อยากให้พูดถึงตัวละคร “ขุนพันธ์” ที่เรามีโอกาสได้อยู่กับตัวละครตัวนี้มาตลอดระยะเวลา 10 ปี
ขุนพันธรักษ์ราชเดชเป็นนายตำรวจดังผู้เป็นตำนานของเมืองไทยครับ สิ่งที่ดังที่สุดสำหรับท่านคือเป็นตำรวจที่มีอาคม หนังเหนียว ยิงไม่เข้า และมีตำแหน่งเป็น “ขุน” คนสุดท้ายในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย นอกจากนี้ท่านยังมีสัญลักษณ์ประจำตัวท่านก็คือหนวดเขี้ยวครับ ทุกคนในประเทศไทยรู้จักกันหมด ส่วนประวัติที่เป็นตำนานของท่านก็จะเป็นเรื่องของความกล้าหาญและเรื่องราวการปราบเสือต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเสือฝ้าย, เสือใบ, เสือเบี้ย, เสือดำ, เสือมเหศวร และอีกหลายเสือ และอาวุธของท่านที่ดังมากเลยคือดาบแดง ซึ่งใน ขุนพันธ์ 3 นอกจากจะได้เห็นดาบแดงแล้ว จะได้เห็นท่านใช้อาวุธและอาคมที่หลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็นปืนสั้น หรืออาคมอย่างเช่น คาถาสะเดาะกุญแจ อาคมตาทิพย์ ปลุกผี คือหลากหลายมากเลยครับ
แล้วถ้าเป็นความรู้สึกในตอนนี้ที่กลับมารับบท ขุนพันธ์ อีกครั้ง เมื่อหนังได้ดำเนินมาถึงภาค 3
อย่างแรกเลยคือผมดีใจนะ ทุกครั้งที่ผมรู้ตัวว่าจะได้กลับมารับบท ขุนพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นสองภาคก่อนหน้า จนมาถึงภาค 3 นี้ ไม่มีเลยสักครั้งที่ผมจะไม่รู้สึกดีใจ เพราะทีมงานยังเป็นทีมเดิม ไม่ว่าจะเป็นพี่โขม แล้วก็ทีมงานเบื้องหลังอีกหลายคน
เพราะได้ร่วมงานกันจนเป็นเหมือนครอบครัว แต่ว่าในขณะเดียวกันก็มักจะมาด้วยความแหยง เพราะมันไม่มีภาคไหนที่ไม่เหนื่อยเลย มันโคตรของโคตรเหนื่อยทุกภาค เรียกว่าเป็นหนังที่เหนื่อยที่สุดที่เคยเล่นมา ซึ่งแน่นอน ภาคล่าสุดนี้ก็เหมือนกัน ผมรู้ล่วงหน้าเลยว่าพอถึงตอนปิดกล้องเมื่อไหร่ ก็จะมีอารมณ์แบบขอไม่เจอกันสักพักนะ เพียงแต่ว่าไอ้ความโคตรเหนื่อยนี่แหละครับ คือความเป็นหนัง ขุนพันธ์ ถ้าวันไหนถ่ายฉากที่แค่อยู่ในห้อง มีแอร์ มันก็ยังไม่ใช่ แต่ถ้าจะให้รู้สึกถึงแก่นแท้ของหนัง ขุนพันธ์ มันต้องออกไปถ่ายข้างนอก ต้องออกไปบู๊ ออกไปเหนื่อยจนเหงื่อท่วมตัว แล้วกลับไปบ้านคือแบบไม่ไหวแล้ว สลบเลย อันนี้คือฟีลลิ่งของหนัง ขุนพันธ์ ที่แท้จริง
การได้ร่วมงานกับผู้กำกับที่ชื่อก้องเกียรติ โขมศิริ ในช่วงเวลา 10 ปี ตั้งแต่ ขุนพันธ์ ภาคแรก ถึงขุนพันธ์ 3 เป็นอย่างไรบ้าง
ผมรู้สึกว่ามันมีหลายอย่างที่เป็นตัวตนของพี่โขม ที่ดูเหมาะสมเหลือเกินกับโปรเจกต์นี้ มันคือลายเซ็นต์ของพี่โขมตั้งแต่ตอนที่เขาเขียนบทเลย มันมีความเป็นหนังสือหน่อยๆ อธิบายรายละเอียดค่อนข้างเยอะ เพื่อสร้างโลกให้เราเห็น เขาจะบรรยายตั้งแต่บรรยากาศในฉากนั้น จนมันเห็นทั้งภาพ จนเรารู้สึกว่าเราสามารถสัมผัสมันได้ ซึ่งคอนเซ็ปต์ที่เป็นโลกของตัวละครเหล่านี้ จำเป็นต้องมีผู้กำกับที่เข้าใจตรงนี้ด้วย