เชื่อแน่ว่า หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้หลายคนตัดสินใจตีตั๋วเข้าไปดูหนังเรื่องนี้ ก็คือ “เซนเดย์อา” นักแสดงสาวที่เคยรับบทเป็นหวานใจของไอ้แมงมุม Spiderman เวอร์ชั่นทอม ฮอลแลนด์ และเธอคนนี้ก็คือเจ้าของบทบาทสาวสวยผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ พอล อาร์เทรดีส ในหนังมหากาพย์ไซไฟสุดล้ำอย่าง Dune รวมทั้งบทบาทของเธอในซีรีส์ชีวิตวัยรุ่นสุดสะเทือนเรื่อง Euphoria คนดูต่างก็รักเช่นกัน
อย่างไรก็ดี เหตุผลอีกส่วนหนึ่งก็คือความเชื่อมือและเชื่อมั่นในตัวของผู้กำกับอย่าง “ลูกา กวาดาญีโน” ซึ่งเคยมีผลงานระดับพิชิตรางออสการ์มาแล้วจากหนัง LGBT เรื่อง Call Me By Your Name (ออสการ์สาขาบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม)
แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด บอกได้เลยว่า นี่คือหนังที่คุ้มค่าแก่การรับชมเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะมองในมุมของเรื่องราวเนื้อหา บทภาพยนตร์ ตลอดจนการแสดง หรือแม้แต่งานด้านภาพที่เร่งเร้าอารมณ์ความรู้สึกได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะฉากการแข่งขันเทนนิสระหว่างตัวละครเอกฝ่ายชายทั้งสองคน ที่ถ่ายภาพออกมาได้ลุ้นตื่นเต้น แลเห็นแม้กระทั่งเม็ดเหงื่อหยดติ๋ง รวมทั้งทำให้เราสัมผัสได้ถึงความตึงเครียดของตัวละคร ซึ่งงานด้านภาพเป็นฝีมือของคนไทยอย่าง “สยมภู มุกดีพร้อม” ผู้กำกับภาพชาวไทยที่เคยร่วมงานกับลูก้า กวาดาญีโน มาแล้วในเรื่อง Call Me By Your Name
ทั้งนี้ ถ้าจะกล่าวถึงอย่างรวบรัดที่สุด จุดเด่นประการหนึ่งในหนังของผู้กำกับชาวอิตาลีคนนี้ก็คือการเล่นกับประเด็นความสัมพันธ์อันซับซ้อนยอกย้อนที่เล่นงานตัวละครจนปั่นป่วน ไล่มาตั้งแต่ผลงานเรื่องแรกของเขาอย่าง A Bigger Splash และสำหรับ Challengers ก็ต้องบอกว่า เดินมาในทางของการเล่นประเด็นความสัมพันธ์อย่างเข้มข้นหนักหน่วงเช่นกัน
เซนเดย์อา มาในบทบาทของ “ทาชิ ดันแคน” นักเทนนิสสาวมืออาชีพที่พิชิตแชมป์มาแล้วนับไม่ถ้วน และภารกิจเบื้องหน้าของเธอคือการเป็นโค้ชให้ “อาร์ต โดนัลสัน” สามีของเธอที่พ่ายแพ้มาตลอดหลายปี กลับมามีชัยชนะและสามารถเดินหน้าเล่นเทนนิสได้อย่างมั่นใจอีกครั้ง แต่ปัญหาก็คือว่า นัดสำคัญชี้ชะตาที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ สามีของเธอต้องลงสนามแข่งกับ “แพทริก ซไวก์” ซึ่งเป็นทั้งอดีตเพื่อนสนิทของสามีและเป็นแฟนเก่าของเธอด้วย นับเป็นสถานการณ์ที่หนังผูกขึ้นมาแบบให้คนดูได้ลุ้นว่า สุดท้ายแล้วเกมนี้จะลงเอยอย่างไร ทั้งในสนามแข่งที่มีอนาคตบนเส้นทางเทนนิสเป็นเดิมพัน และนอกสนามแข่ง ที่มีความเป็นเพื่อนและคนรักเป็นเดิมพัน
ต้องยอมรับว่า บทภาพยนตร์เรื่องนี้เขียนขึ้นมาอย่างแยบคายและแหลมคม มีเหลี่ยมมีมุมที่พลิกไปพลิกมา ตามสถานการณ์ “ความต้องการ” ของตัวละคร ซึ่งในจุดนี้ บทของเซนเดย์อา คือ ตัวแปรหลักที่พร้อมจะทำให้ทุกอย่างแปรเปลี่ยนไปอย่างไรก็ได้ ทั้งความสวยมีเสน่ห์ ทักษะความสามารถ และความทะเยอะทะยานในการดำรงอยู่บนเส้นทางที่ตัวเองเลือกแล้ว นำพาเธอเข้าสู่สถานการณ์ปั่นหัวผู้ชายสองคนชนิดที่ว่า ตกหลุมพรางของเธอจนหัวปักหัวปำ
