆ มันจะยุ่งยาก แต่ทาง MOCA เขาบอกว่าอาจารย์อายุมากแล้ว ใครๆ ก็รู้จัก แล้วงานหลายชิ้นที่ไม่มีใครเห็นเลย อย่างรูปใหญ่ๆ ของผม ขอโทษนะครับที่ชมตัวเองหน่อย (ยิ้ม) คนจัดเขาบอกว่าดูแล้วน่าทึ่ง อยากให้เป็นตัวอย่างของศิลปินรุ่นใหม่ๆ ว่าผมแก่ขนาดนี้ ยังสามารถเขียนรูปใหญ่ๆ ได้มีพลัง เหมือนกับว่าจะแสดงรูปให้ศิลปินรุ่นใหม่ได้เห็น พลังของคนอายุมากได้ เขาเลยเอารูปใหญ่ๆ มา แล้วลูกสะใภ้ผมหิ้วแอบสแตรกต์มา แล้วคุณคิดเขาชอบ เลยบอกว่าเอาแอบสแตรกต์ด้วย ผมก็เห็นด้วยครับ”
พิเศษมากๆ เพราะภาพที่จัดแสดงครั้งนี้ ส่วนใหญ่ไม่เคยโชว์ที่ไหนมาก่อน
“เกือบทั้งหมดครับ แทบไม่เคยโชว์ที่อื่นเลย นอกจากบ้านผม ที่บ้านมีแกลเลอรีส่วนตัวอยู่ เวลามีแขกมา เขาก็จะมาดู แต่ว่ามาที่นี่เขาจัดได้เป็นหมวดหมู่ ดูสวยงามครับ”
รู้สึกมีความสุขมาก ทุกครั้งที่มีคนชื่นชมผลงาน พร้อมเผยเรื่องราวที่ทำให้อาจารย์ถึงกับขนลุก เมื่อมีคนมาดูผลงานของอาจารย์แล้วบอกว่า ทำให้เขาลืมความตาย
“เวลาคนชอบรูปมันก็มีความสุขครับ ผมเล่าให้ฟังเรื่องหนึ่ง ตอนผมอายุ 60 ผมเคยแสดงรูปที่คณะวิจิตรศิลป์ ที่ผมสอนอยู่ มีอยู่ประมาณ 30 รูปได้ แล้วในสมุดบันทึกที่คณะเขาวางให้ผู้มาดู บันทึกไว้ว่ารู้สึกอย่างไรกับรูปเขียน มีคนหนึ่งเขียนว่าอาจารย์ครับ ทุกวันนี้ผมไม่มีความสุขเลย ผมคิดถึงความตายตลอดเวลา เพราะผมมีโรค HIV อยู่ในตัว แค่นี้ผมก็ขนลุกแล้วครับ เพราะว่าโรคนี้ในสมัยนั้นตายลูกเดียว แต่ 1 ชั่วโมงที่ผมยืนดูรูปอาจารย์ ผมมีความสุขมาก ผมลืมความตาย ขอบพระคุณอาจารย์มากครับ แค่นี้ผมปลื้มแล้วครับ
ผมมีความสุขมากที่เขียนรูปแล้วคนดูมีความสุข ความปรารถนาของผมคือในชีวิตนี้ อยากเขียนรูปให้ดูแล้วมีความสุข เพราะผมถูกสอนมาว่าให้พยายามเขียนรูปให้คนดูเป็นอาหารทางใจ เรากินอาหารทางกายมากมายแล้ว ศิลปะจะช่วยให้คนมีความสุขทางใจได้ เช่น เราฟังดนตรี เรามีความสุข ผมอยากให้คนดูศิลปะแล้วยิ้ม มีความสุข อิ่มใจ”
ยึดคำสอนของ “อาจารย์ศิลป์ พีระศรี” มาถึงจนถึงวันนี้ ต้องเขียนรูปทุกวัน
“ผมถูกสอนมาจากอาจารย์ศิลป์ พีระศรี เป็นคำพูดอมตะที่ท่านให้กับผมไว้ ตอนก่อนเสียชีวิตประมาณ 1 เดือน ท่านบอกว่าจรูญ นายเป็นคนเขียนรูปดี นายจะต้องทำงานทุกวัน แล้วเลือกรูปดีๆ ไว้ ผมก็ปฏิบัติตามคำสั่งของอาจารย์อย่างเคร่งครัดครับ ผมลาออกจากราชการ แล้วเขียนรูปตั้งแต่เวลา 08.00 น. ถึงเวลา 18.00 น. ทุกวัน ไม่มีวันหยุด ยกเว้นมีแขกมาหาหรือมีธุระ ผมไม่หยุดแม้เสาร์-อาทิตย์ มีคนถามว่าทำไมเขียนรูปทุกวันไม่หยุด ไม่เหนื่อยเหรอ ผมบอกไม่เหนื่อย ผมกินข้าววันละ 3 มื้อ ถ้าวันไหนไม่กินข้าว ก็จะไม่เขียนรูป ถ้าผมยังกินข้าวอยู่ ผมก็จะเขียนรูป ปฏิบัติมาจนถึงทุกวันนี้ครับ”
