"ลีเดีย-แมทธิว" เขินได้รับรางวัลฮีโร่ช่วยคนไทยฝ่าวิกฤตโควิด ขอยกความดีให้ทีมแพทย์-พยาบาลผู้เสียสละ ไม่น้อยใจโดนด่าว่าเป็นคนแพร่เชื้อ เผยผ่านช่วงที่แย่ที่สุดของชีวิตมาแล้ว 1 เดือนแห่งความทรมาน อยู่รพ.ไม่สนุกร่ำไห้บอกไม่รู้จะเป็นหรือตาย ตอนนี้ผ่านมาได้และรักกันมากขึ้น มองทุกอย่างเปลี่ยนไป ไม่อยากให้คนไทยการ์ดตก
ได้กลับมาเจอสื่อและผู้คนอีกครั้ง สำหรับสองสามีภรรยาสุดสตรอง "ลีเดีย ศรัณย์รัชต์ ดีน" และ "แมทธิว ดีน" ที่วันนี้ได้มาร่วมรับ รางวัล Heroes of Humanity หรือ รางวัลฮีโร่ของมวลชน ที่สมามวยโลก (WBC) ได้มอบให้กับทั้งคู่ที่กล้าหาญเปิดเผยอาการติดเชื้อโควิด-19 ของตนเองให้สาธารณชนได้รับทราบ รวมถึง "นพ. วิชัย เตชะสาธิต" ที่ได้ทุ่มเทชีวิตในการรักษาผู้ป่วยทุกชาติศาสนาให้หายจากโรคโควิด-19 นี้เป็นจำนวนมาก ซึ่งทางแมทธิวก็เผยว่าออกจะเขินๆ ที่ได้รับรางวัลนี้ เพราะแค่ตนทำให้มีคนป่วยและคนเสียชีวิตน้อยลงได้ก็ดีใจมากแล้ว
"ก็รู้สึกเป็นเกียรติมากๆ ครับ ที่ได้รับรางวัลจาก WBC ซึ่งเป็นองค์กรระดับโลกครับ ผมเองก็มีโอกาสได้ร่วมงานกับ WBC มาหลายปีแล้วนะครับ และรู้สึกถึงการที่ WBC รักเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เห็นถึงโครงการทั่วโลกที่ดูแลสุขภาพของหลายๆ ท่านเลย ซึ่งวันนี้ก็ได้รับรางวัลที่ชื่อว่า Heroes of Humanity ครับ เราเองคงไม่ได้เป็นฮีโร่หรอกครับ มันเป็นแค่ชื่อรางวัล แต่รู้สึกมีความภาคภูมิใจเล็กน้อยกับสถานการณ์ที่เราต้องเจอในช่วงนั้น อาจจะทำให้คนไทยบางคนติดเชื้อโควิดน้อยลง เสียชีวิตน้อยลง ก็ต้องขอบคุณ WBC อีกครั้งครับ"
"ถูกยกให้เป็นฮีโร่ก็แปลกๆ นะครับ (หัวเราะ) เอาจริงๆ ก็เขินๆ แหละ อย่างที่บอกไปครับฮีโร่ตัวจริงคือทางการแพทย์ ทางคุณหมอ พยาบาลทั่วโลกเลย เขาเป็นคนที่เราเห็นอยู่ทุกวัน เราเห็นถึงการเสียสละของพวกเขาจริงๆ ครับ เขาไม่ได้กลับบ้าน นอนกินอยู่โรงพยาบาลเป็นเดือนๆ เลย เข้าก่อนเรา กลับหลังเรา 2-3 เดือน ผมว่าสุดยอดมนุษย์แล้วที่จะทำแบบนี้ได้เพื่อที่จะดูแลสุขภาพของคนไทยและคนทั่วโลก ก็เห็นใจและขอบคุณเขาอีกครั้งหนึ่งครับ เป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ น่าจะนับล้านแล้วแหละ แต่ยังไงเราก็อยากจะขอบคุณเขาเรื่อยๆ เพราะเรารู้สึกถึงความดีของพวกเขาจริงๆ ครับ เราได้เจออย่างใกล้ชิดมาจริงๆ"
