ใช้ชีวิตกับสามีชาวอเมริกัน "คริสโตเฟอร์ มาร์ควอร์ท" ที่เมืองพอร์ตแลนด์ รัฐออริกอน สหรัฐอเมริกา นานเกือบจะสิบปีแล้วสำหรับอดีตดาราคนดังบ้านเราอย่าง "อุ้ม สิริยากร (มาร์ควอท) พุกกะเวส" นับตั้งแต่ที่ทั้งสองจูงมือกันเข้าประตูวิวาห์เมื่อปีพ.ศ.2554
ภาพของการเป็นนักแสดงดังมากความสามารถ ภาพของการใช้ชีวิตที่อบอุ่นเรียบง่ายกับสามีและลูกๆ ในต่างแดนที่เจ้าตัวโพสต์ผ่านอินสตาแกรม อาจจะเป็นอะไรที่ชวนหลงใหลและน่าอิจฉาสำหรับใครหลายคน แต่กระนั้นในโลกของความเป็นจริงบางอย่างก็ใช่ว่าจะสวยงามตามจินตนาการเสมอไป
โดยล่าสุดทางด้านอดีตนักแสดงดังได้ให้สัมภาษณ์ผ่านเวบไซต์ The Cloudถึงชีวิตตัวเองและการเลี้ยงลูกสาวทั้งสองอย่าง ด.ญ.เมตตา มาร์ควอร์ท วัยย่าง 7 ขวบ และ ด.ญ.อนีคา โรส มาร์ควอร์ท วัยย่าง 4 ขวบ ซึ่งบางช่วงบางตอนนั้นมีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
ทั้งนี้ "อุ้ม สิริยากร" ในวัย 46 ปีบอกอย่างไม่มีปิดบังถึงความรู้สึกตั้งแต่มีลูกคนแรกว่าเป็นอะไรที่ไม่ได้สนุกเอาเสียเลย..."พูดจริงๆ เลยนะ ถามว่าสนุกไหม ไม่ได้สนุกขนาดนั้นนะ (หัวเราะ) อุ้มไม่มุสา ความรู้สึกของการมีลูกมีทั้งสุขใจ เหนื่อย ขำ เศร้า หนักอกหนักใจ มีความหวัง และชื่นใจ รู้สึกปนๆ กัน"
"แต่ไม่ใช่ โอ๊ย สนุกจังเลย (หัวเราะ) คือเราใช้สัญชาตญาณในการเลี้ยงลูกมากซะจนไม่ได้มานั่งคิดว่า การเป็นแม่คนให้อะไรกับเราบ้าง ดียังไง เหมือนเรายังอยู่ในภาวะอะไรสักอย่างที่ยังไม่พ้นไป ตอนนี้อุ้มเพิ่งเป็นแม่มาได้เจ็ดปี เอาไว้ตอนลูกเข้ามหาวิทยาลัยกันหมดแล้วเรามาคุยกันอีกทีดีไหม (หัวเราะ)"
ไม่นับถึงการมีลูกน้อยในวัยที่เริ่มเยอะ หากแต่ยังมีเรื่องปัญหาสุขภาพของลูกสาวคนเล็กที่หมอระบุว่าอาจจะมีปัญหาไปตลอดชีวิตเป็นโจทย์ให้เธอต้องรับมือ
"พอลูกออกมาอย่างแรกอุ้มดูว่าเป็นเพศอะไรก่อน (หัวเราะ) แล้วค่อยดูหน้า พอมองหน้าก็เห็นเลยว่า ม่วงไปทั้งหน้า มีแค่รอบตาซ้ายเท่านั้นที่เป็นผิวปกติ ถามใครก็ไม่มีใครรู้ เดากันว่าเป็นรอยช้ำเดี๋ยวก็หาย แต่พอหมอมาถึงรู้ว่าเป็นข้อบ่งชี้หนึ่งของ Sturge-Weber Syndrome"
"เป็นความผิดปกติของยีน มีโอกาสเกิดหนึ่งในห้าหมื่น และจะเป็นไปตลอดชีวิต ทีแรกเห็นแค่ปาน มีความหวังนิดหน่อยว่าไม่เป็นไรมั้ง แต่วันต่อมาก็เห็นต้อหินที่ตาขวา ภาวะของอนีคาคือ มียีนตัวหนึ่งทำงานผิดพลาดตั้งแต่ไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ เลยกระตุ้นให้เซลล์อื่นๆ ที่เกี่ยวกับการพัฒนาเส้นเลือดฝอยผิดปกติ"
"กลายเป็นปานที่หน้า และเส้นเลือดฝอยที่ตาขยายตัวผิดปกติทำให้มีน้ำในตาเยอะมาก ระบายไม่ทันก็เลยกลายเป็นต้อหิน อีกเรื่องคืออาจจะส่งผลกับพื้นผิวสมองด้วย"
