กลายเป็นข่าวใหญ่โตเลยทีเดียวเมื่อ “ดร.สุขุม มีพันแสน" ศิลปินวาดภาพชื่อดัง เอากระดูกนิ้วของ “อาจารย์ถวัลย์ ดัชนี”ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์(จิตรกรรม) ซึ่งเสียชีวิตไปแล้วเมื่อปี 2557 มาโชว์ในรายการโหนกระแส ว่าห้อยติดตัวเสมอเป็นเหมือนเครื่องรางที่สร้างขวัญและกำลังใจเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานวาดภาพตามรอยอาจารย์ถวัลย์ศิลปินชื่อดัง จน “ดอยธิเบศร์ ดัชนี”ลูกชายอาจารย์ถวัลย์ออกมาโวยวายว่า เป็นการนำเอาชิ้นส่วนกระดูกของพ่อไปโดยไม่ได้รับอนุญาต จนกลายเป็นประเด็นร้อนแรง “หนุ่ม กรรชัย” ต้องออกมาขอโทษดอยธิเบศร์ ที่นำเอาอาจารย์สุวัฒน์มาออกรายการ ด้านดร.สุขุมก็ออกมาแถลงข่าวขอโทษดอยธิเบศร์ อาจารย์ถวัลย์และครอบครัว พร้อมกับส่งมอบชิ้นส่วนกระดูกนิ้วคืนให้กับดอยธิเบศร์
เรื่องนี้กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันสนั่นว่า ชิ้นส่วนของมนุษย์หรือบุคคลที่สำคัญสามารถนำมาใช้เป็นเครื่องรางของขลังได้จริงหรือไม่ และมีอิทธิฤทธิ์สามารถเสริมพลังให้ผู้ที่พกพาเครื่องรางดังกล่าวได้หรือไม่ เรื่องนี้ “จิลล์ จักรพงศ์ การสมพรต”อดีตนักร้องแจ๊คจิลล์ กูรูกุมารทอง เจ้าพ่อเครื่องรางของขลัง ได้กล่าวถึงความเชื่อนี้ว่า ความเชื่อนี้มีอยู่จริงเป็นพันปีแล้ว การนำเอาชิ้นส่วนขอมนุษย์มาบูชาเป็นเครื่องรางของขลังมีมาเนิ่นนานแล้ว กรณีกระดูกนิ้วนั้น เรียกกันว่า “ดัชนี ชี้เป็น ชี้ตาย” เป็นการทำพิธีทางไสยศาสตร์โดยอาจารย์จอมขมังเวทย์ในยุคโบราณ ที่ไปนำเอาชิ้นส่วนกระดูกนิ้วของผู้เสียชีวิตที่คุณลักษณะตรงตามตำรา โดยชิ้นส่วนนิ้วดังกล่าว จะนิยมนำมาใช้ในการ ชี้เป็นชี้ตาย สาปแช่ง แช่งให้จน แช่งให้ฉิบหาย หรือจะชี้ให้รวย ชี้ให้เจริญงอกงาม ให้เงินทองไหลมาเทมาฯลฯ
“การนำเอาส่วนใดส่วนหนึ่งของมนุษย์เอามาเป็นเครื่องรางเอามาเป็นพันปีแล้ว ในส่วนของนิ้วในสมัยก่อนก็นิยมนำมาใช้เป็นหนึ่งในเครื่องรางของขลังเช่นกัน เรียกกันว่า ดัชนี ชี้เป็นชี้ตาย ผมเองก็มีสะสมไว้เป็นได้รับตกทอดมาจากอาจารย์ขมังเวทย์ชื่อดังที่อยู่แถวบุรีรัมย์”
“ดัชนีชี้เป็นชี้ตาย ส่วนใหญ่จะนิยมใช้นิ้วชี้ โบราณเรียกว่า ชี้เป้นชี้ตาย เอามาชี้ด่า แช่ง ชี้ให้รวย ให้เจริญงอกงาม สมัยกี่อนก็จะเอาไปชี้ที่ไร่สวนให้ออกดอกออกผลได้เยอะ โดยใช้คาถาอาคมกำกับ ให้เงินทองไหลมาเทมา หยิบจับอะไรก็จะเป็นเงินจับทองดีไปหมด แต่ไม่ใช่จะไปเอานิ้วใครก็ได้นะครับ นิ้วที่สามารถเอามาทำเป็นเครื่องรางของขลังได้จะต้องตรงตามตำราคือ เป็นินิ้วของเศรษฐีทั้งผู้ชายผู้หญิงที่เสียชีวิตไปแล้ว”