เผยตอนนี้สุขภาพกลับมาเกือบ 100% กันทั้งคู่แล้ว
แมทธิว : "สุขภาพตอนนี้ก็โอเคนะครับ กำลังใจดีครับ"
ลีเดีย : "ตอนนี้ก็ดีขึ้นเยอะค่ะ คือช่วงแรกๆ ก็หนักที่สุดในชีวิตที่ต้องเจอ แต่ตอนนี้ก็รู้สึกว่าเราผ่านจุดที่ยากที่สุดมาแล้ว ตอนนี้มันทำให้เรามองโลกอีกแบบนึงเลย เรามองเห็นสิ่งที่สำคัญจริงๆ ในชีวิตเรา ช่วงเวลานี้เดียเชื่อว่าทุกคนก็ได้หันกลับมามีเวลาให้ครอบครัวมากขึ้น ตอนนี้ในเรื่องของสุขภาพก็น่าจะ 100% แล้วนะคะ เมื่อกี้เจอกับคุณหมอก็บอกว่าเดียหายแล้ว เดียอย่าวิตก เพราะเดียจะวิตกตลอดเวลาว่ามันจะกลับมาใหม่ไหม มันจะทำให้เราไม่สบายอีกรอบไหมม มันก็ยังมีความกังวลนะคะ เพราะที่ผ่านมามันเหมือนเป็นการสู้ไม่ใช่แค่ร่างกาย มันเป็นการสู้ทางจิตใจ แต่ตอนนี้ก็รู้สึกว่าผ่านมาได้แล้ว และทุกอย่างจะต้องดีขึ้นสำหรับเราและทุกคนจากนี้ค่ะ"
"วันนี้ก็เป็นครั้งแรกที่ได้ออกมาเจอคนเยอะๆ ก็ไม่ค่อยชินค่ะ (หัวเราะ) ถามว่ากังวลไหมที่ต้องออกมาแบบนี้ ก็บอกไม่ถูกนะคะ ก็กังวลเล็กๆ แต่มันก็มีความโชคดีในความโชคร้ายที่เราติดโควิด เพราะตอนนี้ที่เราหายแล้วเราก็รู้ว่าเรามีภูมิคุ้มกันแล้ว เพราะฉะนั้นเราคงไม่เป็นอะไรแล้วแหละ แต่การที่ทุกคนมารวมกันอย่างนี้เดียเป็นห่วงมากกว่า เพราะเราเองถึงเจอเชื้ออีกรอบนึงอย่างน้อยเรามีภูมิในร่างกายเราแล้ว ก็คงเป็นอะไรไม่มาก"
แมทธิว : "ก็อยากให้ทุกคนระวังจริงๆ ครับ เพราะเราไม่อยากให้ใครต้องมาเจอแบบเราครับ มันทรมานทั้งร่างกายทั้งจิตใจ ความเครียดมันเป็นสิ่งที่ทำให้เราเศร้าและกังวลมากที่สุดครับ เพราะฉะนั้นก็ยังต้องรักษาระยะห่างนะครับ ทำตามมาตรการของรัฐ ผู้เชี่ยวชาญ แพทย์ที่แนะนำ อย่าชะล่าใจครับ 1 เดือนในโรงพยาบาลมันไม่สนุกครับ มันไม่ได้สบายอย่างที่บางคนคิด มันมีหลายอย่างครับ ทั้งคิดถึงครอบครัว คิดถึงลูก คิดถึงคนที่อยู่รอบข้างเรา ก็อย่าเจอกับมันดีที่สุด เพราะฉะนั้นต้องช่วยกัน และต้องกัดฟันสู้กันอีกสักระยะนึง"
