ถึงตอนนี้เชื่อแน่ว่า หลายคนคงลิสต์ผลงานชิ้นนี้ไว้ในรายการซีรีส์ที่ดีที่สุดอีกเรื่องหนึ่งของปี 2025 ไปเป็นที่เรียบร้อย และถ้าจะให้กล่าวให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นก็คงต้องบอกว่า นี่คือซีรีส์ที่ยอดเยี่ยมอีกเรื่องหนึ่งที่เน็ตฟลิกซ์เคยสร้างมา ไม่ว่าจะมองในเชิงคุณค่าของการสร้างสรรค์ทางด้านเทคนิค การแสดง รวมไปจนถึงคุณค่าในเชิงเนื้อหาที่มีความลึกซึ้ง ชวนให้ใคร่ครวญขบคิด และสะเทือนใจสูง
จากเรื่องราวจุดเริ่มต้นที่เด็กชายวัย 13 ปีตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าฆ่าเพื่อนหญิงร่วมชั้นเรียน ซึ่งเด็กชายยืนยันหนักแน่นว่าเขาไม่ได้ทำ อย่างไรก็ตาม Adolescence ไม่ใช่ซีรีส์แนวสืบสวนสอบสวนที่โฟกัสเรื่อง Whodunit (ใครเป็นคนทำ) หรือ Howdunit (ทำอย่างไร) ตามหลักการพื้นฐานสองข้อแรกของงานแนวนี้ แต่มีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าในการเชิญชวนคนดูให้ร่วมกันไขปริศนาที่เกี่ยวกับ Whydunit (เพราะอะไรถึงทำ หรือ เหตุผลที่ลงมือ) ซึ่งเป็นการสำรวจมูลเหตุเบื้องลึกเบื้องหลัง หรือ “แรงจูงใจ” (Motive) ในการกระทำของตัวละคร
และนั่นก็ทำให้เราพบกับเงื่อนปมที่ซับซ้อนและโยงใยพัวพันกันอยู่ดูยุ่งเหยิง ซึ่งจะว่าไปก็ล้วนเป็นปัญหาและความจริงอันน่าเจ็บปวดของสังคมที่เกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบันและคงจะต่อเนื่องไปในอนาคต เหมือนฝันร้ายที่จะตามหลอกหลอนไม่เลิกรา...
ซีรีส์เรื่องนี้ได้รับการสร้างสรรค์โดยสองครีเอเตอร์ “สตีเฟน เกรแฮม” และ “แจ็ค ธอร์น” แต่คนที่สมควรจะพูดถึงก่อนเป็นอันดับแรกก็คงหนีไม่พ้น “ฟิลิป บาแรนตินี” ผู้ทำหน้าที่กำกับซีรีส์เรื่องนี้ทั้งสี่ตอน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความทะเยอทะยานมุ่งมั่นแบบขั้นสุดของผู้กำกับคนนี้
ฟิลิป บาแรนตินี คือดารานักแสดงชาวอังกฤษที่โลดแล่นอยู่บนจอแก้วและจอเงินตั้งแต่ปี 1998 จนถึงปัจจุบันเขาก็ยังรับงานแสดงอยู่บ้าง อย่างไรก็ตาม หลังจากเป็นดาราหน้ากล้องมานานกว่า 20 ปี พร้อมกับสะสมบ่มเพาะประสบการณ์ผ่านการสังเกตและเรียนรู้จากการทำงานในกองถ่าย บาแรนตินีขยับโหมดเข้าสู่การเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ด้วยหนังสั้นเปิดตัวถึง 2 เรื่องในปี 2019 คือ Seconds Out และ Boiling Point
ทั้งนี้ ต้องบอกว่า Boiling Point นั้นเปรียบเสมือนต้นธารที่ไหลยาวต่อเนื่องมาอีก 4-5 ปี เพราะนอกจากหนังสั้นต้นฉบับ 22 นาที ต่อมาในปี 2021 บาแรนตินีก็เอามาขยายเป็นหนังยาว 94 นาที ก่อนจะนำมาทำเป็นมินิซีรีส์ในปี 2023
หนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่สร้างความฮือฮาเกรียวกราวเป็นที่กล่าวขวัญถึง คือเรื่องของเทคนิคการถ่ายทำที่บาแรนตินีจำเพาะเจาะจงเลือกใช้การถ่ายทำแบบ One Shot หรือ Long Take ตลอดทั้งเรื่อง นับตั้งแต่หนังสั้น Boiling Point ตามด้วย Boiling Point เวอร์ชันหนังยาวซึ่งก้าวขึ้นมาอยู่ในอันดับที่สองของภาพยนตร์ทั่วโลกที่มีการถ่ายทำแบบ Long Take ยาวที่สุด จะเป็นรองก็แต่เพียง Russian Ark (2002) ผลงานของผู้กำกับ “อเล็กซานเดอร์ โชคุรอฟ” ที่ถ่าย Long Take ตั้งแต่ต้นจนจบด้วยความยาว 96 นาที
แน่นอนว่า ใน Boiling Point เวอร์ชันซีรีส์ บาแรนตินีก็ยังใช้เทคนิค One Shot ในการถ่ายทำแต่ละตอน เช่นเดียวกับผลงานซีรีส์เน็ตฟลิกซ์เรื่อง Adolescence (วัยลน คนอันตราย) เราก็จะได้เห็นความแพรวพราวของ One Shot ที่บาแรนตินีมุ่งมั่นปั้นมาอย่างสุดฝีมือ โดยมี “แมทธิว ลูอิส” ที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นช่างภาพคู่ใจเขามาตั้งแต่ Seconds Out ร่วมสร้างประสบการณ์น่าประทับใจในด้านงานภาพให้กับคนดูผู้ชม
ถ้าไม่ทะเยอทะยานจริง คงทำงานที่ท้าทายแบบนี้ออกมาได้ยาก และจะทำให้สวยสดงดงามแบบไร้รอยตำหนินั้น ยิ่งยากไปอีกหลายขั้น เพราะต้องใช้พลังงานมหาศาล ตั้งแต่งานสร้างทุกอย่างต้องผ่านการวางแผนและเตรียมการไว้อย่างดีเยี่ยมและแม่นยำก่อนเสียงชัตเตอร์จะดังขึ้น ทุกอย่างต้องพร้อมสรรพ ลื่นไหลและต่อเนื่อง ในส่วนนักแสดงก็ต้องสามารถถ่ายเทและรับส่งบทกัน หรือพลิกเปลี่ยนอารมณ์สีหน้าท่าทางได้อย่างแนบเนียนเพื่อให้คิวทุกคิวก้าวเดินไปข้างหน้าได้อย่างไม่ติดขัด
...ภาพของมุมกล้องจากภาคพื้นดิน ค่อย ๆ บินขึ้นสู่ผืนฟ้าแล้วส่องลงมาที่ด้านล่างในมุมกว้าง เผยให้เห็นอาคารบ้านเรือนและความเป็นไปของชีวิตผู้คนในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ที่ข่าวสารแห่งการสูญเสียกำลังฟุ้งกระจายไปทั่วเมือง ก่อนที่มุมกล้องจะค่อย ๆ เลื่อนคล้อยลอยต่ำลงสู่ภาคพื้นดินอีกครั้งด้วยการรับส่งผ่านโดรน ช็อตแต่ละช็อตดำเนินไปอย่างนุ่มนวลละเมียดละไมราวกับการร่ายรำที่อ่อนช้อยงดงาม...
นี่เป็นเพียงหนึ่งตัวอย่างที่น่าประทับใจของความประณีตในการถ่ายทำ ขณะที่ตลอดทั้งเรื่องในแต่ละตอน กล้องจะเดินตามตัวละครไปทุกหนทุกแห่งราวกับว่าไม่อยากให้คนดูพลาดช็อตสำคัญแม้เพียงช็อตเดียว ในอีพีที่สองซึ่งถ่ายทำในโรงเรียนนั้นที่เต็มไปด้วยความสับสนอลหม่าน ต้องยอมรับนับถือจากใจจริงเลยว่า สามารถถ่ายทำได้น่าทึ่งมาก โดยเฉพาะฉากตำรวจวิ่งไล่ตามเด็ก ดูแล้วก็ยอมใจช่างกล้องจริง ๆ
ทั้งนี้ นอกเหนือไปจากเทคนิคการถ่ายทำ ส่วนของนักแสดงก็พรักพร้อมสำหรับการถ่ายทำอย่างเต็มที่ และคนที่ถ้าไม่พูดถึงจะถือว่าพลาดอย่างรุนแรงก็คือ “โอเว่น คูเปอร์” นักแสดงหนุ่มน้อยผู้รับบทเจมี่ ที่แม้จะเป็นการแสดงครั้งแรก แต่กลับตีบทแตกอย่างเหลือเชื่อ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การประชันบทบาทระหว่างเด็กหนุ่มกับ “เอริน โดเฮอร์ตี” (จากซีรีส์ The Crown) มอบประสบการณ์ที่ล้ำเลิศราวกับเรากำลังรับชมละครเวทีชั้นยอด ประเดี๋ยวตึงเครียด ประเดี๋ยวผ่อนคลาย แล้วสลับไปมาระหว่างสองขั้วอารมณ์ดั่งว่าส่งเสียงท้าทายต่อความมั่นคงของจิตประสาทผู้คน ขณะที่เอรินแสดงความเก๋าแบบผู้มาก่อนบนเส้นทางนักแสดง คูเปอร์ก็นำเสนอการแสดงแบบผู้มาใหม่และสดทรงพลังไม่เกรงกลัวรุ่นน้าแม้แต่น้อย