ลายเซ็นของพี่โขมในสไตล์ของคาแรกเตอร์ที่มันจะมีความเป็นผู้ชายๆ หน่อย แต่มันก็ยังคงความเป็นไทย ซึ่งอันนี้ผมว่ามันมาจากการที่พี่โขมเป็นคนรู้ลึกทั้งเรื่องประวัติศาสตร์ของไทย รวมทั้งประวัติศาสตร์ของหนังไทยเอง พอมาถึงภาค 3 มันก็มีความเป็นไอคอนนิคของมันไปแล้วว่าลุคของเป็นแบบนี้ โลกของมันจะเป็นแบบนี้ ซึ่งทำให้ผมยิ่งรู้สึกว่ามันจะมีบางโปรเจกต์ที่ mean to be กับผู้กำกับบางคน และหนังเรื่องนี้ก็มาเพื่อพี่โขมจริงๆ ด้วยความที่มันเป็นเนื้อหาที่เขารัก เวลาอยู่หน้าเซ็ท เขาก็ใส่เต็มที่ แล้วพี่โขมจะรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาว่ามันคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่เขาจะได้มาทำอะไรแบบนี้อีก ทุกรายละเอียด ทุกวินาทีการทำงาน ผมเห็นได้ชัดเลยว่านี่เป็นสิ่งที่มีความหมายต่อพี่โขม และมันได้แสดงออกมาในเนื้องาน
มาที่ตัวละครขุนพันธ์บ้าง ในภาค 3 นี้คนดูจะได้เห็นพัฒนาการอะไรบ้างที่แตกต่างไปจากสองภาคที่ผ่านมา
ที่คุยกับพี่โขมไว้ มีมุมของตัวละครที่เรารู้สึกว่ายังไม่ได้แตะในสองภาคแรก ก็เลยคุยกันว่าภาคนี้จะเป็นภาคที่เราได้เห็นด้านที่เป็นมนุษย์มากที่สุดของท่านขุน ซึ่งจะมีเรื่องราวของครอบครัวท่าน การที่ท่านกำลังจะเป็นคุณพ่อคนใหม่ ความสัมพันธ์กับภรรยา รวมไปถึงอะไรที่มันซับซ้อนกว่านั้น ไม่ว่าจะเรื่องของความกลัวตาย การมีชีวิตเพื่อคนอื่น เรื่องที่ว่าเขาคือสัญลักษณ์ของฮีโร่ ภาคนี้เรามาขยายความว่าสัญลักษณ์คืออะไร ความหมายของมันคืออะไรเพื่อจะ inspire คนอื่น หรือท่านอาจไม่ได้เป็นสัญลักษณ์ก็ได้ จริงๆ ท่านก็เป็นแค่นายตำรวจคนหนึ่งที่มีครอบครัวและมีเป้าหมายความต้องการที่ไม่ได้ต่างจากคนทั่วๆ ไป ภาค 3 ก็จะได้เห็นมุมของท่านที่มีความลังเล ไขว้เขว ถึงขั้นเศร้า ผิดหวัง ซึ่งมันน่าสนใจ เป็นมุมมองที่ในฐานะของนักแสดงเราก็ค่อนข้างชอบ เพราะมันเปิดพื้นที่ให้กับตัวละครตัวนี้เพิ่ม เพราะอุปสรรคอย่างหนึ่งของการเล่นเป็นท่านขุน มันจะมีคำว่าสัญลักษณ์ครอบอยู่ตลอดเวลา และบางทีมันทำให้เรารู้สึกว่าเราต้องเหนือมนุษย์ บางทีจะพูด จะเดิน จะทำอะไร ซึ่งพี่โขมเองก็รู้สึกว่าภาคนี้เราอยากเห็นมุมที่เป็นคนธรรมดาๆ ทั่วไปมากขึ้น ก็ไม่ต้องแคร์เรื่องความเป็นซูเปอร์ฮีโร่อยู่ตลอดเวลา
เพียงแต่ว่าในขณะเดียวกันสแตนดาร์ดของหนัง ขุนพันธ์ มันก็ไม่ได้มีอะไรขาดหายไป ข้อดีของการที่เรามาถึงภาค 3 คือโลกของท่านมันได้ถูกสร้างไปแล้ว เรื่องของความเดือด แอ็กชัน โปรดักชั่นแวลูต่างๆ มันเลยเปิดพื้นที่ให้ตัวละครมีความซับซ้อนขึ้นได้
เรื่องราวในหนัง ขุนพันธ์ 3 จะเป็นอย่างไรต่อไป
