หลังจากปิดกล้องไปตั้งแต่ปี 2018 และเงียบหายไปนานถึง 9 ปีเต็ม Sons of the Neon Night หรือ บุตรแห่งแสงนีออน ก็ได้ฤกษ์เปิดตัวครั้งแรกในโลกอย่างเป็นทางการที่เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ (Cannes Film Festival) ปี 2025 ท่ามกลางเสียงฮือฮาและความคาดหวังจากวงการภาพยนตร์ทั่วโลก โดยฉายรอบปฐมทัศน์ในสาย Midnight Screenings เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคมที่ผ่านมา
ผลงานชิ้นนี้คือภาพยนตร์แนวอาชญากรรมดิสโทเปียจากฮ่องกง ที่ถูกพูดถึงอย่างมากตั้งแต่เริ่มถ่ายทำในปี 2017 ด้วยความทะเยอทะยานของผู้กำกับ นักเขียนบท และโปรดิวเซอร์ร่วมอย่าง จูโน มัก ผู้ซึ่งเคยฝากฝีมือไว้ในภาพยนตร์สยองขวัญเหนือจริง Rigor Mortis (2013)
นำแสดงโดยนักแสดงแถวหน้าของฮ่องกงที่รวมตัวกันอย่างไม่ธรรมดา ไม่ว่าจะเป็น จินเฉิงอู่ – กลับมารับบทนำในบทลึกลับหลังหายหน้าไปนานจากหนังฮ่องกง, หลิวชิงเหวิน – ตีบทตำรวจผู้มุ่งมั่นจับอาชญากรจนเลือดตาแทบกระเด็น, เหลียงเจียฮุย – รับบทพ่อผู้สร้างจักรวาลอาชญากรรมแต่ต้องมองดูลูกชายทำลายมัน, กู่เทียนเล่อ – ในบทนักฆ่าผู้มีจิตสำนึก และ เกาหยวนหยวน – เสริมมิติอารมณ์ให้เรื่องราวด้วยบทบาทที่ทั้งอ่อนโยนและแข็งแกร่ง
เรื่องราวเปิดฉากใน “ฮ่องกงกลางหิมะ” ที่เปลี่ยนบรรยากาศของเมืองให้กลายเป็นภาพเหนือจริง เมื่อเกิดเหตุระเบิดกลางย่านคอสเวย์เบย์ ส่งผลให้เศรษฐีวงการยาเสียชีวิตอย่างปริศนา และจุดประกายสงครามระหว่างกลุ่มค้ายาเสพติดกับฝ่ายตรงข้ามที่พยายามขัดขวางอิทธิพลใต้ดิน
ในศูนย์กลางของความวุ่นวาย คือบุตรชายคนสุดท้องของเจ้าพ่อวงการยา ที่ตัดสินใจตัดขาดจากมรดกบาปของครอบครัว พร้อมประกาศสงคราม “เพื่อสร้างโลกที่ไร้ยาเสพติด” การกระทำของเขานำไปสู่ความโกลาหลทั้งในโลกบนดินและใต้ดิน
ผู้ชมจะได้เห็นภาพของฮ่องกงที่แปลกตา เต็มไปด้วยหิมะหนาทึบ เส้นแบ่งระหว่างความดีและความชั่วพร่าเลือนในท่ามกลางควันปืน แสงนีออน และความสิ้นหวังที่กัดกินจิตใจผู้คน
จูโน มัก เล่าว่า แรงบันดาลใจในการสร้างหนังเรื่องนี้มาจากความต้องการจะพลิกโฉมภาพยนตร์แนวอาชญากรรมแบบเดิม ๆ ให้กลายเป็นโลกใหม่ที่เต็มไปด้วยสัญลักษณ์และการตั้งคำถามต่อสังคม “ผมสามารถเลือกทำภาคต่อของ Rigor Mortis ได้ง่ายกว่า แต่ผมต้องการเดินทางสู่ความไม่รู้ เพื่อค้นหาความจริงของตัวเองในฐานะผู้กำกับ” มัก กล่าว
แม้จะถ่ายทำเสร็จตั้งแต่ปี 2018 แต่ภาพยนตร์กลับไม่สามารถเข้าสู่กระบวนการตัดต่อและซีจีได้ทันตามแผน เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้โปรเจกต์ต้องหยุดชะงักอยู่หลายปี
เหลียงเจียฮุย หนึ่งในนักแสดงนำกล่าวถึงความรู้สึกหลังได้ดูภาพยนตร์ที่เสร็จสมบูรณ์ว่า “มันเหมือนกับผมได้เจอตัวละครของตัวเองอีกครั้งในกระจกคนละบาน เวอร์ชันนี้ให้ความรู้สึกใหม่ทั้งทางกายภาพและจิตใจ” เขายังเสริมว่า แม้หนังจะถ่ายทำในฮ่องกงและสร้างฉากจากความเป็นเมืองนี้ แต่เนื้อหากลับเป็นสากล พูดถึงความเร่งรีบ ความแตกแยก และการต่อสู้ในชีวิตประจำวันของผู้คนทั่วโลก
ภาพเบื้องหลังที่น่าทึ่ง: ฮ่องกงหิมะตก, กลางแดดร้อน 30 องศา
การสร้างฉากหิมะในเมืองร้อนอย่างฮ่องกงไม่ใช่เรื่องง่าย จูโน มัก เปิดเผยว่า 80% ของหิมะในเรื่องเป็นของจริงที่จัดทำขึ้นในกองถ่าย ส่วนที่เหลือใช้เทคนิคดิจิทัล ทั้งยังต้องเจอกับสภาพอากาศสุดขั้ว นักแสดงต้องสวมโค้ทหนาหลายชั้นในขณะที่อุณหภูมิภายนอกอยู่ที่ 30°C ก่อนที่จะเดินทางไปถ่ายทำฉากหิมะจริงในประเทศเกาหลีใต้ช่วงฤดูหนาวที่หนาวจัด
“มันคือการถ่ายทำที่ทรหดที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตผม” เหลียงเจียฮุย กล่าว “แต่ผมก็เห็นถึงความอดทนและความมุ่งมั่นของ มัก ที่ไม่เคยลดละเลยสักวัน”
หนึ่งในองค์ประกอบที่ทำให้ Sons of the Neon Night โดดเด่น คือดนตรีประกอบจาก เรียวอิจิ ซากาโมโตะ นักแต่งเพลงชื่อดังชาวญี่ปุ่นผู้ล่วงลับ การทำงานร่วมกันระหว่าง มัก และซากาโมโตะใช้เวลา 6 ชั่วโมงในโตเกียว “เขาชอบความเยือกเย็นของหนังเรื่องนี้ มันสอดคล้องกับความสุนทรีย์ที่เขาสนใจในช่วงปลายชีวิต” มัก เล่าด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความเคารพ
เสียงสะท้อนจากคานส์: โรงภาพยนตร์ยังสำคัญเสมอ
แม้ยุคสตรีมมิ่งจะมาแรง แต่ทั้ง มัก และนักแสดงนำต่างยืนยันว่า ประสบการณ์ดูหนังในโรงยังมีความสำคัญ “ในโรงหนัง คนร้อยคนสามารถหายใจร่วมกันในฝันเดียวของผู้กำกับ” เหลียงเจียฮุย กล่าวอย่างกินใจ “เราจำเป็นต้องรักษาสิ่งนี้ไว้ในยุคที่โลกหมุนเร็วกว่าความรู้สึก”