ทาชิ ดันแคน คือหญิงสาวที่ปักใจรักหนักแน่นในกีฬาเทนนิส หากไร้ซึ่งเทนนิส ชีวิตของเธอก็ดูเหมือนจะไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง ดังนั้น ถึงแม้เธอจะไม่ได้เล่นเทนนิสแล้ว แต่ยังมีคนรักหรือสามีที่เล่นเทนนิสมาตั้งแต่วัยรุ่นและคว้าแชมป์มาไม่น้อยเหมือนกัน แต่เมื่อช่วงหลายปีหลัง เขาพ่ายแทบทุกแมชต์ แต่ทาชิยังคงไม่สิ้นหวังและพยายามกระตุ้นและปลุกเร้าให้สามีกลับเข้าสู่ชัยชนะอีกครั้งเพื่อเป็นกำลังใจให้เขาได้ก้าวเดินต่อไปบนเส้นทางสายนี้ ซึ่งนั่นก็หมายถึงว่า ความปักใจรักมั่นในกีฬาเทนนิสของเธอก็จะไม่จบลงเช่นกัน เราจะเห็นได้ว่า ตลอดเวลาที่สนทนากับคู่สนทนา แม้แต่บนเตียงที่กำลังเริงรัก เธอก็จะพูดถึงเทนนิสเช่นกัน เพราะเทนนิสคือชีวิตของเธอ
ทาชิ มีความเชื่อและคำเปรียบเทียบที่น่าสนใจมากว่า เทนนิส คือความสัมพันธ์ สำหรับเธอ เมื่อลงสนามแข่งเทนนิสกับฝ่ายตรงข้าม ทั้งสองฝั่งเหมือนคู่รักที่ “รับ” และ “ส่งลูก” ให้แก่กันและกัน มันคือความสัมพันธ์ที่ลงตัว แต่หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโยนแร็กเก็ตทิ้งและเดินออกนอกสนาม อีกฝ่ายก็คงเคว้งคว้างดั่งไร้คุณค่า แน่นอนว่า ความเชื่อนี้มันกินพื้นที่เข้าไปในชีวิตคู่ของเธอด้วยเช่นกัน ดังนั้นแล้ว เธอจึงพยายามอย่างสุดกำลังเพื่อยื้อยุดสามีไว้ในเส้นทางเทนนิส (หรือจริง ๆ คือ.. เพื่อให้เธอได้อยู่กับเทนนิสอย่างมีชีวิตชีวาต่อไป) และลงทุนกับมันสูงมากถึงขั้นมีการ “เจรจาต่อรอง” แบบยอมแลกทุกสิ่งอย่าง แต่ก็ไม่เกินกว่าที่เราจะเข้าใจได้ในเหตุผลแห่งการกระทำของเธอ
หนังเรื่องนี้ใช้กลวิธีเล่าเรื่องโดยการแฟลชแบ็ก (Flashback) คือย้อนไปในอดีตได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีการเล่าย้อนกลับไปใน 4 ช่วงเวลา ซึ่งทำให้เราได้ทำความรู้จักตัวตนและความคิดของตัวละครแต่ละตัว ที่สุดท้าย ผลักดันให้พวกเขาต้องกระทำพฤติกรรมต่าง ๆ ตามมา รวมทั้งแฟลชแบ็กแต่ละช่วง ก็มีเหตุการณ์สำคัญที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งจะค่อย ๆ ผูกร้อยเรื่องราวให้เราปะติดปะต่อเป็นจิ๊กซอว์จนเพียงพอต่อความเข้าใจในพฤติการณ์ของตัวละคร มีฉากแฟลชแบ็คฉากหนึ่งซึ่งหนังทำออกมาได้ดีมาก ทั้งบทและงานด้านภาพก็สื่อสารได้อย่างสมบูรณ์แบบ คือในคืนก่อนการแข่งขันแมตช์สำคัญ มีลมพายุพัดอย่างรุนแรง ซึ่งถ้าจะอ่านความหมายในเชิงสัญลักษณ์ก็คงเปรียบได้กับสถานการณ์ภายในใจของทาชิ เพราะในขณะที่ลมพายุพัดกระหน่ำ หัวใจเธอก็กวัดไกวเอนไหว ไม่แพ้สิ่งของต่าง ๆ ที่เอนลู่และปลิวว่อนด้วยแรงลม
แน่นอนว่า ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมา ส่วนหนึ่งคงต้องยกเครดิตให้กับคนเขียนบท อย่าง “จัสติน คูริทซ์เกส” ที่เขียนบทออกมาอย่างชาญฉลาด ทุกอย่างมีที่มาที่ไป มีเหตุมีผล ขณะที่ตัวละครก็มีมิติให้มองหลากหลายมุม และถ้าคุณชื่นชอบเซนเดย์อาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เรื่องนี้จะยิ่งทำให้คุณรักเธอมากขึ้นไปอีก ด้วยบทบาทที่มีทั้งความเซ็กซี่ เร่าร้อน ละเอียดอ่อน ซับซ้อน และลึกซึ้ง เป็นอีกบทที่จะทำให้คนพูดถึงเธอไปอีกนาน