หลังจากที่ท่านขุนได้ปราบเสือฝ้ายกับเสือใบ คราวนี้ท่านขุนก็เหมือนกับว่ากำลังจะรีไทร์ไปมีครอบครัว และอาจจะไปเล่นการเมือง แต่ในช่วงเวลานั้นก็มีอีกสองเสือที่กำลังเดือดอยู่เลย คือเสือมเหศวรกับเสือดำ สองเสือนี้เกี่ยวข้องกับเสือฝ้ายและเสือใบ รวมทั้งตัวขุนพันธ์เองก็เคยไปอยู่ในชุมโจร เคยเป็นส่วนหนึ่งของพวกโจรเชิ้ตดำในภาค 2 เคยดื่มร่วมน้ำสาบานกับสองเสือ ทางเจ้าหน้าที่เลยมองว่าท่านขุนน่าจะเป็นคนๆ เดียวที่เข้าถึงชุมโจรนี้ และนี่เป็นโอกาสของท่านขุนที่จะพิสูจน์ตัวเองว่าเขาอยู่ในฝั่งของภาครัฐ มันเลยมีหลายนัยยะ มีมุมของท่านขุนที่เหมือนท่านก็ยังไม่หมดไฟ ยังมีพลังเพื่อภารกิจสุดท้ายนี้อยู่ ตัวท่านเองยังมีความผูกพันกับทางกลุ่มเชิ้ตดำ พอกลับเข้าไปในชุมโจร เขาจะอยู่ฝั่งไหน ยังไง มันมีเรื่องราวอีกเยอะเลย อีกมุมที่ค่อนข้างแปลกใหม่สำหรับภาคนี้ วิชาของท่านเริ่มจะเสื่อมลง เพราะท่านเองก็ได้ปราบโจร ฆ่าโจรมาเยอะ พระอาจารย์ก็ได้เตือนท่านตั้งแต่ต้นเลยว่ากรรมเก่ากำลังตามมาถึง ก็จะกลายเป็นอีกอุปสรรคหนึ่งในภาคนี้
อยากให้พูดถึงสองเสือร้ายที่ขุนพันธ์ต้องปะทะด้วยในภาคนี้ คือเสือมเหศวรกับเสือดำ
คอนเซ็ปต์หลักของขุนพันธ์ ไม่ใช่แค่ขุนพันธ์ แต่ต้องพูดถึงพวกเสือที่ท่านต้องเผชิญ ภาคนี้เราต้องเจอกับเสือดำซึ่งได้โตโน่-ภาคิน มาเล่น ส่วนเสือมเหศวรก็อาจจะเป็นที่น่าแปลกใจสำหรับหลายคนนะครับที่ได้มาริโอ้ มารับบทบาทนี้ สำหรับเสือดำจะป็นตัวละครที่ดุเดือดมาก เป็นตัวละครที่มีที่วิชาอาคมไม่แพ้ท่านขุน และต้องปะทะกันด้วยความรุนแรง ส่วนมเหศวรก็จะใช้ไหวพริบ ใช้ความคล่องแคล่ว ความกระล่อนในการเอาตัวรอด ซึ่งทั้งสองคนเป็นเสือที่อาคมแกร่งกล้า เมื่อไหร่ที่ท่านขุนต้องมาปะทะกับทั้งคู่ มันจะเป็นคนละฟีลกันเลย
การร่วมงานกับมาริโอ้ เมาเร่อที่ที่รับบทเป็นเสือมเหศวรเป็นอย่างไรบ้าง รวมไปถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อต้องเข้าฉากด้วยกัน
โอ้จะเป็นคนที่เฟรนด์ลี่มากๆ ครับ เคยร่วมงานกันมาแล้ว สนิทสนมกันอยู่แล้ว ตอนเข้าฉากกับมาริโอ้จะค่อนข้างสบาย ก็มีคุยกันเพราะเราทั้งคู่ต่างชอบสะสมของเก่าอยู่แล้ว ซึ่งมันคงไม่ต่างจากตัวละครในเรื่องที่มาคุยกันเรื่องพระ อะไรแบบนั้น พระมเหศวรแคล้วคลาด เบี่ยงกระสุน ของดีนี่ ซึ่งผมกับโอ้เวลาถ่ายก็จะมีความสัมพันธ์ที่ต่างกับตอนที่ผมเข้าฉากกับโตโน่ ถ้าเข้าฉากกับเสือมเหศวร ความรู้สึกจะคลายกว่าตอนเข้าฉากกับเสือดำ เพราะเสือมเหศวรกับขุนพันธ์ไม่ได้มีความแค้นอะไรระหว่างกัน และผมเองยังรู้สึกว่ามันก็เป็นการดีที่เรามีเสือมเหศวรที่มาในลุคใหม่ๆ แทนที่จะมาแบบหน้าเขลอะๆ ดูก็รู้ว่าเป็นโจร แต่เสือมเหศวรของมาริโอ้มาแบบหน้าใสเลย หน้ากะล่อนๆ หน่อย ผมว่าทำให้ตัวละครดูกลมดี มันไม่ได้เข้าไปในโลกของโจรแล้วทุกคนต้องหน้าเป็นโจรกันไปหมด ผมว่าคาแรกเตอร์ดีไซน์ของภาคนี้ค่อนข้างดีมาก
แล้วการร่วมงานกับโตโน่ในบทเสือดำล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง รวมถึงความรู้สึกของอนันดาเองเวลาที่ต้องเข้าฉากด้วยกัน