“อาจารย์จอมขมังเวทย์จะต้องดูฤกษ์ดูยามในการที่จะไปทำพิธีตัดหรือว่าพลี ผู้ทำจะต้องอาคมแข็งแกร่ง ฤกษ์ยามที่ดีที่สุดคือต้องเป็นข้างขึ้นเท่านั้น ยิ่งเป็นวันโกนยิ่งดี เอามาใช้ได้ผลดีเพราะเป็นวันแรง เมื่อได้ฤกษ์ยามแล้วก็จะไปทำพิธีสะกดดวงวิญญาณพลีเอานิ้วมา การพลีสะกดมาใช้ผีเจ้าของก็จะยินยอมด้วยดี ส่งเสริมผู้ที่เอาไปใช้ด้วยดี”
เผยนิ้วของอาจารย์ถวัลย์ ไม่เข้าตามตำราที่จะนำมาทำเป็นเครื่องรางของขลัง เป็นอัฐิไม่มีพลังงาน
“ในส่วนของข่าวที่เกิดขึ้น กรณีของนิ้วอาจารย์ถวัลย์ ถ้าวิเคราะห์ด้านไสยศาสตร์ถือว่าไม่เข้าตำรา และได้ผ่านการเผามาแล้ว ไม่ได้ทำพิธีการพลีสะกดวิญญาณขอมาใช้งาน วิญญาณไม่มีแล้วเหลือแต่ธาตุอัฐิ ก็เป็นเหมือนเถ้ากระดูกหนึ่งเท่านั้น ไม่มีพลังงาน ใครที่เอาไปใช้จะไปวาดภาพได้เหมือนอาจารย์ก็เป็นไปไม่ได้”
สมัยก่อน ดัชนี ชี้เป็นชี้ตาย จะนิยมให้หมู่เศรษฐีคนมีเงินเท่านั้นถึงจะมีครอบครอง ก่อนใช้จะต้องมีการท่องคาถากำกับ และตั้งชี้นิ้วไปสิ่งที่ตนเองต้องการ
“ในสมัยก่อนผู้ที่จะใช้เครื่องรางดัชนี ชี้เป็นชี้ตายนี้ จะเป็นเศรษฐี เจ้าของกิจการ โรงสีข้าวต่างๆ ก็จะนำนิ้วตั้งชี้ออกไปหน้าร้าน เอาไปชี้ให้ผลผลิตการการเกษตรต่างๆ ชี้ให้ออกดอกออกผล บางคนก็เอาไปชี้ลูกหนี้ให้เอาเงินมาคืน ลูกหนี้ก็จะไปหาลู่ทางเอาเงินมาคืน ด้วยมนต์อำนาจ”
“โดยจะมีการคาถาท่องกำกับ เป็นการกำกับที่ไม่ยาว และอธิษฐานขอสิ่งที่อยากได้ทีละ 1 อย่าง ห้ามขอมั่วไปหมด เช่น ต้องการขอสิ่งนี้ครั้งนี้ก็เอานิ้วชี้ออกไปว่า ครั้งนี้ต้องได้แบบนี้ๆ นะ”
“ด้านสาปแช่งก็มี บ้างก็เอาไปแช่ง เอาไปด่าศัตรู ชี้ไปที่บุคคลนั้น อธิษฐาน แช่งไม่มีจะกินตามปาก เครื่องรางนี้มีฤทธิ์ทั้งคุณและโทษถึงได้เรียกว่าเป็นดัชนี้ชี้เป็นชี้ตาย”
“ของพวกนี้ต้องใช้วิชาอาคมกำกับ อาจารย์ที่เป็นคนจะต้องเก่งกล้า ต้องสามารถสะกดให้อยู่และนำมาใช้ได้ การบูชาคือเลี้ยงด้วยอาหารคาวหวาน ใบยาสูบยาเส้น บุหรี่ สมัยก่อนยิ่งเป็นกัญญาชายิ่งดี เหล้าขาว เหล้าโรง เหล้าโหลดอง มีฤทธิ์แรงยิ่งดี จะส่งเสริมกับผู้ที่ขอในสิ่งๆ นั้น”
“เมื่อชี้แล้วได้ผลสมดังใจแล้ว ก็จะมีการเซ่นไหว้ด้วยของดังกล่าว จะแตกต่างจากสมัยนี้ที่เมื่อได้พรสมดั่งใจแล้วจะไปทำบุญ แต่สำหรับเครื่องรางของขลังนั้นต้องเซ่นไหว้ ปัจจุบันดัชนี ชี้เป็นชี้ตายหายากมาก เพราะหมอครูอาจารย์ต่างๆ ที่ทำพิธีต่างก็ล้มหายตายจากไปหมดแล้ว ตอนนี้มีแต่อาจารย์ปลอม อาจารย์แท้ก็จะแสวงหาประโยชน์กันหมดแล้ว ไม่ได้ทำพิธีอย่างจริงจังถูกต้องเหมือนสมัยก่อน”