xs
xsm
sm
md
lg

“อั๋น ภูวนาท” ไม่มีปัญหากับทุกสถาบัน ถ้ามีความถูกต้อง ทุกม็อบต้องยกระดับไม่มีใครไปชุมนุมสวดมนต์นั่งสมาธิ

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“อั๋น ภูวนาท” อยากให้ฟังเสียงประชาชน ไม่มีปัญหากับทุกสถาบัน ถ้ามีความถูกต้อง และอยากให้สังคมไทยพูดได้ทุกเรื่อง ไม่ใช่ห้ามพูด ทุกม็อบในโลกนี้ต้องมีการยกระดับ ไม่มีม็อบไหนมาชุมนุมสวดมนต์นั่งสมาธิ ยินดีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคนที่เห็นต่าง

เป็นคนบันเทิงอีกคนที่ออกมาแสดงความคิดเห็นเรื่องสังคม การเมืองอย่างเปิดเผยมาตลอด สำหรับ “ดร.อั๋น ภูวนาท คุณผลิน”ซึ่งล่าสุดกับกรณีม็อบราษฎรที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ เจ้าตัวก็มีการโพสต์ผ่านอินสตาแกรมส่วนตัว ว่า แค่เปิดใจรับฟัง ปัญหาทุกอย่างก็จะไม่เกิด แล้วก็มีคอมเมนต์ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยตามมามากมาย ซึ่ง ดร.อั๋น ก็เผยว่า ไม่ได้ซีเรียส เพราะเป็นปกติอยู่แล้วเวลาที่โพสต์แบบนี้ แต่พอตนตอบโต้กลับไปกลายเป็นแอกเคานต์อวตารมาซะอย่างนั้น

“จริงๆ เรื่องนี้มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก ในการที่จะแสดงความคิดเห็นนะครับ ผมว่ามันมีกลุ่มคนที่มีความหลากหลายมากนะคนครับ กลุ่มคนที่พร้อมจะรับฟัง และกลุ่มคนที่ได้ปักหลักความคิด ความเชื่อไปแล้ว ซึ่งทุกคนผมคิดว่าเรามีเซตของข้อมูลและมีเซ็ตของความเชื่อ แต่ผมคิดว่าเราควรต้องเผื่อพื้นที่ว่าง ซึ่งควรจะเป็นพื้นที่ใหญ่ๆ เอาไว้ด้วยสำหรับการรับฟังซึ่งกันและกันแค่นั้นเอง ผมคิดว่าผมก็มีเซตความคิดของผม ผมก็มีเซ็ทข้อมูลของผม แต่ผมยังเผื่อพื้นที่เยอะมากเลยสำหรับการรับฟังกัน และผมว่าปัญหาเนี่ยผมรู้สึกว่า เราไม่ค่อยฟังกันเท่าไหร่ และผมคิดว่าเราน่าจะฟังกันบ้าง”

“การด่ากันหลายๆ ครั้งผมรู้สึกว่า มันเป็นการด่ากันโดยที่เราได้ยินคนนั้นมานิด คนนี้มาหน่อย เราก็ด่าว่าฝั่งโน้นเป็นแบบนั้น ฝั่งนี้เป็นแบบนี้ แต่จริงๆ เราไม่ฟังกัน คนที่มีข้อมูลส่วนนึงในแบบของคุณ คุณก็จะคิดว่าข้อมูลของคุณถูกต้องและเหนือกว่า และคนที่คิดไม่เหมือนคุณเป็นฝ่ายผิด ฉลาดน้อยกว่า หรือโง่กว่า ซึ่งผมเสียใจที่มันเป็นแบบนี้ สำหรับตัวผมเองผมรู้สึกว่าปัญหานี้แก้ได้ง่ายๆ ด้วยการแสดงเจตนาด้วยการแก้ไขที่ต้นตอเท่านั้นเอง และทุกคนควรต้องนึกถึงหน้าที่ของตัวเองก่อนนึกถึงสิทธิของตัวเอง”