โตโน่มาเต็มมากในภาคนี้ ทั้งที่ปกติโตโน่จะเป็นคนขี้เล่น สบายๆ ไม่ได้อะไรมาก แต่พอมาอยู่ในกองถ่าย ขุนพันธ์ 3 ผมรู้สึกได้ถึงความเป็นเสือดำตลอดเวลา แล้วแค่โตโน่เดินเข้าฉากมา ผมรู้สึกได้เลยว่า เขาอยากลองมาเป็น method คืออยู่กับตัวละครตลอดเวลา ซึ่งในแง่ของการแสดงปกติผมจะเป็นลูกผสม คือมีความเป็น method อยู่ และมีความเป็นเทคนิคัลอยู่ด้วย ผมจะมีบางมุมที่ผมใช้การแสดงที่เป็น method ที่เป็นตัวละครอยู่ตลอดเวลา คือวิธีการที่ผมเอามาใช้กับโตโน่ กับตัวละครเสือดำมากกว่า เพราะว่าเหมือนกับพอเขามาเป็นตัวละครอยู่ตลอดเวลา เราก็ไม่อยากจะไปทำลายสมาธิตรงนั้น ถ้าเข้าฉากกับโตโน่ก็คือเป็นศัตรูกัน เพราะเสือดำมีความแค้น มีแผลอะไรอยู่ในใจที่เขารู้สึกว่าต้องมาล้างแค้นกับทางขุนพันธ์ เราก็ต้องเก็บพลังตรงนั้นไว้ แต่ว่าในเวลาเดียวกันมันก็จะมีมุมเทคนิคัลที่ผมผสมเข้าไปเพื่อให้ผมเข้าหาตัวละครได้เร็วขึ้น ผมจะมีวิธีการขยับการเดินเพื่อให้มันคุ้นเคยหรือแม้กระทั่งชุดเสื้อผ้าที่เราใส่ ซึ่งเอาจริงๆ ก็ถือเป็นความโชคดีของผมด้วยที่เคยรับมือกับพี่น้อยมาก่อนตั้งแต่ภาคแรก เพราะโตโน่เองมีความเป็นพี่น้อยเวอร์ชั่น 2.0 คือมาแบบรู้สึกได้ถึงความอำมหิตของตัวละครในทันที ส่วนใหญ่ผมกับโตโน่ตอนเข้าฉากด้วยกันก็จะเป็นฟีลนี้ มันมีความ aggressive จริง เพราะปมที่มีต่อกันมันค่อนข้างรุนแรงเลยทีเดียว ซึ่งมันก็เหมาะกับเรื่องนี้
อยากให้ยกตัวอย่างซีนที่ถือเป็นไฮไลท์ของการปะทะกับโตโน่ในคราบเสือดำ
อย่างฉากที่ต้องประลองกันตามคำตัดสินของศาลเตี้ยในชุมโจร ก็ต้องใส่กัน มันจะเป็นเรื่องของความแรง เพราะตัวไฮไลท์ของฉากนี้มันเป็นเรื่องของการตีเข่าพร้อมกัน ต่อยพร้อมกัน มีการจับไม้ตะพดด้วยกัน แล้วไม่ยอมปล่อยทั้งคู่ แล้วก็เข้าใส่พร้อมกัน มันก็มีหลายดอกที่หวิดกันไปนิดๆ หน่อยๆ พอมาอินเสิร์ทเขาก็โดน เขาก็แบบเออเอาให้โดนเลย ผมก็แบบถ้าอยากก็ยินดีครับ ถ้าจะมาทางนี้ เราก็มาทางนี้ ในทางกลับกัน เราเองก็แบบถ้าจะโดนก็โดนเลย มันมีวิธีการเซฟกันอยู่แล้ว แต่ของผมกับโตโน่อาจจะอยู่ในเลเวลที่ยั้งน้อยหน่อย แต่มันก็จะมีอย่างไม้ตะพดไปตีขาเขา ตีครั้งแรกเขาบอกว่ามันยังดูค่อยไป เขาก็เอาเลยพี่จ่อย ใส่เลย เราก็ใส่จนไม้ตะพดตีขาจนหักเลย ไม่ใช่ขาหักนะ แต่ไม้ตะพดหัก ก็มีเจ็บตัวไปนิดหน่อย แต่โตโน่ก็บอกเขาไม่เป็นไร เขายังพร้อมลุยต่อ ถ่ายต่อ
หนังภาคนี้ยังเป็นการเปิดตัวคู่ชีวิตของท่านขุนในเรื่องด้วย ก็คือครูนุ่นที่รับบทโดยพลอย ชิดจันทร์ อยากให้พูดถึงการร่วมงานกับนักแสดงสาวผู้นี้