"โดนทุกวงการครับ วงการบันเทิง วงการมวย วงการท่องเที่ยว ร้านอาหาร คือรู้สึกหมดแน่นอน เศร้า และเราก็เห็นใจทุกคนจริงๆ เพราะรู้ว่ามีคนที่ลำบากกว่าเราเยอะเลย แต่ละวันก็ไม่รู้จะกินอะไร เข้าใจครับ แต่เพื่อที่จะมีประเทศไทยกลับมาเหมือนเดิม คงต้องสู้กับมันอีกสักนิดนึงครับ หาวิธีครับ ผมว่าในช่วงเวลาแบบนี้ เวลาเครียดมากๆ ลำบากมากๆ คนเรามักจะมีอะไรมหัศจรรย์ขึ้นมาในสมอง เราจะเก่งขึ้นมาทันทีครับ เพราะฉะนั้นลองดูอีกสักหน่อยครับ กว่าวัคซีนจะมาเราก็จะกลับมาทำงานลุยกันเหมือนเดิมครับ อย่างที่บอกว่าไม่อยากให้เจอแบบเรา"
บอกไม่น้อยใจที่ช่วงแรกโดนหาว่าเป็นคนแพร่เชื้อ และขอบคุณทุกกำลังใจที่ส่งให้
แมทธิว : "ถามว่าน้อยใจไหมที่คนบอกว่าเราเป็นคนแพร่กระจาย มันก็มีหลายมุมครับ แต่บอกตรงๆ ว่าช่วงแรกแทบไม่ได้ตามข่าวเลย ไม่มีเวลา ไม่มีความรู้สึกที่อยากจะคุยกับใครหรือว่าฟังใครหรืออ่านอะไรเลย เพราะว่ายังกังวลกับสุขภาพตัวเองในตอนนั้น ผมก็พูดอยู่ตลอดครับว่าถ้าเกิดในการที่เราติดโควิด-19ในครั้งนี้มันทำให้คนแม้แต่คนเดียวไม่ตาย หรือว่าไม่ติดเชื้อ ผมก็ดีใจแล้วแหละ ซึ่งมันอาจจะมีผลในการที่เราได้ประกาศกันไป เราก็มีความหวังดีแหละครับ"
"จริงๆ แล้วก็คือเป็นห่วงคนรอบข้าง ครอบครัว เป็นห่วงเพื่อนร่วมงาน เป็นห่วงทุกคนที่เราเจอตอนนั้นว่าไม่รู้จะเป็นยังไง จะหนักแค่ไหน เราเองเป็นคนที่สุขภาพค่อนข้างจะดี แข็งแรง ก็ยังไม่รู้เลยว่าเราจะทรุดเมื่อไหร่หรือว่าจะแย่ขนาดไหนในอนาคต เพราะฉะนั้นคนที่อายุมากกว่าเรา อ่อนแอมากกว่าเราก็เป็นคนที่เสี่ยงมากกว่าเราด้วยซ้ำ เราไม่อยากให้ใครมาเป็น เพราะฉะนั้นต้องขอบคุณกำลังใจมากกว่าครับ"
"กำลังใจจากทุกๆ ฝ่าย ทุกๆ คนที่ส่งมาให้เรา เพื่อนร่วมงาน คนที่ไม่เคยเจอกันเลยในชีวิต บางทีส่งแมสเสจกันมายาวมากเลย เป็นการขอบคุณที่อะไรก็แล้วแต่ ก็รู้สึกดีครับ รู้สึกซาบซึ้ง และกำลังใจตรงนี้แหละครับที่ทำให้เราสองคนผ่านตรงนี้ไปได้ อ่านอยู่แทบทุกข้อความจริงๆ ครับ บางทีไม่ได้ตอบนะครับเพราะว่าเยอะ แต่ว่าในไอจีหรือว่าในเฟซบุ๊กต่างๆ เราเห็นอยู่นะครับ ทุกข้อความ ทุกกำลังใจทำให้เรามีแรงขึ้นอีกนิดนึงทุกวัน มันจะเป็นสเต็ปไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายคุณหมอวิชัยก็รักษาเราจนเราสามารถกลับบ้านได้ ถือว่าเป็นวันที่ดีใจที่สุดในชีวิตเลย"
บอกตอนอยู่โรงพยาบาลมีความกังวลเยอะมาก เพราะไม่มีใครให้คำตอบอะไรได้เลย