“อย่างเช่นผมอยากจะเป็นอะไรสักอย่างนึงก็ได้ในสิทธิของผม แต่ผมต้องนึกก่อนว่า หน้าที่ของผมคืออะไร เช่น หน้าที่ของผมคือผมต้องเป็นลูกที่ดี ผมต้องเป็นพลเมืองที่ดี ผมต้องเป็นข้าราชการที่ดี ผมต้องทำหน้าที่ก่อน เมื่อหน้าที่เสร็จแล้วค่อยคิดว่าแล้วสิทธิของฉันคืออะไรบ้าง แล้วค่อยแสดงออกตามสิทธิ แต่เราต้องไม่บกพร่องหน้าที่ แต่ผมรู้สึกว่ามันมีคนเยอะมาก ผมไม่ได้พูดถึงแค่ประชาชนนะ ผมพูดถึงทุกระดับเลยที่เอาสิทธิมาอ้างก่อน โดยที่ตัวเองยังไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเอง ไม่ว่าจะในฐานะของตัวแทนประชาชน หรือในฐานะของผู้บริหารประเทศระดับต่างๆ ก็แค่นั้นเอง”

บอกแค่ทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด
“อยากให้ทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีในทุกๆ ระดับ และเมื่อมันเกิดปัญหาขึ้น ผมคิดว่าสิ่งแรกก่อนที่จะด่ากันหรือโทษกันควรย้อนถามตัวเองในทุกคน ทุกระดับว่าทำไมมันถึงเกิดขึ้น เพราะคุณบกพร่องในหน้าที่ของคุณ หรือคุณทำหน้าที่ของคุณได้ไม่ดี หรือมันไม่เหมาะสมตรงไหนก่อนที่จะด่ากันเพราะผมว่าทุกอย่างมันมีเหตุผลของมันว่า ทำไมคนถึงไม่พอใจผม ผมบกพร่องตรงไหน ก่อนที่เราจะด่าเขาว่า แกคิดว่าแกดีนักเหรอ หรือ แกมันโง่ ถูกจูงจมูก คำถามแรกควรถามก่อนว่า ฉันบกพร่องอะไรหรือเปล่าในสิ่งที่เขาว่าก่อนเลยนะ พูดมาสิฉันบกพร่องอะไรบ้าง แล้วพิจารณาเริ่มต้นที่ตัวเองก่อน”

“ผมพูดแบบนี้และผมก็จะทำแบบนี้ คือถ้ามีคนมาด่า ผมก็จะพิจารณาตัวผมเองก่อน ถ้ามีคนไม่ชอบผม ผมก็จะพิจารณาตัวผมเองก่อน ซึ่งหลังจากพิจารณาเสร็จเราก็จะพอรู้ว่ามันมีส่วนที่ฉันบกพร่องจริงๆ กับส่วนที่เธอเกินขอบเขตจริงๆ ส่วนที่เธอเกินขอบเขตนั้นไว้ว่ากันทีหลัง ว่ากันไปตามหลักเกณฑ์ หลักการต่างๆ แต่ส่วนที่เราบกพร่องจริงๆ ก็ปรับตัวเลย เราก็จะค่อยๆ แข็งแกร่งและลดจุดอ่อนตัวเองลง ผมแค่คิดว่าถ้าทุกฝ่ายเริ่มต้นกันด้วยแบบนี้ ปัญหาจะไม่เกิดขนาดนี้”