ส่วนตัวแล้วไม่ได้รู้จักพลอยมาก่อน เคยเห็นแต่ในบิลบอร์ด มีคนชี้ให้ดูว่านี่ไง ภรรยาท่านขุน ลูกสี่คนแล้ว ตอนแรกเราก็จริงเหรอ เขายังดูสาวอยู่เลย แต่ด้วยความที่ระหว่างถ่ายทำมันจะมีเส้นเรื่องที่เราต้องรักษาอยู่ตลอดเวลา เราต้องกลับไปที่บ้านให้ได้ เราต้องอยู่รอดเพื่อลูกเมียให้ได้ และสิ่งเดียวที่ผมมีเพื่อให้ผมรู้ว่าเขาคือใคร คือรูปที่อยู่ในสมุดที่เป็นพร็อพในฉาก เป็นสมุดส่วนตัวของท่านขุน เป็นรูปที่ทางทีมงานเขาเอามาให้ดูระหว่างถ่าย มันก็เป็นสิ่งที่ค่อนข้างสำคัญสำหรับผม ผมจะคอยขอเขามาดูเรื่อยๆ ให้มันเกิดความสัมพันธ์กับตรงนั้น เลยรู้สึกมีความใกล้ชิดตั้งแต่ก่อนมาเจอกันจริงๆ ด้วยซ้ำ เหมือนเราสร้างความทรงจำของเราไปเยอะแล้ว เวลาเข้าฉากด้วยกันจริงๆ ก็เลยไม่ค่อยเขิน ผมไม่รู้ว่าพลอยเป็นแบบนั้นหรือเปล่านะ แต่ผมก็จะคุยกับพลอยเรื่องลูก เรื่องอะไรต่างๆ ต้องดูแลลูกยังไง มีลูกสี่คนจริงเหรอ แล้วต้องทำยังไง ซึ่งส่วนหนึ่งมันก็อยากรู้จริงๆ อีกส่วนหนึ่งเราก็รู้สึกว่ามันทำให้เราใกล้ชิดกับเขามากขึ้น
อีกตัวละครหนึ่งที่มีความข้องเกี่ยวกับขุนพันธ์คือ ร้อยเอกทัตเทพ นายทหารหนุ่มหัวหน้าหน่วยรบพิเศษที่รับบทโดยเอม ภูมิภัทร ถาวรศิริ อยากให้พูดถึงการร่วมงานกับนักแสดงหนุ่มรายนี้
สำหรับผู้กองทัตเทพก็เป็นอีกตัวละครที่สำคัญครับ เขาจะเป็นตัวละครที่คล้ายๆ กับท่านขุนตอนที่เพิ่งมารับราชการแรกๆ มีอะไรที่เขาอยากพิสูจน์เยอะมาก ยังมีความ idealistic อยู่ ตัวละครตัวนี้เขามองขุนพันธ์เป็นไอดอล เขารู้สึกว่าท่านขุนเป็นสัญลักษณ์ของความถูกต้อง แต่ด้วยความอ่อนต่อโลก เขาก็ยังมองโลกเป็นขาวดำอยู่ คือมีทั้งฝั่งดี ฝั่งร้าย ด้านมืด ด้านสว่าง รวมทั้งสิ่งที่เป็น conflict ของภาคแรกก็ว่าได้ ที่มีกับตัวละครของพี่น้อยในแง่ว่าพี่น้อยจะ challenge เขาอยู่ตลอดเวลาว่าเราต่างกันแค่เสื้อผ้า ซึ่งมันทำให้ตัวละครมันมองเห็นได้ลึกขึ้นว่าโลกนี้มันเทาขนาดไหน พอได้มาเจอตัวละครทัตเทพ ก็เลยมีความใกล้ชิด มีความเอ็นดู ซึ่งผมเองเคยร่วมงานกับเอมมาก่อนหน้านี้แล้ว แค่ฉากสั้นๆ แต่ก็เห็นได้ชัดเจนว่าเขาเป็นนักแสดงอีกคนหนึ่งที่ทุ่มเทให้กับศิลปะการแสดงค่อนข้างสูงมาก ผมเลยไม่แปลกใจว่าในความลึกในความซับซ้อนของตัวละครทัตเทพ เอมสามารถจัดการตรงนี้ได้ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เพียงแต่เขามีสรีระบอบบางไปหน่อย คือไม่ได้เป็นตัวละครทั่วๆ ไปที่อยู่ในโลกของขุนพันธ์ ที่ผู้ชายแบบมีกล้ามเป็นมัดๆ ซึ่งผมรู้สึกว่าเขาจัดการกับตัวละครของเขาได้ดีมาก เขาสามารถกลมกลืน และทำให้โลกของ ขุนพันธ์ ดูน่าสนใจมากขึ้น มันทำให้เราได้ตัวละครใหม่อีกวัยหนึ่ง อีกมุมมองหนึ่ง
นอกเหนือจากจะต้องปะทะกับสองเสือแล้ว ท่านขุนยังต้องเผชิญกับอะไรอีกใน ขุนพันธ์ 3
