บนเวทีประกาศรางวัลออสการ์ปีล่าสุด 2024 คนที่ติดตามดูการถ่ายทอดสดในงานประกาศรางวัล ย่อมเห็นช็อตที่น่ารักช็อตหนึ่ง ซึ่งน้องหมาตัวโต ๆ ยกสองขาหน้าทำท่าตบมือ ระหว่างที่โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ ได้รับรางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม ซึ่งเป็นออสการ์ตัวแรกในชีวิตของเขา
โดยเจ้าน้องหมาตัวที่ว่านั้น เป็นพันธุ์บอร์เดอร์ ดอลลี่ มีชื่อว่า “เมสซี” แม้ว่าในเวลาต่อมา จะมีการเฉลยว่า ท่าทางตบมือนั้นจะเป็นการแสดงซึ่งมีการเอาขาและเท้าหมาปลอมขึ้นมาแล้วให้คนนอนถือในตำแหน่งใต้เก้าอี้ที่น้องหมานั่งอยู่ แล้วยกขึ้นตบ ทำทีว่า น้องหมาตบมือด้วยสองขาหน้าของตัวเองจริง ๆ เมื่อมองจากมุมไกล ถือว่าเป็นภาพที่เนียนมากภาพหนึ่ง
แต่ถึงอย่างนั้น สำหรับคนที่ได้ดูหนังเรื่อง Anatomy of a Fall ย่อมเห็นความสำคัญอย่างยิ่งยวดของน้องหมาตัวนี้ในฐานะนักแสดงร่วมที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นตัวแปรที่ทำให้เรื่องราวในหนังกระจ่างแจ้ง แม้กระทั่งเทศกาลหนังเมืองคานส์ยังต้องมอบรางวัลพิเศษให้ เป็นรางวัลปาล์มด็อก (Palm Dog) สำหรับ ‘สุนัข’ ที่แสดงหนังได้ยอดเยี่ยม ประจำปี 2023
อย่างไรก็ดี กล่าวสำหรับตัวภาพยนตร์ ก็คว้ารางวัลปาล์มทองคำจากเทศกาลหนังเมืองคานส์เช่นกัน อีกทั้งได้รับรางวัลลูกโลกทองคำ 2 รางวัลใหญ่ ทั้งบทยอดเยี่ยมและหนังภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม ขณะที่บนเวทีออสการ์ 2024 ก็มีชื่อเข้าชิงถึง 5 สาขา และคว้ารางวัลบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยมไปครอง ซึ่งทั้งหมดทั้งมวล ย่อมเป็นการบอกกล่าวอย่างชัดเจนว่า หนังเรื่องนี้ ‘มีดี’ และตอนนี้ก็มีให้ดูแล้วบนเน็ตฟลิกซ์
โดยภาพรวม Anatomy of a Fall มาในรูปแบบของหนัง Courtroom Drama ที่เกี่ยวข้องกับการว่าความในชั้นศาล หนังแบบนี้ถ้าทำถึงก็จะดูสนุกมาก ด้วยการใช้ข้อมูลหลักฐานและปฏิภาณไหวพริบมาต่อสู้กัน ซึ่ง Anatomy of a Fall ถือว่าเป็นหนังแนวนี้ที่ทำได้ดีมาก ๆ อีกเรื่องหนึ่ง อย่างไรก็ดี ถึงแม้จะดูเป็น Courtroom Drama แต่ในเชิงลึก ระหว่างการพิจารณาสอบสวนคดีความ หนังเรื่องนี้ได้ชำแหละความสัมพันธ์ในครอบครัว ชีวิตคู่ ออกมาให้เราได้เห็นอย่างน่าเศร้าสะเทือนใจ ซึ่งถือเป็นเสาหลักด้านเนื้อหายิ่งกว่าประเด็นอื่นใด
เรื่องของเรื่องเริ่มต้นขึ้นเมื่อมีนักศึกษาสาวคนหนึ่งมาขอสัมภาษณ์ “ซันดร้า” เพื่อนำข้อมูลไปประกอบในการทำวิทยานิพนธ์ ซันดร้าเป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียง เธออาศัยอยู่กับสามีในพื้นที่ห่างไกลจากชุมชนซึ่งมีหิมะขาวโพลนปกคลุมแทบทุกวัน และในวันนั้น ขณะที่นักศึกษาสาวสวยกำลังสัมภาษณ์ซันดร้า ฝ่ายสามีของเธอคือ แซมมวล ซึ่งทำงานอยู่ชั้นบนตรงห้องใต้หลังคา ก็เปิดเพลงเสียงดังกระหึ่มจนรบกวนการสัมภาษณ์ จนกระทั่งทั้งสองคนตัดสินใจไว้ค่อยนัดพบเจอกันวันหลัง