ไม่โกรธที่โดนคอมเม้นท์ติติง เพราะพูดคุยกันอย่างสุภาพ
“ในไอจีของผมที่มีสองฝ่ายตอนนี้ ก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่ผมคิดว่า ถ้าคนเขาไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ผมพูด เขาก็อาจจะไม่ได้มาด่าเราโดยตรงก็ได้ เขาอาจจะไปด่าที่อื่นก็ได้ แต่คนที่มาตำหนิติเตียนผมทุกคนเลยนะ สิ่งที่ผมชื่นชมคือมาอย่างสุภาพ เพราะผมเริ่มต้นอย่างสุภาพ และผมก็ตอบเขาอย่างสุภาพในมุมของผม ซึ่งผมเชื่อว่าในการที่เราเป็นแบบนี้มันจะไม่มีปัญหาอะไรเลย เพราะผมฟังเขาและผมก็แค่หวังว่าเขาจะฟังผม แต่เช่นกันนะคนที่ผมไปตอบน่ะเขาปิดแอคเคาท์ไปแล้ว อย่างนี้ผมไม่เข้าใจเจตนา ผมอยู่ในที่แจ้ง ถ้าคุณไม่เห็นด้วยก็คุยกันในที่แจ้ง ผมอุตส่าห์พิมพ์อย่างตั้งใจเลย พอกดส่งกลับไปปุ๊บผมก็เข้าไปดูว่าเขาเป็นใครเหรอ แต่ปรากฎว่าปิดยูสเซอร์ ผมเลยคิดว่าแบบนี้มันไม่ค่อยเก๋เท่าไหร่ 99% ของคนที่มาตอบโต้เป็นแบบนี้ เขาเรียกว่าอวตารมาตอบโต้ใช่ไหม ก็อาจจะเป็นอย่างนั้น“”

“ซึ่งผมก็ไม่ได้ว่าอะไร เขาก็เปิดโอกาสให้ผมได้อธิบาย ซึ่งผมพร้อมอธิบายอย่างปกติและพร้อมรับฟังด้วย โดยที่ไม่ได้มีอารมณ์เลยนะ แต่ผมไม่เห็นด้วยเลยกับตอนนี้ที่ดาราหลายคนถูกโจมตีที่ไม่ออกมาแสดงความคิดเห็น ผมไม่เห็นด้วยกับการที่เราต้องไปบังคับให้ใครก็ตามแสดงความคิดเห็น ทุกคนมีสิทธิเลือกที่จะเงียบ เขาก็ไม่ผิด เพราะมันไม่ได้แปลว่าคุณออกมาตะโกนเสียงดังแล้วคุณจะถูกต้องเสมอไปในทุกๆ เรื่องต่อให้คุณไม่เห็นด้วยกับกลุ่มที่ออกมาประท้วง คุณก็ต้องรู้ว่าคนประท้วงไม่ใช่คนที่ผิดทั้งหมด หรือถูกทั้งหมด ดีทั้งหมด หรือเลวทั้งหมด เช่นเดียวกันกับคนที่อยู่คนละฝั่งกับผู้ประท้วง คุณก็ต้องรู้ว่า ต่อให้เขาคิดเหมือนคุณ คนเหล่านั้นก็ไม่ใช่ว่าถูกต้องทั้งหมด มีเหตุมีผลทั้งหมด ไม่บกพร่องเลย หรือดีทั้งหมด ผมก็ไม่ได้มองว่าทุกอย่างถูกต้องทั้งหมดเหมือนกัน แต่ผมมองว่าคุณควรฟังเขาเท่านั้นเอง แต่คุณไม่ได้แสดงเจตนาว่าคุณฟัง”

บอกความรุนแรงไม่ได้เกิดมาจากฝั่งประชาชน แต่การยกระดับความรุนแรงมันต้องมีอยู่แล้ว
“ถามว่าจากที่ช่วงแรกๆ มีกันอยู่ในกลุ่มนักเรียน นักศึกษา มันจะลามมารุนแรงถึงขนาดนี้มั้ย ผมพูดไปก็ต้องมีคนไม่เห็นด้วย แต่ผมคิดว่าความรุนแรงไม่ได้มาจากฝั่งผู้ชุมนุมเท่าไหร่ในครั้งนี้ ก็จะมีคนพูดว่าเขาก็ไม่เห็นรุนแรงนี่ เขาก็แค่ฉีดน้ำ (ยิ้ม) แต่ผมก็ยังไม่เห็นว่าต้องฉีดน้ำเลย ในความคิดผมนะ ผมก็คิดว่าเขาก็สงบๆ ของเขาอยู่นะ คือทุกการชุมนุมและการประท้วงในโลกมันจะต้องเพิ่มระดับอยู่แล้ว มันไม่มีหรอกชุมนุมอย่างสงบ นัดรวมกันนั่งสมาธิแล้วเจริญสติภาวนา มันไม่มีสิ่งนั้นเกิดขึ้นหรอกครับ มันก็จะต้องชุมนุมกันเพื่อแสดงจุดยืนบางอย่าง และดูว่าท่าทีของอีกฝ่ายเป็นยังไง”