ในภาคนี้เราจะได้เห็นอิทธิฤทธิ์ดาบแดงของท่าน ก็จะเป็นฉากใหม่ๆ ที่คนดูไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งฉากที่ต้องสู้กับกองทัพภูตผี ท่านขุนก็ต้องใช้ดาบแดง ซึ่งตอนถ่ายก็ยากกว่าที่คิดนิดนึง เนื่องจากมันเป็นช็อตที่ค่อนข้างเทคนิคัล มันจะมีบางช็อตที่ถูกดีไซน์อย่างชัดเจนว่าอยากให้กล้องมีรอบตัว เราก็ต้องใช้จินตนาการ มันจะผสมหลายเทคนิคเลยครับ และแน่นอน สุดท้ายฉากนี้ก็จะเป็นเรื่องของซีจี แต่ในเวลาเดียวกันเราก็คุยกันอยู่ตลอดว่าอยากให้ความรู้สึกของ ขุนพันธ์ มันมีความเป็นหนังแอ็กชันที่มันคลาสสิคหน่อย ถึงแม้ว่าเราจะมีซีจี แต่มันก็ต้องมีของจริงด้วย อย่างตัวผี คือเรามีผีมาแต่งทั้งตัว ต้องแต่งกันเป็นชั่วโมงๆ รวมทั้งในภาคนี้ยังมีสู้กับจระเข้ด้วย คือเทคนิคในฉากของ ขุนพันธ์ ภาคนี้จะหลากหลาย แต่ทั้งหมดมันพยายามทำให้เรารู้สึกว่าเราอยู่ในโลกนั้นจริงๆ เพราะฉะนั้นเกือบทุกอย่างในภาคนี้มันจึงต้องมี source จริงด้วย
ที่ไม่พูดถึงไม่ได้ กับฉากแอ็กชันที่ถือเป็นไฮไลท์ของหนังภาคนี้ คือฉากฉากประจัญบานในตอนท้าย The Last Battle อยากให้พูดถึงฉากนี้
แน่นอนครับ หนังแอ็กชันในสเกลแบบนี้เราต้องมีฉากฟีนาเล่ นักแสดงครบแต่ละคนกว่าจะแต่งตัวได้ กว่าจะเข้าคาแรกเตอร์ได้ ก็ต้องใช้เวลา มีระเบิด มียิง มีอะไรสารพัด ตอนแรกผมเองยังจินตนาการไม่ออกว่ามันจะออกมายังไง เพราะฉากอย่างนี้ต่อให้มีตัวละครเอกอยู่แค่ตัวเดียว มันก็ยากพออยู่แล้ว แต่นี่มันต้องมีรายล้อม ทุกคนมารวมตัวกัน มีความสำคัญเท่ากันหมดทุกคน มีเป็นสิบ แล้วยังต้องถ่ายออกมาให้สมกับที่เป็นฉากจบของเรื่อง มันค่อนข้างยาก ตอนที่ผมอ่านบท ผมจินตนาการไม่ออกจริงๆ ว่ามันจะทำยังไง แต่สุดท้ายเอาเป็นว่าเราทำได้ แต่ไม่ง่าย ใช้เวลาอยู่หลายวันสำหรับฉากนี้ แต่ก็ทำออกมาจนได้ครับ
ตลอด 10 ปีที่ได้มารับบทขุนพันธ์ ร่างกายมีร่องรอยอะไรเป็นที่ระลึกจากหนังเรื่องนี้บ้าง
เอาจริงๆ ก็เจ็บทุกภาคนะ มันไม่มีภาคไหนที่ไม่พัง ภาคนี้ก็ไม่แพ้กัน ทั้งหลัง ทั้งเข่า อย่างฉากที่วิ่งหนีพวกโจร เราต้องหลบเข้ากำแพงเฉยๆ แค่เนี้ย แต่วิ่งมาดันเหยียบก้อนหิน ขาพลิก มันก็เจ็บเอาเรื่องเหมือนกัน ปกติผมเป็นคนไม่กินยาแต่ตอนนั้นยอมอัดยา เม้งที่เล่นเป็นจ่ามหาก็เอาน้ำแข็งใส่ถังมาให้ผมแช่เท้า ตอนนั้นผมก็ไม่อยากบอกใคร เพราะเป็นวันก่อนถ่ายฉากฟีนาเล่ แต่เท้าก็แทบจะลงน้ำหนักไม่ได้เลย แล้วยังต้องมาถ่ายฉากที่สู้กับเสือดำอีก ซึ่งเป็นฉากที่หนักที่สุดในทุกอัน ก็ไม่รู้จะทำยังไงครับ เอาทุกอย่างที่พันขาได้มาพันจนขาชาไปเลย แล้วก็อาศัยอะดรีนาลีน เพราะมันเหลือสองวันสุดท้ายแล้ว มันต้องไปให้รอด แล้วเดี๋ยวค่อยไปนอนตายในอาทิตย์ถัดไป มันเป็นแบบนี้ทุกภาคจริงๆ คือมันต้อง push ต้องผ่านให้ได้ ขอให้ไปถึงเส้นชัยเท่านั้นพอ แล้วเดี๋ยวจะไปกายภาพร่างกาย ไปซ่อมแซมตัวเองยังไงต่อค่อยว่ากัน แต่ด้วยความที่ผมเคยผ่านมาสองภาคก่อนแล้ว เราก็จะมีวิธีการถนอมตัวเอง อย่างภาคแรกไม่ต้องพูดถึง เล่นเองทุกฉาก ภาคนี้ก็จะมีนิดนึง โอเค ถ้าเล่นไม่ได้จริงๆผมถอยก็ได้ ก็จะเซฟตัวเองนิดนึง แต่ก็แหลกอยู่ดีแหละ พอปิดกล้องก็นอนตายไปอยู่หลายวันเหมือนกัน