ลีเดีย : "ถามว่าช่วงที่อยู่โรงพยาบาลร้องไห้บ่อยไหม คือเรียกว่าเป็นช่วงเวลาที่มีหลายอารมณ์มาก ตั้งแต่ความกลัว ความวิตก เราจะตายไหม ลูกจะเป็นอะไรไหม เราคิดถึงลูก คือบอกตรงๆ ว่าบางวันตื่นมาแล้วไม่อยากตื่น เพราะว่าตื่นมาแล้วอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมและเป็นผู้ป่วยโควิด เราก็รู้สึกว่านอนต่อไปอย่างน้อยฝันถึงว่าได้อยู่กับลูกได้ก็ดี"
"มันไม่ใช่แค่การสู้กับไวรัส มันเป็นการสู้กับจิตใจของตัวเองด้วยว่าเมื่อไหร่จะได้กลับบ้าน เมื่อไหร่จะได้เจอลูก มันลงมาในปอดแล้วมันจะลามอีกไหม คุณหมอจะรักษาเราแล้วหายไหม ยาที่เรากินไปทั้งหมดมันจะฆ่าไวรัสหรือเปล่า คือมันมีหลายสิ่งหลายอย่างมากที่เกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน และไม่มีใครตอบได้ว่าคุณจะหายไหม คุณจะตายไหม มันจะลามมากกว่านี้ไหม มันมีหลายอย่างที่เราไม่รู้ มันก็ทำให้เราทรมาน ในช่วงแรกๆ เดียก็พยายามเข้มแข็ง คิดว่าทุกอย่างจะต้องโอเคก็ไม่ร้องไห้ แต่พออยู่ไปนานๆ ก็รู้สึกว่าบางวันไม่ไหวแล้วก็จะมีร้องไห้ออกมาบ้างค่ะ"
เผยตรวจแล้วเจอแต่ผลบวกจนเริ่มท้อ พอผลเป็นลบก็เลยยังมีความกังวล
แมทธิว : "วันที่รู้ว่าผลเป็นลบ คือมันนานมากครับ ผมตรวจประมาณ 13 ครั้งครับ ตรวจอยู่เรื่อยๆ และก็บวกอยู่เรื่อยๆ เหมือนกัน ซึ่งก็กลับมาที่จุดเดิมว่าไม่มีใครรู้ว่าจะเป็นลบเมื่อไหร่ คุณหมอก็ไม่รู้ หมอก็ยังแปลกใจเลยบางทีว่าผ่านไปเกือบเดือนแล้วนะยังเป็นบวกอยู่ เขาเองก็ตกใจ เพราะฉะนั้นเราก็ทำใจไปก่อน"
ลีเดีย : "มันเหมือนลุ้นทุกครั้งที่ตรวจ แล้วก็กลับมาเป็นบวกทุกครั้ง ผ่านไป 20 กว่าวันก็ยังบวก ก็คิดว่าเมื่อไหร่มันจะลบสักที พอผลมันออกมาลบก็เลยคิดว่ามันลบจริงเหรอ เพราะมันบวกมาตลอด"
แมทธิว : "แล้วมันจะต้องมีลบ 2 ครั้งติดกันด้วย เพราะฉะนั้นที่ผ่านมาเราเป็นลบแล้วก็กลับมาเป็นบวกอีก ก็เท่ากับว่าเริ่มต้นใหม่เลย พอกลับมาเป็นบวกอีกเราก็ได้แต่รออย่างเดียวเลยครับ เพราะเรากินยากันไปแล้วตั้งแต่ช่วงแรกๆ ครบ 10 วัน ก็ไม่มีอะไร"
ลีเดีย : "พอเห็นคนอื่นเขาได้ออกกลับบ้านกันไปก่อน เราก็มีใจเสียตลอดค่ะ (ยิ้ม) คือตลอดระยะเวลาที่รักษาตัวมามันก็มีเรื่องให้ดีใจ ใจเสีย เสียใจ ทุกอย่างมันขึ้นๆ ลงๆ ตลอด"