“นี่ผมคิดว่ามันเป็นมาตรฐานนะ ถ้าอีกฝ่ายนึงก็มองว่าเป็นเรื่องที่เป็นสาระ ใส่ใจ ซึ่งผมไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหนในโลก แต่ในที่สุดถึงจุดๆ นึงมันเป็นเรื่องปกติเมื่อเราพูดแล้วไม่มีคนฟัง ทั้งๆ ที่เรารู้สึกว่าเขาควรจะฟัง เราก็จะต้องเปลี่ยนวิธีการไปเรื่อยๆ ซึ่งวิธีการที่เป็นพื้นฐานที่สุดของการชุมนุมก็คือเพิ่มระดับความรุนแรง แต่มันอยู่ที่ว่าใครเป็นคนที่ทำให้เกิดความรุนแรงก่อน มันเป็นเรื่องแบบนี้ ฉะนั้นมันเป็นไปตามวิถี และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกในประเทศไทย ผมคิดว่าเราน่าจะรู้ข้อนี้ดี และผมคิดว่าหลายๆ ครั้ง หลายๆ ปัญหาในประเทศของเราในช่วงที่ผ่านมามันอาจจะเกิดขึ้นจากที่เรารู้สึกว่าความผิดถูกชั่วดีมันเลือนลาง”

“สำหรับผมถูกคือถูก ผิดคือผิด ชั่วคือชั่ว ดีคือดี อาจจะมีเทาๆ บ้าง แต่มันต้องขึ้นอยู่กับการกระทำ แต่สำหรับประเทศเรามันขึ้นอยู่กับผู้กระทำ ผมรู้สึกแบบนั้น เรื่องเดียวกันแต่ทำไมคนนั้นทำแล้วไม่ผิด แต่คนนี้ทำแล้วผิด มันเป็นปัญหาที่ทำให้เกิดปัญหาขึ้น และมันเป็นปัญหาที่ไม่เคยได้รับการแก้ไข แต่ได้รับแค่การกดทับไว้แค่นั้นเอง คนก็จะรู้สึกว่าคนนั้นไม่ผิดแล้วทำไมถูกกระทำ คนนี้ผิดแต่ทำไมไม่ถูกกระทำ มันไม่ใช่แค่เรื่องการเมืองนะ มันเกือบจะทุกๆ เรื่องเลย ซึ่งผมคิดว่านี่คือหัวใจสำคัญของการที่เราจะต้องปฎิรูปให้ได้ คือความถูกต้องที่ต้องมีความชัดเจนในประเทศนี้อย่างยุติธรรมเท่าเทียมกัน และเราน่าจะพูดคุยเรื่องนี้กันได้แบบปัญญาชน”

บอกทุกคนควรจะพูดได้ทุกเรื่องที่เป็นความจริง ไม่ควรที่จะต้องกลัว หรือห้ามพูด
“ทำไมเราจะต้องกลัวที่จะพูดเรื่องนี้ หรือเรื่องใดๆ ในประเทศนี้ เรื่องนี้ห้ามพูดๆ พูดแล้วเดี๋ยวถูกอุ้มไป ทำไมล่ะ บ้านเราเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนเหรอถึงพูดความจริงไม่ได้ ถ้ามันคือความจริงเราต้องพูดกันได้ หรือถ้ามันไม่ใช่ความจริงเราก็ต้องพูดกันได้ว่ามันไม่ใช่ความจริง แต่ไม่ใช่ห้ามพูด ผมว่าผิด มันต้องมีที่ให้พูด และถ้าไม่จริงคุณต้องอธิบาย ถ้าจริงคุณต้องยอมรับและฟัง แต่ไม่ใช่ไม่ให้พูด ทุกฝ่ายในทุกๆ เรื่องนะ ต่อให้สลับด้านกันผมก็จะยืนหยัดอยู่แบบนี้ ไม่ได้แปลว่าผมเข้าข้างม็อบนี้ แต่ถ้าม็อบนี้เปลี่ยนเป็นใครก็แล้วแต่ที่ยืนหยัดเพื่อเรื่องแบบนี้ ผมก็จะเข้าข้างสิ่งนี้”