อย่างไรก็ดี พอนักศึกษาสาวคนดังกล่าว กลับไปได้ไม่เท่าไหร่ ลูกชายคนเดียวของบ้านอย่างแดเนียล ก็พบว่า พ่อของเขานอนตายอยู่หน้าบ้านในลักษณาการตกลงมาจากห้องชั้นบน และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นที่นำไปสู่การสืบสวนสอบอย่างเอาเป็นเอาตาย โดยทุกสายตาและหลักฐานต่างพยายามพุ่งเป้าไปที่ซันดร้าในฐานะฆาตกรที่ฆ่าสามีของตัวเอง แต่ความจริงจะเป็นเช่นไร นี่คือสิ่งที่หนังนำพาเราเดินทางไปตลอดความยาวมากกว่า 2 ชั่วโมงเพื่อหาบทสรุปร่วมกัน
ถ้ามองในมุมของการเป็นหนังสืบสวนสอบสวน ก็ต้องยอมรับว่า นี่คือผลงานที่ดึงดูดคนดูได้อยู่หมัด ยิ่งหนังดำเนินไป ยิ่งสร้างความสงสัยและใคร่รู้ยิ่งขึ้นไปอีก ใครคิดว่าเดาได้ บอกเลยว่ามีจุดเซอร์ไพรส์รออยู่แน่นอน เพราะสิ่งที่หนังกำลังพูดจริง ๆ ไม่ใช่ว่าใครฆ่าใคร แต่คือ ทำไมหรือเพราะสาเหตุอะไรที่นำไปสู่เหตุการณ์ที่น่าเศร้านี้ ซึ่งหนังก็ค่อย ๆ ไล่เลียงให้เราลำดับความและคิดตามอย่างเป็นขั้นเป็นตอนและแนบเนียนจนสัมผัสได้ถึงสิ่งที่คิดว่าน่าจะเป็นต้นตอที่มาหรือสาเหตุแท้จริง
สิ่งที่โดดเด่นมาก ๆ อย่างหนึ่งในหนัง คือไดอะล็อกหรือบทสนทนาซึ่งมันพาเราซอกซอนเข้าไปในรายละเอียดชีวิตของตัวละคร ให้เราใช้เป็นฐานข้อมูลหรือเค้าลางที่จะนำมาสะสางไขคดีว่าแท้ที่จริงมันเกิดอะไรขึ้น ต้องบอกว่า หลายฉากมีบทสนทนาที่ค่อนข้างยาวแต่ทรงพลังทุกถ้อยคำ โดยเฉพาะฉากการโต้เถียงที่นักแสดงสามารถสื่อสาร “พื้นฐานเรื่องราว” ให้เรานำมาปะติดปะต่อเป็นจิ๊กซอว์ไขความจริงได้อย่างดีเยี่ยม
คำถามสำคัญ จึงอาจไม่ได้อยู่ที่ว่า ใครฆ่าใคร หรือไม่ได้ฆ่าใคร แต่อยู่ที่ว่า เราฆ่ากันอย่างไร หรือว่าจริง ๆ แล้ว เราเองต่างก็ฆ่ากันไปเรื่อย ๆ ทีละเล็กทีละน้อย ด้วยยาพิษชนิดพิเศษที่แฝงอยู่ในความสัมพันธ์ หรือไม่อย่างนั้น เราเองต่างก็เป็นเหยื่อและเป็นฆาตกรไปด้วยในขณะเดียวกัน นี่คือความแยบยลอย่างยิ่งที่หนังกระตุ้นให้เราคิด แม้ในห้วงขณะที่บทสรุปในหนังถูกเฉลยไปแล้วในฉากจบ แต่แง่มุมที่หนังนำเสนอ จะทำให้เราไม่จบ และนำมาขบคิดต่อแบบยั่วให้คิด
Anatomy of a Fall หากแปลตรงตัว ก็คงจะได้ความหมายประมาณว่า “กายวิภาคแห่งการร่วงหล่น” ซึ่งก็ตรงกับการตายของแซมมวลผู้เป็นสามีที่ร่วงตกลงมาจากชั้นสูงของบ้าน แต่ในความหมายที่หนังหยิบคำนี้มาใช้เป็นชื่อเรื่อง อาจจะเพราะต้องการสื่อสารถึงสถานการณ์ในครอบครัวชีวิตคู่ที่ค่อย ๆ ถูกกัดกิน ผุกร่อน พังทลายทีละนิด ก่อนจะร่วงหล่นและแหลกสลายในท้ายที่สุด
ถ้อยคำของซันดร้าที่พูดในศาลขณะถูกไต่สวนนั้นชวนคิด และอาจเป็นคีย์เวิร์ดที่เปิดโลกแห่งการไขความจริงได้ดีที่สุด เธอกล่าวว่า...
“บางครั้ง ชีวิตคู่มันก็เป็นอะไรที่ยุ่งเหยิงวุ่นวาย และทุกคนก็หลงทาง บางทีเราก็ช่วยกันสู้ บางครั้งเราก็สู้ลำพัง และบางที เราก็สู้กันเอง”...