จนถึงวันนี้ที่หนังได้เดินทางเป็นเวลา 10 ปี กระทั่ง ขุนพันธ์ 3 ได้ปิดกล้องเป็นที่เรียบร้อย ส่วนตัวแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง
ผมอยู่กับเนื้อหานี้มาประมาณ 11 ปี จำได้ว่าผมเข้ามาทำภาคแรก ตอนนั้นผมอายุ 29 แล้วตอนนี้ผมอายุ 40 เหตุผลหนึ่งที่แต่ละภาคมันจะมีช่วงอยู่ประมาณสองสามปี มันไม่ใช่ว่าทำต่อเนื่องเลยไม่ได้ แต่เนื่องจากมันเป็นโปรเจกต์ที่ค่อนข้างยาก และใช้พลังงานค่อนข้างสูง พอจบแต่ละภาค ก็เหมือนกับว่าต้องไปรีเซ็ตตัวเองเพราะมันเหนื่อยจริงๆ ในขณะเดียวกันมันก็เป็นโปรเจกต์ที่เรารักมาก แต่ว่าพอเสร็จทีไร มันก็จะมีความรู้สึกแบบขอบคุณทุกคน แต่ผมขอหยุดก่อนนะ มันเป็นโปรเจกต์ที่ต้องใช้เวลาระหว่างทาง แบบว่าโอเคพอเราจะเข้าสู่ช่วงถ่าย มันเหนื่อยแน่นอน และพอถึงตอนเปิดกล้องอย่างภาค 3 ก็จะเป็นความรู้สึกทำใจ ก่อนเตรียมจิตใจ ร่างกาย ทุกอย่างให้มันแข็งแรง เพราะว่ามันไม่จบง่ายๆ แน่ มันไม่ใช่แค่การถ่ายทำที่มันยากนะ มันต้องจัดการความท้อกับความเหนื่อยด้วย เพราะว่ามันจบฉากแต่ละฉากได้ยากเหลือเกิน ถ่ายกันจริงๆ ต้องเสร็จกันตั้งแต่ 4 โมงเย็น แต่นี่ตี 4 แล้ว ทำไมยังไม่หยุดถ่ายกันเลย อย่างฉากใหญ่ที่เป็นชุมโจรที่กาญจนบุรี เขาก็เซ็ทไว้แบบ 4 วัน แต่เบ็ดเสร็จถ่ายกันไป 10 กว่าวัน มันเหนื่อย แต่ก็เป็นสิ่งที่เราคุ้นเคย เพราะมันมาถึงภาค 3 แล้ว และอันนี้ก็เป็นสิ่งที่เราเองก็เตือนกับนักแสดงคนอื่นๆ ด้วย เพราะเขาตื่นเต้นกันเหลือเกิน โดยเฉพาะพวกแก๊งผู้ชาย มันเป็นฝันของเด็กผู้ชายว่าได้มาเล่นหนังอย่างนี้ ได้ทำไอ้โน่นไอ้นี่ ผมเตือนพวกเขาตั้งแต่ต้นเลยว่า มันไม่จบง่ายๆ อย่างที่คิดนะ มันอาจจะเหนื่อยถึงขั้นท้อเลยนะ แต่ผมก็เห็นสปิริตของทุกคน ทุกคนพยายามที่จะผลักดันทำให้มันเสร็จให้ได้ แล้วก็เห็นความเหนื่อย เห็นความท้อ แต่มันไม่เคยยอมแพ้จนมาถึงปิดกล้องมันคือโล่งอก แบบโอ้โห มาถึงวันนี้ได้ไง จบจนได้ เหมือนกับการเอาน้ำหนักมหาศาลนั้นออกจากบ่าเรา แต่พอผ่านมาประมาณอาทิตย์หนึ่ง ความรู้สึกมันใจหายเหมือนกัน พวกโมเม้นต์เหล่านี้ที่เราได้อยู่กับโปรเจกต์นี้ มันค่อนข้างมีเอกลักษณ์มาก และเราก็เป็นนักแสดงที่โชคดีมากคนหนึ่งที่ได้มีโอกาสมารับบทนี้และได้อยู่กับมันเป็น 10 ปี ได้เป็นส่วนหนึ่งของแฟรนไชส์ไตรภาค เป็นตัวละครที่เป็นไอคอนนิคทั้งสำหรับตัวละครที่อยู่ในวงการบันเทิง ทั้งตัวละครที่อยู่ในตำนานของไทย พอมันมานึกถึงทั้งหมดนี้ มันก็ใจหายเหมือนกัน หรือว่านี่มันอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ ที่เรามีโอกาสได้ทำอะไรแบบนี้ แต่พอมันตกผลึกแล้ว คุณค่ามันเพิ่มขึ้น
ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา หนัง ขุนพันธ์ ได้ให้อะไรกับอนันดาบ้าง