เคยมีปัญหาเรื่องสุขภาพ ไม่ได้เขียนรูปนาน 2 ปีกว่า ตรวจพบว่าเป็นไมเกรน และต้องลอกต้อในตา
“2 ปีกว่าครับ สีเข้าจมูกผมจนป่วย เป็นโรคปวดหัว ทุกวันนี้ก็ยังปวดหัวอยู่ครับ ปวดมากบ้าง ไม่มากบ้าง ผมทนได้ครับ ทุกคนมีกรรมติดตัวครับ อันนี้เป็นกรรมของผม ผมก็ยอมรับครับ ตายเมื่อไหร่ก็เลิกปวด ไม่ได้มีปัญหาอะไรครับ
ตอนนั้นต้องลอกต้อในตา ผมอาจจะใช้ตามาก อ่านหนังสือมาก เขียนรูปมาก แต่ลอกแล้วก็ยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ แต่อยู่ในลักษณะที่ทนได้ครับ ผมพยายามนึกว่าผมอายุมาก ไม่ใช่หนุ่ม เราอายุมาก ไปไหนก็แก่แล้ว เดินให้ระวัง ทำงานเท่าที่ทำได้ แต่ก็ยังเขียนรูปทุกวันครับตอนนี้ เพียงแต่ว่าลดเวลาลง เช้า 2 ชั่วโมง บ่าย 2 ชั่วโมง ดูเหมือนว่าจะอยู่ได้ครับ ถ้าผมไม่เผลอไปหกล้มในห้องน้ำ หรือว่าอะไรที่มันทำอันตรายได้ ผมคงอยู่ได้อีกสัก 2-3 ปีครับ”
การเขียนรูปคือการพักผ่อน ทำให้ตนเหมือนได้พักผ่อนทุกวัน ไม่มีวันหยุด วันไหนไม่ได้เขียนรูปจะหงุดหงิด ชีวิตเหมือนขาดอะไรไป
“ตอนนี้ก็เพียงแค่เราลดเวลาลงไปให้น้อยลง ผมเป็นคนแปลกครับ ถ้าไม่ได้เขียนรูป มันเหมือนขาดอะไรก็ไม่รู้ เวลา 09.30 น. - 10.00 น. ผมต้องวาดรูปแล้ว แล้วพักตอนเที่ยงทานข้าว แล้วเวลา 13.30 น. ก็เขียนรูปถึงเวลา 16.00 น. แล้วก็เลิก ก็มีความสุขดีครับ เราอย่าไปคิดว่าเราแข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน เราต้องเจียมเนื้อเจียมตัว ว่าเราทำงานเท่าที่คนแก่เขาทำได้ ไม่หักโหมมาก
ข้อสำคัญคือพยายามนึกถึงว่าเราอายุ 87 ปี แต่เพื่อนเราหลายคนไปแล้ว บางคนนั่งรถเข็น บางคนนอนติดเตียง เราดีหนักหนาแล้ว ผมถือว่าผมได้เปรียบเพื่อนฝูงแล้วครับ และยังถือว่าผมเป็นลูกศิษย์อาจารย์ศิลป์ พีระศรี ที่ยังมีชีวิตอยู่ เพราะตอนนี้ลูกศิษย์อาจารย์ศิลป์ ที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ทราบว่ายังเหลือถึง 10 คนหรือเปล่า ผมก็โชคดีครับ ผมถือว่าการเขียนรูปคือการพักผ่อน เพราะฉะนั้นผมพักผ่อนทุกวัน ไม่มีวันหยุดครับ วันไหนไม่ได้เขียนรูป ผมจะหงุดหงิด”
นักร้องชื่อดัง “ป๊อด ธนชัย อุชชิน” หรือ “ป๊อด โมเดิร์นด็อก” เป็นอีกคนที่ชื่นชอบภาพเขียนของอาจารย์ ซื้อผลงานไปหลายชิ้น