"พออายุสิบวันก็ผ่าตัดครั้งแรก รักษาต้อหินในเด็กแรกเกิดนี่ยากที่สุด เพราะรักษาไปมันก็จะกลับมาใหม่ ร่างกายมนุษย์พยายามซ่อมแซมตัวเองตลอดเวลา ต้องรักษาไปเรื่อยๆ เป็นการต่อสู้ที่หนักมาก เพราะต้องเปิดตาเด็กไว้แล้วรักษา เด็กไม่ยอมให้ทำอยู่แล้ว ต้องวางยาสลบ แรกๆ ไปเดือนละสองหน"
"วิธีการรักษามีหลายแบบมาก ตอนนี้อนีคาโดนฝังวาล์วเล็กๆ ไว้ในตาเพื่อช่วยระบายน้ำและทำเลเซอร์ทำลายเส้นเลือดในตาบางส่วน แต่ว่าไม่จบเท่านี้ เพราะหมอบอกตั้งแต่แรกว่า เขาจะเป็นไปตลอดชีวิต"
น้ำตาไหลเห็นลูกเจ็บ..."การรักษาคือรักษาตามอาการ แรงดันขึ้นก็รักษา นั่นเป็นด่านหนึ่ง ทำเลเซอร์ที่หน้าก็อีกด่านหนึ่ง ทุกครั้งที่ทำก็ต้องวางยาสลบอีกเหมือนกัน ครั้งล่าสุดที่ทำนี่เป็นครั้งที่เจ็ด ปกติก่อนจะส่งเข้าห้องผ่าตัดต้องให้เขากินยาตัวนึงทำให้เขาเบลอๆ ก่อนวางยาสลบ จะได้จำรายละเอียดต่างๆ ไม่ได้"
"ทีนี้อุ้มไปได้ยินมาว่าถ้าเราเข้าไปในห้องผ่าตัดด้วยไม่ต้องกินยานี้ก็ได้ อุ้มก็เลยขอหมอว่าอยากลองดู แต่กลายเป็นว่าเข้าไปแล้วเราต้องเป็นคนกดตัวอนีคาไว้เพราะเขาดิ้นไม่หยุด แล้วให้หมอใส่หน้ากากดมยาสลบ จริงๆ คงเป็นแบบนี้ทุกครั้ง แต่อุ้มไม่เคยเห็น ครั้งนี้อุ้มเข้าไปด้วยถึงเห็น พอเสร็จออกมาหน้าห้อง อุ้มเข้าห้องน้ำปิดประตูร้องไห้อยู่นานมาก เพราะนี่คือครั้งที่ยี่สิบที่เขาโดนยาสลบ"
"ก่อนหน้านี้พยายามแยกความรู้สึกว่า เราจะอ่อนแอให้ลูกเห็นไม่ได้ ลูกจะได้สบายใจ แต่ครั้งนี้มันปฏิเสธไม่ได้อีกต่อไปว่านี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา ครั้งที่ยี่สิบแล้วนะ (เน้นเสียง) แต่ก่อนนี้ลูกยังเล็กก็ไม่รู้ว่าเขาจำอะไรได้บ้าง แต่เดี๋ยวนี้พูดเก่งแล้ว พอออกมาก็บอกว่า หนูไม่อยากไปหาหมอคนนี้แล้ว หนูกลัว แม่อยู่กับหนูตลอดเลยได้ไหม"
"ก่อนเข้าไปในห้องเขาก็ถามตลอดว่า เขาจะไม่ทำหนูเจ็บใช่ไหม แล้วอุ้มจะบอกได้ยังไงล่ะว่า ไม่หรอกลูก เพราะเขาจะทำ ออกมานี่หน้าเยิน เป็นจุดๆๆ สีม่วง เหม็นไหม้ ดูไม่ได้เลย"
ไม่อยากทำแต่ก็ต้องทำ..."มันไม่ง่ายนะ แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่น เพราะมีตัวอย่างจากที่เราเห็นมาว่าคนอายุสามสิบสี่สิบที่ไม่ได้เลเซอร์ อาจจะเพราะเมื่อก่อนนี้เลเซอร์ไม่ได้ก้าวหน้า หรือไม่ได้ทำ ตอนนี้จากปานแดงกลายเป็นสีดำหนาเป็นปื้น แล้วหน้าผิดรูปไปเลย มันเป็นสิ่งที่ไม่ทำไม่ได้"
"ส่วนเรื่องต้อหิน ถ้าไม่ผ่าตัดตาก็จะตาบอดแน่ๆอก็ต้องคอยไปให้หมอตาเช็กตลอด ไม่รู้ว่าต้องฝังวาล์วอีกอันหรือเปล่า แล้วก็อาจจะมีอาการแทรกซ้อนอื่นๆ ได้ เพราะเราทำอะไรกับลูกตาเยอะ บางคนในที่สุดก็ต้องผ่าตัดเอาลูกตาออกแล้วใส่ตาเทียม คือเรารู้สึกเหมือนหลังชนฝาตลอดเวลา"