ในฐานะนักแสดงคนหนึ่งที่รู้สึกว่าเราเป็นลูกศิษย์ของศาสตร์นี้ เราเป็นลูกศิษย์ที่มีครู และศรัทธากับศาสตร์นี้จริงๆ สิ่งที่ให้ค่ากับอาชีพของเราคือตัวละครของเรา ถ้ามันมีชีวิตจริงๆ มันก็เกิดคุณค่าขึ้นมา มันไม่ได้เป็นแค่ extension ของตัวผม แต่มันคือสิ่งที่มีเลือดเนื้อและชีวิตจริงๆ และถ้าเราสร้างตรงนั้นขึ้นมาได้ หรือเราเป็นส่วนหนึ่งของโลกนั้น มันก็ไปสร้างคุณค่าให้กับคนดูอีกทีหนึ่ง สำหรับตัวละครขุนพันธ์ ผมรู้สึกว่าเป็นตัวละครที่ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของดีเอ็นเอในตัวผมไปแล้ว มัน 10 ปีของชีวิตผมเลยนะ มันคือ 1 ใน 4 ของชีวิตผมที่ผมต้องอยู่กับตัวละคนี้ มันคือเวลาครึ่งหนึ่งที่ผมอยู่ในวงการ ที่ผมอยู่กับตัวละครตัวนี้ จะไม่ให้มันซึมเข้ามาในร่างของผมเลย ก็คงเป็นไปไม่ได้ ผมเชื่อว่านักแสดงทุกคนก็ต้องหาวิธีที่จะเข้าถึงตัวละคร แต่ของผมมันคือทุกอย่าง อย่างภาคแรกมันคือการติดหนวดและได้เห็นหน้าตัวเองแล้วแบบโอเค พอเห็นเป็นภาพแล้วมันนึกออก พอถึงตอนนี้มันเป็นความรู้สึกที่เราคุ้นเคยมาก เราเดินเข้าฉาก เราก็ไหว้ท่าน ขอขมา ทุกอย่างมันอยู่ตรงนั้นหมด มันกลับมาหมดทันที แล้วมันก็คงเป็นสิ่งที่จะอยู่กับเราตลอดไป
ทำไมทีมงานทุกคนที่มีส่วนร่วมกับหนังเรื่องนี้ถึงรู้สึกรักหนังเรื่องนี้
สำหรับผมแล้ว ถ้าในมุมของคนที่รักวงการหนัง รักการทำหนัง เขารู้กันอยู่แล้วว่าหนังอย่างนี้มันไม่ได้ทำง่ายๆ และไม่ใช่หนังที่จะได้ทำกันบ่อยๆ นานๆ ทีมันถึงจะเกิดขึ้นที กับการที่จะได้โชว์ทั้งเทคนิคต่างๆ เรียกว่าทุกแผนกได้โชว์ของกันหมด ไม่ว่าจะเป็นนักแสดง ไปจนถึงเสื้อผ้า หน้า ผม โปรดักชั่นดีไซน์ ซึ่งการที่เรามีชื่อของเราติดอยู่กับโปรเจกต์นี้ ผมเชื่อว่านี่คือสิ่งที่ทุกคนภูมิใจมาก รวมทั้งตัวผมเอง ผมภูมิใจในตัวละครนี้มาก เรารู้สึกว่าพอจบเฟสของเราไป คนอื่นก็อาจจะไปรับมือต่อได้ สมมติสิบปีผ่านไป เขาจะรื้อกลับมาทำอีกที ขุนพันธ์ก็ได้กลายเป็นตัวละครที่เป็นอมตะไปแล้วครับ
แล้วถ้ากับคนดูล่ะ ทำไมถึงรักหนังเรื่องนี้ และรอคอยการกลับมาของ ขุนพันธ์ 3
มันหลายปัจจัยด้วยกันครับ ส่วนหนึ่งก็ด้วยความที่มันเป็นประวัติศาสตร์ของคนไทยและอยู่ใกล้คนไทยมากกว่าชนชาติไหนก็ตาม แล้วมันเป็นของๆ เรา เรารู้สึกว่านี่เป็นตำนานของเรา และการที่เราได้มีซูเปอร์ฮีโร่ของเราเอง ผมรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ทุกคนค่อนข้างมองว่าเป็นสิ่งสำคัญสำหรับวงการหนังไทยว่าเราได้มีหนังอย่างนี้บ้าง ประเทศอื่นเขามี James Bond เขามี Mission: Impossible แต่อันนี้เป็นของเรา และมันก็เป็นอรรถรสแบบของคนไทยจริงๆ
อยากให้ทิ้งท้ายหนัง ขุนพันธ์ 3 ไปถึงคนดูในที่นี้
ก็อย่างที่เล่าไปทั้งหมดเลยครับ ดูเหมือนจะเยอะ แต่จริงๆ แล้วผมอยากจะบอกว่าแค่เสี้ยวเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้นวันที่ 1 มีนาคมนี้นะครับ เตรียมพบกับ ขุนพันธ์ 3 จะเดือดแค่ไหน ต้องเข้าไปดูในโรงภาพยนตร์กันครับ