“พี่ป๊อดเป็นคนน่ารักครับ เขาคุ้นเคยกับลูกชายผม แล้วเขาก็ชอบรูปผม เขาช่วยซื้อไปเยอะเหมือนกันครับ เขาบอกเขาจะต้องมาหา มางานพ่อให้ได้(มาร่วมพิธีเปิดนิทรรศการ วันที่ 9 ส.ค.2568) เขาอยู่ภูเก็ต เขาก็นั่งเครื่องบินมาเลย เขาชอบรูปผม เดือนที่แล้วเขาก็ไปซื้อรูปที่บ้าน ป๊อดเป็นคนดีครับ เขาแวะมาเยี่ยมเยียนผมบ่อยๆ ไปเชียงใหม่มีโอกาสก็จะแวะมาครับ”
รวมถึงพิธีกรชื่อดัง “ต๋อย ไตรภพ ลิมปพัทธ์” ก็เป็นแฟนตัวยงของอาจารย์
“อาต๋อย ไปเจอกันที่เสถียรธรรมสถาน ผมไปเขียนรูป แล้วต๋อยเขาไปพักผ่อน ก็คุ้นเคยกัน ทักกัน คุยกันธรรมดา เขาบอกบ้านเขาอยู่เชียงราย ผมก็บอกผมไปเชียงรายบ่อย วันหนึ่งผมไปเยี่ยมเขาที่บ้าน แล้วเขาชอบรูปผม ก็บอกว่าอาจารย์เอารูปมาขายให้ผมบ้างสิ แล้วมีรูปอยู่ชุดหนึ่ง ที่เคยประดับอนุสาวรีย์สมเด็จย่าอยู่ 7 รูป คุณต๋อยเขาก็ซื้อหมดครับ เขาบอกว่ามีคนให้รูปผมเยอะ ผมก็เอาแต่คว่ำหน้าไว้ แต่เอารูปของอาจารย์แขวนไว้รอบบ้านเลย ที่สำคัญคือผนังบ้านเขามีใหญ่ๆ อยู่ 2 ผนัง เขาบอกว่าเตรียมเอารูปของผมมาแขวน แล้วผมไม่ให้สักที เขาก็คอยอยู่สัก 3-4 ปีได้ ก็ถามว่าพี่จรูญจะเมตตาผมหรือยัง ผนังยังว่างอยู่นะ ผมรออยู่ ผมก็เอาก็เอาวะ ขายก็ขาย ความจริงมันเป็นรูปที่ผมชอบนะ
แล้ว เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ เขาเคยบอกผมว่า พี่จรูญ รูปดีๆ ของพี่มีเยอะ อย่าเก็บไว้ในบ้าน ต้องขายให้คนอื่นไป เขาจะได้ไปรักษา เขารักษาดีกว่าพี่นะ รูปพี่จะได้อยู่ห้องแอร์ จะได้โชว์ ถ้าแขวนอยู่ในบ้านพี่ จะไม่มีใครได้ดูเลย พี่ดูคนเดียวไม่เบื่อเหรอ รูปดีๆ ต้องไปอยู่ให้คนอื่นเขาชื่นชม ผมก็บอกว่าเออจริง คนเขียนได้แต่เขียน แต่รูปมันควรไปอยู่ที่โอ่โถง ผมก็เลยตัดใจขาย ขายไปแล้วก็ดูดีครับ เคยไปเยี่ยมรูปเราก็ดูอยู่อย่างมีความสุข มันเหมือนมีชีวิต เราเป็นคนสร้าง ผลิตขึ้นมาเหมือนลูก เราต้องรัก ถ้าลูกไปอยู่ในที่ดีๆ เราก็มีความสุข ผมคิดแค่นี้ ก็เลยขายไปบ้าง แต่ผมแก่แล้วก็เลยให้ลูกช่วยดูแลเรื่องนี้แทนครับ”
ความตั้งใจของอาจารย์ คืออยากจะเขียนรูปไปจนกว่าจะไม่มีเรี่ยวแรง
“ครับ ถ้าผมยังเขียนได้ ผมจะเขียนครับ ยกเว้นว่าผมจะต้องติดเตียง อันนั้นก็ไปว่ากันไป ก็อยากฝากให้ไปชมกันเยอะๆ ครับ นิทรรศการแสดงผลงานศิลปะ The Journey of Colors ที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะไทยร่วมสมัย MOCA BANGKOK จัดถึงวันที่ 21 กันยายน นี้ โอกาสที่ผมจะจัดแสดงงานใหญ่ๆ ไม่มีแล้วนะครับ”
