ต้องบอกว่าเป็นหนังอีกเรื่องที่เศร้าสะเทือนอย่างถึงที่สุด สำหรับผลงานจากฮ่องกงเรื่องนี้ที่สร้างปรากฏการณ์มากมายในปีที่เข้าฉายในบ้านเกิด 2566 ฟังมาว่า รอบฉายบางรอบ คนดูในโรงถึงกับต้องหลั่งน้ำตาให้กับเรื่องราวในหนังกันอย่างกลั้นไม่อยู่
Time Still Turns the Pages พาเราไปเปิดดูบาดแผลที่ซ่อนเร้นในบ้านเรือนหลายหลัง ผ่านการเลี้ยงดูและความสัมพันธ์ภายในครอบครัว ดำดิ่งสู่ห้วงลึกของจิตใจเด็กคนหนึ่งที่แบกรับความคาดหวังอันหนักอึ้งจากผู้เป็นบิดา ความกดดันที่ไร้ซึ่งความเข้าใจ กลายเป็นโซ่ตรวนที่พันธนาการดวงวิญญาณน้อย ๆ ให้จมดิ่งลงสู่ห้วงเหวแห่งความโดดเดี่ยวและความสิ้นหวัง ตัวละครเด็กในเรื่องกลายเป็นตัวแทนของเสียงกรีดร้องที่ไม่มีใครได้ยิน เป็นภาพสะท้อนของความเปราะบางที่ผู้ใหญ่หลายคนมองข้ามไปอย่างไม่ตั้งใจ หรือบางทีก็อาจจะเป็นความตั้งใจที่แฝงไปด้วยความปรารถนาดีที่ผิดทิศผิดทาง
เรื่องราวโดยย่อเล่าเรื่องครูหนุ่มที่บังเอิญพบจดหมายลาตายปริศนาในห้องเรียน ซึ่งเดาว่าน่าจะเป็นจดหมายของนักเรียนคนหนึ่งของเขา ขณะเดียวกันจดหมายฉบับดังกล่าวได้ทำให้ความทรงจำวัยเด็กอันบอบช้ำของครูหนุ่มหวนกลับมาอีกครั้ง เขาจะทำอย่างไรเพื่อจะเยียวยาทั้งตัวเองและจิตใจที่เปราะบางของนักเรียนคนนั้น
นิค เฉิก ผู้กำกับผู้เปี่ยมด้วยวิสัยทัศน์ ได้ใช้ภาษาภาพที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง ในทุก ๆ เฟรมของภาพยนตร์ล้วนสื่อสารความรู้สึกที่อัดอั้น ไม่ว่าจะเป็นฉากห้องเรียนที่ดูคับแคบ ราวกับขังเด็ก ๆ ไว้ในกรอบของกฎระเบียบที่ไร้ซึ่งชีวิตชีวา หรือภาพของบ้านที่ดูเหมือนเป็นที่พึ่งพิง แต่กลับกลายเป็นสนามรบทางอารมณ์ ฉากการเผชิญหน้าระหว่างพ่อกับลูกถูกนำเสนออย่างสะเทือนอารมณ์และเฉียบคมราวกับมีดที่กรีดลงบนใจ การแสดงอันเป็นธรรมชาติของนักแสดงเด็กทำให้เราสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่แท้จริง ราวกับว่าพวกเขาไม่ใช่แค่กำลังแสดง แต่กำลังถ่ายทอดเรื่องราวของตนเองออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ
Time Still Turns the Pages โดดเด่นและได้รับการยกย่องอย่างสูง จนกระทั่งคว้ารางวัลมามากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้กำกับ “นิค เฉิก” ที่ชนะเลิศรางวัล “ผู้กำกับหน้าใหม่ยอดเยี่ยม” จาก 3 เวทีใหญ่ทั้ง “ม้าทองคำ ครั้งที่ 60”, “เอเชียนฟิล์มอวอร์ดส์ ครั้งที่ 17” และ “ฮ่องกงฟิล์มอวอร์ดส์ ครั้งที่ 42” หนังเรื่องนี้เคยเข้ามาฉายที่ไทยใน “งานภาพยนตร์ฮ่องกงพลังหนังขับเคลื่อนเมืองกับนิทรรศการหนังฮ่องกง” (Hong Kong Film Gala Presentation & Dynamic Cityscapes of Hong Kong Films) ที่โรงภาพยนตร์ House สามย่าน และตอนนี้มีให้รับชมทางเน็ตฟลิกซ์
ปัจจัยหนึ่งซึ่งทำให้หนังเรื่องนี้ชนะใจผู้ชมและเวทีรางวัลต่าง ๆ ไม่ใช่เพียงแค่ความสามารถในการเล่าเรื่องที่น่าติดตาม แต่ยังรวมถึงความกล้าหาญที่จะหยิบยกประเด็นที่ละเอียดอ่อนอย่างภาวะซึมเศร้าและการฆ่าตัวตายในเด็ก ซึ่งเป็นผลกระทบจากการเลี้ยงดูแบบ “เน้นผลลัพธ์” มาตีแผ่
สังคมยุคใหม่มักให้คุณค่ากับความสำเร็จเชิงประจักษ์ ละเลยที่จะมองลึกไปถึงสุขภาพจิตและสภาวะทางอารมณ์ของเด็ก ๆ ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงเป็นเสมือนกระจกที่สะท้อนให้เห็นว่า “ความรัก” ที่ปราศจาก “ความเข้าใจ” และ “การรับฟัง” อย่างเข้าอกเข้าใจ อาจกลายเป็นพิษร้ายที่ทำลายอนาคตของใครบางคนไปตลอดกาล
ในท้ายที่สุด Time Still Turns the Pages ไม่ได้ต้องการจะตัดสินว่าใครผิดใครถูก แต่เป็นการชวนให้เราทุกคนตั้งคำถามว่า ในฐานะพ่อแม่ ผู้ปกครอง หรือแม้แต่ในฐานะสมาชิกของสังคม เราได้สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโตทางจิตใจของเด็ก ๆ ได้อย่างแท้จริงแล้วหรือยัง?
บทสรุปของภาพยนตร์อาจไม่ได้ให้คำตอบที่ตายตัว แต่ทว่ามันทิ้งร่องรอยของความหวังไว้บาง ๆ ราวกับแสงรุ่งอรุณที่สาดส่องเข้ามาหลังพายุโหมกระหน่ำ เป็นเครื่องเตือนใจว่า แม้เวลาจะยังคงหมุนหน้ากระดาษชีวิตไปเรื่อย ๆ แต่เราทุกคนล้วนมีโอกาสที่จะเขียนบทต่อไปให้แตกต่างจากเดิม ให้เป็นบทที่มีความรัก ความเข้าใจ และการยอมรับอย่างแท้จริงอยู่เคียงข้างไปตลอดทาง
ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงไม่ใช่เพียงแค่ “จดหมายจากชายตัวน้อย” แต่เป็นจดหมายฉบับสำคัญที่ส่งถึงหัวใจของผู้ใหญ่ทุกคน ให้เราหันกลับมาเปิดใจรับฟังเสียงเล็ก ๆ ที่อาจกำลังร่ำไห้อย่างเงียบงันอยู่ภายในกำแพงของบ้านแต่ละหลัง ก่อนที่หน้ากระดาษแห่งชีวิตจะถูกปิดลงด้วยความเสียใจที่ไม่มีวันหวนคืน
