“เติร์ก คหบดี” แจงแตกหัก “แก็ปเปอร์” ถอนตัวจากโปรเจกต์ต่างๆ ในภายภาคหน้า ไม่ขอทำงานด้วยอีก ลั่นมีตัวกลาง และเคลียร์จบไปแล้ว ไม่รู้ทำไมถึงมีเหตุการณ์แบบนี้ บอกตนเป็นคนทำงาน เอาเวลาไปทำมาหากินดีกว่า ออกมาประกาศออกสื่อไม่ใช่สไตล์ ไม่มองอีกฝ่ายเป็นคู่แข่ง โอดที่ผ่านมาซัปพอร์ตและให้ใจพาร์ตเนอร์ตลอด แต่ต่อไปต้องระวังตัวเองมากขึ้น
ศึกสายวายได้ระอุอีกครั้ง! หลังจากผู้จัดซีรีส์ที่ต่างคร่ำหวอดอยู่เส้นทางระหว่าง “เติร์ก คหบดี กัลย์จาฤก”ผู้บริหาร M Flow Entertainment และ “แก๊ปเปอร์ วรฤทธิ์ นิลกลม”ผู้บริหาร 9 NAA Production จับมือกันเปิดตัวโปรเจกต์ Beyond The Star ร่วมกับอีก 2 บริษัท ซึ่งเป็นการรวมเอานักแสดงจาก 4 สังกัดไว้ในเรื่องเดียวกัน และได้แถลงข่าวเปิดโปรเจกต์ไปเมื่อกลางปีที่ผ่านมา แต่ล่าสุดฝ่าย 9NAA Production ได้ออกจดหมายขอยุติการร่วมงานกับ M Flow Entertainment เนื่องจากทัศนคติและวิสัยทัศน์ที่ไม่ตรงกัน พร้อมทิ้งท้ายว่าตนเองยังทำงานปกติ ตามมาตรฐานและความถูกต้องเป็นหลักสำคัญ
ล่าสุดผู้สื่อข่าวได้เจอตัว “เติร์ก คหบดี” ในงานบวงสรวงเปิดตัว Beyond The Star เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา (2 พ.ย.) ที่ลานหน้าเซ็นทรัลเวิลด์ หนุ่มเติร์กก็ขอเปิดใจเคลียร์ดรามา ยันเป็นคนขอเดินออกมาจากความร่วมมือนี้ พร้อมยืนยันว่าบริษัทตนเองมีอำนาจในการตัดสินใจ เพราะตัวเองเป็นคนลงทุนทั้งหมด 100% ยอมรับว่างง เพราะเรื่องทั้งหมดเป็นการตกลงและจบลงเมื่อปลายเดือนกันยายน แต่ทำไมอยู่ดีๆ ถึงกลายเป็นข่าว ส่วนโอกาสร่วมงานกันหลังจากนี้ คงไม่พร้อม และขอโฟกัสงานบริษัทตัวเองเป็นหลัก
“จริงๆ ไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตต้องมานั่งตอบคำถามในลักษณะนี้ แต่ผมเรียนอย่างนี้ว่า เมื่อต้นเดือนก.ย. ที่ผ่านมา เติร์กแจ้งกับผู้ใหญ่ไปแล้วว่าขอถอนตัวจากการทำโปรเจกต์ คือโปรเจกต์นี้เป็นโปรเจกต์สุดท้ายในการทำงาน เราได้ขอถอนตัวในช่วงเดือนก.ย.