แมทธิว : "แต่เวลาเห็นคนอื่นกลับบ้านก็ดีใจกับเขานะ แต่ก็ทำใจเพราะทุกคนไม่เหมือนกัน คุณหมอเองก็ไม่มีคำตอบว่าทำไมคนนี้ดูเป็นหนักกว่าเราเยอะเลย ปอดสีขาวหมดเลย แต่แป๊บเดียวก็ลบแล้ว 20 วันลบแล้วกลับบ้านได้ ทั้งๆ ที่เราปอดก็ไม่ได้เป็นเท่าเขาเลย น้อยกว่าเยอะ แต่ก็ยังอยู่ต่อไป มันแล้วแต่คนครับ ทุกอย่างไม่เหมือนกัน พออยู่ไปสักพักนึงเราก็เริ่มเข้าใจและรับตรงนี้ไปว่าโรคโควิด-19 มันไม่มีอะไรที่แน่นอน"
บอกตอนนี้สภาพร่างกายโดยรวมทั้งคู่กลับมาหายดีเกือบ 100% เต็มแล้ว
แมทธิว : "ถามว่าในทางการแพทย์ผมกับเดียใครหนักกว่ากัน ก็ถ้าทางร่างกายของเดียหนักกว่าครับ ปอดเป็นหนักกว่าครับ คือตอนแรกผมเป็นไข้และอะไรอื่นๆ แต่พอไปเช็กแล้วลงปอดก็ยังน้อยกว่าของเดีย"
ลีเดีย : "ของพี่แมทจะลงแค่ข้างเดียว แต่ของเดียลงเป็นดวงๆ สองข้างและกระจายเป็นจุดเล็กๆ ตามปอด แต่คุณหมอก็บอกว่าเป็นเคสที่ไม่ได้หนักมาก คือการลงปอดและเป็นเบื้องต้นของอาการปอดบวม แต่มันยังไม่ได้ลามเป็นฝ้าๆ ขึ้นมา แต่มันจะเห็นเป็นดาวกระจายเป็นดวงๆ ทั้งสองข้าง"
แมทธิว"ตอนนี้พอเช็คปอดแล้วก็รู้สึกดีครับ พออยู่ไปสักพักนึงก็เริ่มมีการเอ็กซเรย์ปอดอยู่เรื่อยๆ คุณหมอก็บอกว่าเป็นสัญญาณที่ดีมีพัฒนาการในทางที่ดี ค่อยๆ หายไป ค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ จนกลับมาบ้านแล้วก็เริ่มออกกำลังกายได้ แรกๆ ก็เหนื่อยครับ เพราะหยุดไปนาน ก็ต้องใช้เวลาฟื้นฟู เพิ่มระยะวิ่ง เพิ่มสปีดอะไรต่างๆ จนตอนนี้ของผมคิดว่าน่าจะอยู่ที่ประมาณ 95% นะครับ ความฟิตจากแต่ก่อน"
ลีเดีย : "ของเดียก็เพิ่งจะเริ่มว่า 100% น่าจะเพิ่งอาทิตย์นี้ เพราะว่าตอนที่ออกจากโรงพยาบาลมาพี่แมทคือปอดเคลียร์หมดแล้ว แต่ของเดียยังเหลือดวงๆ อยู่ทั้งสองข้าง แต่น้อยลงกว่าช่วงแรกๆ แต่ตอนออกจากโรงพยาบาลก็ยังมีอาการนิดๆ หน่อยๆ ยังมีเจ็บในปอด มีไอ เวลาหายใจแล้วมันจะรู้สึกแน่นๆ หายใจไม่ทั่วปอด แต่คุณหมอก็บอกว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะมันต้องใช้เวลา มันคือการฟื้นฟูของร่างกายเรา ก็อาจจะต้องใช้เวลาระยะนึงกว่ามันจะหายกลับมาเป็น 100% ได้ ซึ่งตอนนี้เดียก็รู้สึกว่ากลับมาน่าจะ 100% แล้ว"
เผยเสียน้ำตาลูกผู้ชายเพราะวันครบรอบแต่งงาน แต่กลับต้องอยู่โรงพยาบาลและไม่ได้อยู่ด้วยกัน