“ผมไม่ได้มีปัญหากับสถาบันใดๆ เลยนะ ถ้าสถาบันใดๆ ก็ตามยืนหยัดเพื่อสิ่งที่ถูกต้อง ผมก็จะยืนหยัดเคียงข้างสิ่งนั้น คนนั้น สถาบันนั้นเหมือนเดิม ไม่ได้มีปัญหากับใครเลย แต่อยากให้ความถูกต้อง ความยุติธรรม ความเท่าเทียมกันมันเป็นเรื่องโปร่งใสที่คนในประเทศเราคุยกันได้ง่ายๆ ไม่ใช่เป็นเรื่องที่พูดไม่ได้ ผมว่ามันน่าจะเป็นอิสระในการพูดได้อยู่บนพื้นฐานของความจริงได้ แม้แต่ที่ผมพูดอยู่ตอนนี้ผมยังต้องระวังคำมากๆ เลยว่ามันจะไปแตะอะไรใคร”

บอกไม่อยากคาดการณ์ถึงเหตุการณ์ข้างหน้า แต่เชื่อประวัติศาสตร์ซ้ำรอยแน่
“ซึ่งผมว่าถ้าเราอยู่บนพื้นฐานของความสุภาพแล้วมันน่าจะคุยกันได้ และถ้าผิดก็ออกมาพูดว่า วันนั้นข้อมูลเราไม่ตรงนะ ข้อมูลไม่ตรงยังไงอธิบายมาก่อนจะด่ากันนะ เมื่ออธิบายแล้วเราก็จะได้รู้ แต่ไม่ใช่มาถึงปุ๊บก็อัดกันด้วยความเชื่อ ความอะไรที่คุณถูกฝังมาว่า มันต้องเป็นเช่นนั้นสิ ต้องเป็นเช่นนี้สิ ผมว่ามันเป็นเรื่องที่พูดยากแล้วโดยเฉพาะกับคนรุ่นใหม่ ผมว่ามันถึงเวลาที่เราต้องตอบคำถามคนรุ่นใหม่ให้ได้ ผมก็มีลูก ผมมีเจนใหม่ๆ ที่อยู่รอบตัวเยอะมาก โดยเฉพาะเราทำสื่อ เราจะมีโอกาสได้สัมผัสคนที่หลากหลายมาก หลายคำถามเราตอบเขาไม่ได้นะครับ”

“ถามว่าจุดสุดท้ายของเรื่องนี้มันจะไปยุติที่ตรงไหนหรือจะรุนแรงมากขึ้น คือถ้าพูดไปมันก็จะเป็นการคาดการณ์ ซึ่งผมไม่รู้ว่ามันจะยังไง ไม่อยากคาดการณ์และไม่กล้าคาดการณ์ แต่ถ้าเราศึกษาประวัติศาสตร์โลก ลองศึกษา ทุกที่ในโลกก็เหมือนกัน เหมือนที่มีคำว่าประวัติศาสตร์ซ้ำรอย มันก็คือประวัติศาสตร์ซ้ำรอย แต่มันไม่ต้องซ้ำรอยก็ได้ถ้าเราเรียนรู้จากประวัติศาสตร์ว่า เราจะอยู่กันยังไง อยู่ที่ว่าจะเรียนรู้หรือเปล่า”












กำลังโหลดความคิดเห็น