"ตอนนี้ผ่อนคลายขึ้นประมาณหนึ่ง แต่ความกลัวลึกๆ ไม่หายไป แล้วก็มีความกังวลใหม่คือ อนีคาเริ่มเข้าโรงเรียน เขาจะเป็นยังไงในสังคมใหม่ แต่ดีที่อนีคาเป็นคนร่าเริง ตอนนี้ยังไม่เห็นความผิดปกติอะไรจากคนรอบตัว"
สำหรัวิธีการเลี้ยงลูกสาวทั้งสองนั้น อดีตดาราคนดังบอกว่าที่นี่พ่อแม่มีการเลี้ยงลูกที่หลากหลายมาก ซึ่งบางแนวความคิดก็ทำเอาเธอเองถึงกับเหวอไปเหมือนกัน..."มีตั้งแต่แบบ Free-range แบบเดียวกับที่เขาใช้เรียกไก่ ปล่อยลูกวิ่งเท้าเปล่าตามสวนสาธารณะ วิ่งมานี่คราบดินเกรอะกรัง แต่แม่เขามีฐานะมีการศึกษานะ"
"ไปจนถึงแบบ Helicopter ลูกจะทำอะไรพ่อแม่ต้องเข้าไปควบคุมทุกอย่าง พ่อแม่บางกลุ่มที่นี่ก็ต่อต้านการบ้าน ครูให้การบ้านมาพ่อแม่ไม่ให้ทำ บอกไม่สนับสนุน อุ้มเคยเจอแม่คนหนึ่งบอกว่าจะไม่บังคับให้ลูกพูดคำว่าขอโทษหรือขอบคุณ ต้องให้รู้สึกเองถึงพูด เหวอเนอะ (หัวเราะ)"
"โรงเรียนก็มีตั้งแต่สอนแบบวอลดอร์ฟ มอนเตสซอรี่ ไปจนถึงโรงเรียนประถมที่เหมือนโรงเรียนทหาร หลักสูตรจริงจัง เข้มงวด รูปแบบการเลี้ยงลูกที่นี่กว้างมาก บางทีแค่ไปสนามเด็กเล่นแถวบ้านก็จะเห็นหลายแบบเลย"
เมื่อถูกถามว่าแล้วเธอเองเลือกที่จะเป็นแม่แบบไหนเจ้าตัวก็ระบุว่า..."แบบอุ้มนี่แหละ (หัวเราะ) เพิ่งคุยกับเพื่อนเมื่อวันก่อนว่า เพิ่งรู้สึกตัวว่าเราเป็นเอเชียนอเมริกันเมื่อไม่นานนี้เอง เป็นฐานันดรหนึ่ง ไม่ใช่แค่เป็นคนต่างชาติที่เข้ามาอาศัย แต่เป็นอเมริกันแบบเอเชียน มีวัฒนธรรมของเราเองที่ติดตัวมาด้วย"
"ทำยังไงลูกจะไม่ใช้เท้าชี้สิ่งต่างๆ เพราะมันหยาบคาย ในขณะที่เพื่อนทั้งโรงเรียนชี้หมดเลย หรือการเล่นหัวพ่อแม่ซึ่งที่นี่ถือเป็นเรื่องปกติ แต่เราจะบอกยังไงว่า ไม่ได้ค่ะ นี่เป็นของสูงนะ ลูกก็จะงงๆ เราเลยต้องหาความพอดี เลือกเอาแต่สาระที่คิดว่าเป็นประโยชน์สำหรับการเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นสากลแบบที่เขากลับไปอยู่เมืองไทยก็ยังใช้ได้"
สอนภาษาไทยไหม?
"อุ้มพูดกับลูกด้วยภาษาไทยตลอดตั้งแต่เขาเกิด เขาเลยเข้าใจทุกอย่างแต่พูดตอบเป็นภาษาอังกฤษ คงเพราะคนรอบตัวเกือบทั้งหมดพูดโดยเฉพาะพ่อไม่ได้พูดภาษาไทย แต่คริสโตเฟอร์ไปเอเชียมาเยอะ แล้วก็เคารพความเป็นเอเชีย เขาก็เห็นด้วยเวลาอุ้มสอนเรื่องกิริยามารยาทต่างๆ"
ทั้งนี้ในบทสัมภาษณ์ยังมีประเด็นอื่นๆ อาทิ เรื่องที่เธอเลิกเล่นเฟซบุ๊กเพราะเสิร์ชเจอภาพลูกสาวขึ้นในอินเทอร์เน็ต เรื่องงานในวงการบันเทิงที่ยังสนใจอยู่ ฯลฯ สามารถเข้าไปอ่านต้นฉบับที่ The Cloud ได้เลย
(ขอบคุณภาพจากอินสตาแกรม oomsiriyakorn)