แมทธิว : "ช่วงที่เข้าโรงพยาบาลเป็นช่วงที่ครบรอบแต่งงานด้วย คือมันก็เป็นความเศร้าไปในตัวว่าครบรอบแต่งงาน 5 ปี เราต้องอยู่กันคนละโรงพยาบาลตอนนั้น ที่ถามว่าผมร้องไห้บ่อยไหม ตอนอยู่โรงพยาบาลผมร้องไห้แค่ 2 ครั้ง คือมันเศร้าจริงๆ ปกติผมเป็นคนที่ร้องไห้ยาก แต่วันที่ครบรอบแต่งงานวันนั้นก็เป็นวันที่ผมร้องไห้ ดูรูป ดูวิดีโอเก่าๆ ของเรา แล้ววันนั้นเป็นวันที่เดียเพิ่งรู้ด้วยซ้ำว่าผลเป็นบวก และจะต้องเข้าโรงพยาบาลด้วย เพราะฉะนั้นวันนั้นก็เศร้ามาก"
"แต่ก็นึกถึงแต่สิ่งดีๆ ครับ พยายามคิดในแง่บวก ก็พูดคุยกับคนที่สนิทที่เป็นอาจารย์ เป็นหมอต่างๆ ก็ได้ให้กำลังใจและให้แง่บวกได้ดี เราออกจากโรงพยาบาลแล้วเราก็สามารถกลับมาอยู่ด้วยกันได้ กลับไปอยู่กับครอบครัว กอดลูกได้ ยังมีอนาคตอีกไกลที่เราจะได้สนุกด้วยกันครับ ก็ห่างกันแค่วันนึงในการครบรอบแต่งงาน แต่เราจะยังต้องฉลองด้วยกันอีกหลายปีแน่นอนครับ (ยิ้ม)"
ลีเดีย : "คือตอนนั้นมันเป็นวันแรกเลย ตอนนั้นมันไม่รู้อะไรเลยจริงๆ มันใหม่มาก และน่าจะเป็น 100 คนแรกในประเทศไทยที่ติดเชื้อ เลยไม่รู้ว่าพอติดเชื้อแล้วเราจะต้องทำยังไงต่อ เราต้องไปโรงพยาบาลไหม รักษายังไง มันใหม่มาก"
แมทธิว : "มันยังใหม่ครับ ยังไม่มีข้อมูลเท่าไหร่ตอนนั้น ฉะนั้นพอเราติดแล้วก็เข้าโรงพยาบาลก็พยายามที่จะถ่ายทอดข้อมูลให้กับประชาชนทุกคน เผื่อคนที่ติดหลังจากเราสามารถนำไปใช้ได้ และคนที่ไม่ได้ติดก็สามารถนำไปใช้เป็นประโยชน์ได้กับการระวังตัวและรักษามาตรการของรัฐได้อย่างเต็มที่"
บอกทำให้มุมมองชีวิตเปลี่ยนไปเลย สิ่งเล็กๆ ก็ทำให้มีความสุขได้
ลีเดีย : "มุมมองชีวิตของเดียมันเปลี่ยนไป มันก็ทำให้หาความสุขในสิ่งเล็กๆ ได้ มันไม่ต้องทำอะไรเยอะแยะมากมาย เหมือนตอนที่อยู่โรงพยาบาลแค่ทานข้าวได้ คือช่วงที่ยังกินยา 10 วันอาการข้างเคียงมันเยอะมาก ท้องเสียตลอดเวลา คลื่นไส้ วันๆ นึงกินขนมปังชิ้นเดียวก็อยู่แล้ว ไม่อยากกินด้วยซ้ำ เพราะว่ามันมีอาการเยอะ แต่พอผ่านจุดนั้นมาได้การที่ได้กินข้าวหมดจานก็รู้สึกว่ามันเป็นความสุขเล็กๆ ที่ไม่ต้องหาอะไรมากเลย เหมือนมันทำให้เรามองชีวิตสิ่งสำคัญต่างๆ เปลี่ยนไปค่ะ"