ฟังว่า สตีเฟน เกรแฮม ประทับใจการแสดงของคูเปอร์ตั้งแต่เขามาแคสติ้งครั้งแรกจนพูดกับ “แจ็ค ธอร์น” ว่าบทเจมี่ต้องหนุ่มน้อยคนนี้แหละ และเขาก็เหมือนได้เพชรเม็ดงามมาจริง ๆ ทั้งนี้ ด้วยผลงานที่โดดเด่นเข้าตา ทำให้คูเปอร์พร้อมจะมีงานหลั่งไหลเข้ามาอีกไม่น้อยอย่างแน่นอน อย่างในปีหน้า 2026 เขาจะได้เล่นหนังที่สร้างมาจากนวนิยายเรื่อง Wuthering Heights ประกบนักแสดงชื่อดังอย่าง “มาร์โก้ ร็อบบี้” และ “เจคอบ เอลอร์ดี” (จากเรื่อง Saltburn 2023) นับเป็นการประกาศอย่างชัดแจ้งว่า เขาคือดาราหน้าใหม่ที่มีดีด้านการแสดงอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ดี นอกจากสองคนที่กล่าวมา ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า นี่คือการฉายบทบาทการแสดงที่ดีที่สุดอีกครั้งของ “สตีเฟน เกรแฮม” ที่หลายคนคงชอบเขาตั้งแต่รับบท “ทอมมี่ผู้โง่เขลา” ในหนังตลกร้ายของ “กาย ริชชี่” เรื่อง Snatch (2000) และไม่มากไม่มาย เราสามารถกล่าวได้ว่า เกรแฮมคือนักแสดงคู่บุญของบาแรนตินี เพราะร่วมงานกันมาตั้งแต่ Boiling Point จนถึง Adolescence (ที่เขาร่วมเขียนบทด้วยทั้งสองเรื่อง) ในการรับบทเอ็ดดี้ เกรแฮมได้พิสูจน์เป็นที่ประจักษ์ว่าเขาคือศิลปินนักแสดงมืออาชีพโดยสมบูรณ์ ซีรีส์เปิดโอกาสให้เขาได้แสดงอย่างเต็มที่ และเขาก็ถ่ายทอดมันออกมาได้อย่างเพอร์เฟคต์ที่สุด ถึงจุดที่ต้องเปิดเผยความแตกสลาย เขาก็สื่อสารได้ชวนรู้สึกร้าวรานหัวใจที่สุด
Adolescence ถ้าแปลตรงตัวก็คือ “วัยรุ่น” แต่ในเชิงความหมายที่มากกว่านั้น มันอาจหมายถึง ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านหรือช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สามารถจะพลิกไปด้านใดด้านหนึ่ง ดีหรือร้ายก็เป็นได้ ซึ่งเนื้อหาในซีรีส์เรื่องนี้เชิญชวนให้คนดูร่วมกันพิจารณาว่า ในช่วงเวลาแบบนี้มีอะไรบ้างที่สามารถส่งผลหรือส่งอิทธิพลต่อการกระทำในช่วงเปลี่ยนผ่านนั้น
ซีรีส์พาเราลงไปสำรวจลึกปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ เริ่มตั้งแต่สภาพสังคมในโรงเรียน ซึ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่า มันก็เหมือนกับข่าวที่เราเห็นอยู่บ่อยครั้ง นั่นคือมันเหมือนศูนย์กลางที่จะเกิดการกลั่นแกล้งทางกายหรือบูลลี่กันด้วยคำพูดคำจาได้ทุกเมื่อตามประสาวัยรุ่นวัยเรียน “มิช่า” หนึ่งในตำรวจนักสืบฝีมือดีถึงกับกล่าวออกมาอย่างน่าสิ้นหวังว่า มันก็กลิ่นเหม็นอย่างนี้เหมือนกันทุกโรงเรียนนั่นแหละ แม้เธอจะพูดถึงกลิ่นที่ได้รับผ่านจมูก แต่ในความหมายเชิงลึกแล้ว เธอหมายถึงสิ่งเลวร้ายที่มันแฝงตัวอยู่ในโรงเรียนเหมือนกลิ่นที่โชยอยู่ในอณูอากาศ