ผมขอพูดภาพรวม พื้นฐานการเป็นพาร์ตเนอร์ เรามีอะไรเราช่วยเหลือกัน ซัปพอร์ตซึ่งกันและกัน อย่างตัวเติร์กเองที่เป็นพาร์ตเนอร์ เติร์กให้การสนับสนุนที่ดี ไม่ว่าจะเรื่องสถานที่ เรายินดีดูแลและซัปพอร์ตสปอนเซอร์หรือพาร์ตเนอร์เราทั้งหมด แต่อยู่ๆ วันนึงเรารู้สึกว่าที่ตรงนี้เราอึดอัด มีบางอย่างที่อาจไม่ถูกไม่ควร ผมก็แค่ถอนตัวออกมา
ซึ่งวันนี้ถ้าถามว่าให้เติร์กมาพูดถึงใครในแง่ใดๆ เติร์กขอไม่พูด เพราะการทำงาน ความคิดเห็นแตกต่างกันเป็นเรื่องปกติมากๆ เพียงแต่เติร์กเป็นคนที่ทำงานคุยบนโต๊ะและจบบนโต๊ะ ฉะนั้นเติร์กถอนตัวตั้งแต่ก.ย. เติร์กไม่จำเป็นต้องไปประกาศ หรือไปแจ้งออกสื่อ ถ้าให้พูดถึงใครเราคงไม่ทำ เพราะพูดตรงๆ เราคือคนทำงาน เราอยากให้นำเสนอเราในเรื่องการทำงานมากกว่า
ถามว่าถอนตัวเพราะอึดอัดเรื่องอะไร หลักๆ ตรงนี้อาจไม่สามารถตอบได้ เพราะเติร์กถือว่าเราคุยไปแล้ว และจบไปแล้ว มีผู้ใหญ่ในวงการที่เสนอตัวเข้ามาเป็นตัวกลางในการเคลียร์ ซึ่งเรามีการพูดคุยกันแล้ว เคลียร์จบกันไปแล้วต่างฝ่ายต่างทำงาน ทำหน้าที่ของตัวเอง เรื่องปัญหาขอไม่พูดเนอะ เพราะผมค่อนข้างชัดเจน ในเมื่อผมถอนตัวแล้วทุกอย่างจบ ต่างคนต่างเดินหน้า ยังเคารพทุกอย่างเหมือนเดิม ไม่ว่านักแสดงในสังกัด ถ้าเจอน้องๆ ต่างสังกัดก็ยังให้ความเคารพทุกอย่าง”
ยันโปรเจกต์ Beyond The Star ลงทุนเอง 100 เปอร์เซ็นต์
“โปรเจกต์ Beyond The Star ทางเราเป็นคนลงทุน 100 เปอร์เซ็นต์ เท่ากับอำนาจสิทธิขาดในการตัดสินใจอะไรก็แล้วแต่ เป็นทางของเราฉะนั้นสิ่งที่เติร์กทำงานในวงการมานานหลายปี ผ่านช่องใหญ่ แพลตฟอร์มต่างๆ เรื่องคุณภาพไม่ได้ หรือไม่ถูกต้อง ไม่ควร การันตีว่าไม่เกิดขึ้นแน่นอน แต่อยากให้เข้าใจว่าตั้งแต่ต้นเดือนก.ย. ถึงปลายเดือนส.ค. เราก็อยู่เงียบๆ ของเราเอง เพราะผมรู้สึกว่าเราเป็นคนทำงานควรใช้พื้นที่สื่อในการทำงานมากกว่า สองโปรเจกต์นี้เรามีสัญญาจ้างนักแสดงจากที่อื่นซึ่งเป็นพรรคพวกกันมาเล่นเรื่องนี้เรื่องอื่นลึกๆ อะไรก็แล้วแต่ อาจขออภัยอาจไม่ขอพูดถึง
รูปแบบเรา M Flow เป็นคนจ้าง อำนาจสิทธิ์ขาดคือ M Flow ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เป็นสิ่งที่เราเคยคิดจะร่วมกันให้มันดีจากหลายๆ ที่ หลายๆ ค่าย แต่พอวันที่จะก่อเกิดโปรเจกต์ขึ้นมา หลายฝ่ายอาจจะยังไม่พร้อม แต่โอเค อำนาจการตัดสินใจสูงสุดต้องอยู่ที่ M Flow
ซึ่งผมขอถอนตัว M Flow เราค่อนข้างอินดิเพนเดนต์ หลังออกจากช่องใหญ่ก็เป็นอิสระ เติร์กค่อนข้างมีวัฒนธรรมองค์กรที่ค่อนข้างแข็งแรงในตัวเติร์กเอง ออกมาเติร์กอาจมีความสุขที่ทำคนเดียวก็ได้ แล้วมีพาร์ตเนอร์ด้านอื่นที่ส่งเสริมกัน”
ยันมีตัวกลางและเคลียร์จบไปนานแล้ว ไม่รู้ทำไมถึงมีเหตุการณ์แบบนี้
“ถามว่าทำไมถึงมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น เติร์กก็ตอบไม่ได้ เวลาเราทำงานอะไรก็แล้วแต่ ทุกที่มีปัญหาอยู่แล้ว ความคิดไม่ตรงกัน ทัศนคติไม่ตรงกัน วัฒนธรรมองค์กรไม่ตรงกัน แต่ไม่ใช่จุดที่เราต้องมาออกสื่อ เหมือนเราทะเลาะกันที่ทำงาน ทะเลาะกันบนโต๊ะที่ทำงาน อยู่ๆ มาวันนั้นโพล่ง ผมคิดว่าไม่จำเป็นต้องประกาศ เราต่างคนต่างเป็นคนทำงาน เราสองคนต่างมีคนอยู่ข้างหลังที่ต้องรับผิดชอบ ผมก็ไม่เห็นว่ามันควรต้องเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น
ถามว่าได้คุยกันตรงๆ ไหม เราต้องมีความโปรเฟสชั่นแนล จะมีอะไรก็แล้วแต่ นี่พูดถึงเรื่องการทำงาน ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว การทำงานยังไงต้องคงอยู่ แล้วเติร์กทรีตเด็กในค่ายและนอกค่ายเท่ากันหมด อยู่ๆ น้องๆ ต่างค่ายจะมารู้สึกไม่ดีเป็นไปไม่ได้ เพราะเติร์กทรีตทุกอย่างอย่างเท่าเทียมเพราะเราเป็นคนทำงาน นี่ก็คือสิ่งที่อยากแจ้ง คิดว่าถ้าจะให้อะไรเยอะกว่านี้ คิดว่าพอแล้ว ขอทำงานดีกว่า ซึ่งผมแค่ดึงตัวผมมาทำงาน ของผมแค่รับผิดชอบดูแลเฉพาะโปรเจกต์ Beyond The Star อะไรจะเกิดขึ้นในภายภาคหน้าผมก็ไม่เกี่ยวข้อง ซึ่งที่เราถอนตัวคือโปรเจกต์ภายภาคหน้า อาจไม่ได้ร่วมงานกัน”
ไม่หวั่นอีกฝ่ายจะออกมาแย้งอีกมุม
“ไม่กังวล เราคนทำงานและรู้สึกว่าเอาเวลาไปทำมาหากินดีกว่าไหม ไม่ควรต้องออกสื่อด้วยซ้ำ อะไรก็แล้วแต่ คุยกันจบบนโต๊ะ มีอะไรก็คุยต่อหน้า หลังจากวันนี้จะมาอะไรก็แล้วแต่ สุดแล้วแต่เขา ผมขอเอาหัวเอาอะไรไปทำงานดีกว่า ถ้าร่วมงานกันไม่ได้ไม่ใช่เรื่องแปลก ก็หยุด แค่นั้นเอง ถึงให้ข่าวผมก็ไม่ยุ่งแล้ว
ถามว่าจะไม่ร่วมงานกันแล้วใช่ไหม พูดตรงๆ ณ ตอนนี้ถามว่าร่วมงานไหมก็คงไม่ร่วมงาน เพราะต่างฝ่ายต่างมีโปรเจกต์ดูแลบริหารจัดการของตัวเองยังไม่มีอะไรต้องร่วมกัน ตอนนี้ต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ตัวเอง”
ไม่มองอีกฝ่ายเป็นคู่แข่ง แต่ถ้าอีกฝ่ายจะมองตนเป็นคู่แข่ง ก็ห้ามความคิดไม่ได้
“ผมไม่ได้มองเป็นคู่แข่ง ถ้าคนทำธุรกิจประเภทเดียวกัน แต่ถ้าเกิดเป็นพาร์ตเนอร์กัน มีวิธีวินวิน ช่วยเหลือส่งเสริม คุณอาจได้น้อยหน่อย แต่วินวินไปด้วยกัน แต่ถ้าอยู่ๆ วันนึงคุณมาองเป็นคู่แข่ง เราจะไปห้ามความคิดเขายังไง เติร์กซัปพอร์ตพาร์ตเนอร์หมด จะขออะไรก็ให้หมด แต่ถ้าจะมองเป็นคู่แข่ง หลังจากนี้เติร์กขอทำหน้าที่ตัวเอง และการให้ข่าวแบบนี้ไม่ใช่สไตล์เติร์ก”
ได้บทเรียน ต่อไปต้องระวังตัวเอง
“เติร์กบอกตรงๆ ว่าหลายครั้งหลายคราว เราค่อนข้างจริงใจกับพาร์ตเนอร์ เราให้ใจร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะเราใจดี บางครั้งเราก็เคยเริ่มจากการมีปัญหา เราเคยลำบาก ไม่มีใครซัปพอร์ต พอวันนึงเราเห็นพาร์ตเนอร์มีปัญหา แต่วันนี้เราแข็งแรง เราก็อยากยื่นมือเข้าไปช่วย นี่พูดแบบไม่เอาหน้านะครับ อยากช่วยกันให้มันรอด วันนึงเราให้ใจไปแล้ว หลังจากนี้ก็ต้องระวังตัวเองนิดนึง และให้ความสำคัญกับบริษัทตัวเองเป็นที่ตั้ง”