ทั้งนี้ยังมีเรื่องของความปรารถนาของวัยรุ่นกำลังโตที่ฮอร์โมนพลุ่งพล่านและต้องการเป็นที่ยอมรับ เหมือนกับที่เพื่อนคนหนึ่งของเจมีพูดกับนายตำรวจ “บาสคอม” (แอชลีย์ วอลเตอร์) เกี่ยวกับความป๊อป (หรือ ป๊อปปูลาร์) ในกลุ่มเพื่อน ๆ หรือเพศตรงข้าม ว่าเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับวัยรุ่นอย่างเขา
อีกประเด็นหนึ่งที่จะหลงลืมไม่ได้เลยก็คือ เนื่องจากเหยื่อฆาตกรรมเป็น “หญิง” (แม้จะเป็นเด็กผู้หญิงก็ตาม) และเรื่องของการเหยียดเพศยังคงเป็นประเด็นอยู่เรื่อย ๆ โดยเฉพาะในโซเชียล ซึ่งซีรีส์ก็พยายามซอกซอนสืบค้นเข้าไปว่ามันเกี่ยวข้องหรือไม่ มันมีอิทธิพลแนวคิดแบบชายเป็นใหญ่หรือไม่ โดยพยายามคั้นเอาจากความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูกที่อาจเกิด “ช่องว่าง” มีความเหินห่างระหว่างกัน รวมทั้งความสัมพันธ์พ่อลูกที่อาจเป็นต้นตอบุคลิกลักษณะนิสัยส่งต่อความ Toxic Masculinity หรือพูดง่าย ๆ ก็คือด้านมืดของความเป็นชายแบบสุดโต่งที่คิดว่าตัวเองเหนือกว่าและพร้อมจะใช้ความรุนแรงเข้าจัดการปัญหา (ทั้งที่จริง เบื้องลึกภายใน อาจจะอ่อนแอและเปราะบางเหลือทนก็ตามที)
อย่างไรก็ดี ซีรีส์ยังคงไม่ละเลยที่จะเอ่ยถึงอิทธิพลของโซเชียลมีเดียที่มาพร้อมกับ Social Toxic ซึ่งข้อนี้สำคัญมาก เพราะมันอยู่กับเด็ก ๆ แทบตลอดเวลามากกว่าพ่อแม่เสียด้วยซ้ำ และสำหรับเด็กรุ่นใหม่ ความเป็นไปโลกในโซเชียลได้เข้ามามีอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิดหนักข้อขึ้นทุกวัน สุขหรือทุกข์บ่อยครั้งก็ถูกกำหนดด้วยสิ่งที่ปรากฎในโซเชียล นั่นยังไม่นับรวมการมีวัฒนธรรมความคิดกลุ่มย่อยอีกเป็นจำนวนมากที่พร้อมจะผลักใครสักคนไปสู่ความรู้สึกแปลกแยกและด้อยค่าแบบพังพินาศได้
ดังนั้นแล้ว แม้ว่าพ่อแม่จะบอกว่าหล่อหลอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงลูกเป็นอย่างดี (บางคนถึงขั้นหลงว่า “ลูกฉันเป็นคนดี” แบบที่เป็นข่าว) หรือพยายามเป็นพ่อแม่ที่ดีอย่างถึงที่สุด แต่สุดท้ายแล้วมันยังมีอีกหลายมุมของชีวิตลูกที่บางทีสายตาของพ่อแม่อาจสอดส่องไปไม่ถึง เช่นเดียวกับคำบางคำในโลกโซเชียลที่พ่อแม่ไม่รู้จักหรือตามไม่ทัน แต่มันมีความหมายและอิทธิพลอย่างมากต่อชีวิตลูกที่เป็นวัยรุ่น อย่างกรณีของ “บาสคอม” ที่งงเป็นไก่ตาแตกเมื่อ “ลูกชาย” ของเขาพูดถึงคำคำหนึ่งซึ่งอาจเป็นเบาะแสของเรื่องราว
Adolescence พาเราเข้าไปคลุกวงใน ในสิ่งที่คิดว่าน่าจะเป็นเหตุปัจจัยที่โยงใยไปสู่เรื่องเศร้าสุดสะเทือน ซึ่งคนดูก็จะได้เห็นและได้ใช้ดุลพินิจพิจารณาว่ามันมาจากสาเหตุใด หรือว่าที่จริงแล้ว มันเกี่ยวร้อยเชื่อมโยงถึงกันจนปนเปโดยไม่อาจตัดเหตุปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งออกไปได้ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ทั้งหมดทั้งมวลนั้นก็ทำให้ Adolescence เป็นซีรีส์ที่ทรงพลังในด้านเนื้อหาที่ควรค่าแก่การนำมาขบคิดใคร่ครวญเป็นอย่างยิ่ง