"แล้วยิ่งพอลูกไม่ติดนี่เป็นข่าวดีที่สุดในชีวิตเลย เพราะพอวันแรกที่รู้ว่าพี่แมทเป็นและเดียเป็น สิ่งที่กังวลที่สุดคือลูกสองคนเป็นไหม คุณพ่อคุณแม่เดียที่อยู่ด้วยกัน คือที่บ้านเดียอยู่กันประมาณ 9 คน แต่คือโชคดีมากที่คนอื่นไม่เป็นอะไรเลย โชคดีจริงๆ ก็พออยู่โรงพยาบาลได้เกือบเดือนก็ได้แต่เอาของลูกไปดม (หัวเราะ) เพราะตอนแรกที่เข้าไปก็คิดว่าสองอาทิตย์น่าจะกลับบ้านได้แล้ว 14 วันได้เจอลูก แป๊บเดียว แต่พออยู่ไป 14 วันแล้วยังกลับบ้านไม่ได้ และมันไม่มีคำตอบว่า 20 วันแล้ว 30 กว่าวันแล้วเมื่อไหร่จะได้กลับบ้าน"
แมทธิว : "มันต้อง 40-50 วันไหมกว่าจะได้กลับบ้าน ก็เริ่มคิดถึงลูกมากขึ้นเรื่อยๆ จนบางวันไม่อยากจะเฟสไทม์กับเขา เพราะปกติจะคุยกันทุกวัน แต่ว่าบางวันไม่อยากเห็นหน้าเขา เพราะทำให้เราคิดถึงมากขึ้น ทำให้เราเศร้า แต่ก็ต้องทำ เพราะเขาก็ได้รับกำลังใจที่ดีเวลาที่ได้เห็นหน้าเรา เขาแค่เห็นเราก็ดีใจแล้ว แต่เราเห็นเขาแล้วเศร้า (หัวเราะ) ฉะนั้นก็ขอเสื้อผ้าลูกๆ มาจากที่บ้าน เพื่อที่จะได้กลิ่นเด็กก็มีกำลังใจมากขึ้น"
ลีเดีย : "แต่ดีแลนต้องบอกว่าเป็นเด็ก 3 ขวบที่แกร่งมาก เพราะตลอดเวลาไม่มีร้องไห้เลย ไม่มีสักครั้งเดียวที่เฟสไทม์กับแม่ เดียนึกภาพออกเลยว่าถ้าลูกร้องไห้คิดถึงแม่ทางมือถือนี่เดียคงทำใจไม่ได้ แต่คุยทุกครั้งเขาก็ร่าเริงและทำตัวเป็นปกติ เขาไม่ทำให้เรารู้สึกกังวลหรือว่าเป็นห่วงเขามากขึ้น ก็ถือว่าเป็นเด็กที่สตรองมาก (หัวเราะ) เขาก็เข้าใจนะคะว่าพ่อแม่ไม่สบาย ต้องไปอยู่กับคุณหมอ อยู่โรงพยาบาล"
แมทธิว : "วินาทีที่ได้กลับมากอดลูกวันนั้นก็เซอร์ไพรส์ครับ เราก็ตั้งใจไม่อยากให้เขารู้ เผื่อเรามีอะไรที่มันต้องเปลี่ยนแผน ไม่ได้กลับบ้านอีก เขาจะผิดหวัง ก็เลยอยากให้เป็นเซอร์ไพรส์นั่นแหละ พอเขาเห็นรถจอดก็ตามภาพเลย (ยิ้ม) เราเองก็ดีใจสุดๆ ไปเลย (ยิ้ม)"
ลีเดีย : "เขาก็วิ่งเข้ามา คือเขาไม่เจอนานมาก ก็เข้ามากอดเราแล้วเขาก็นิ่งแล้วก็กอดอยู่อย่างนั้น"
แมทธิว : "ตอนแรกนึกว่าจะร้องไห้ นึกว่าจะพูดเยอะ แต่ว่ากอดปั๊บก็นิ่งเลย ไม่พูดอะไรเลย แต่ก็มีเสียงเหมือนจะร้องนิดนึง"
ลีเดีย : "มีเสียงนิดนึง แต่ก็กอดอยู่นานมาก ไม่พูดอะไร กอดแน่นๆ อย่างเดียว"
บอกตอนนี้ยิ่งรู้สึกรักกันมากขึ้น เพราะอยู่โรงพยาบาลต้องอยู่ด้วยกันตลอด 24 ชม.หนึ่งเดือนเต็ม
แมทธิว : "คือตอนนี้ผมกับเดียมองตาแล้วก็รู้กัน เหมือนเราผ่านอะไรที่หนักมาแล้ว เป็นสิ่งที่ผมเชื่อว่าทำให้เราแข็งแรงขึ้น แกร่งขึ้นอย่างแน่นอน การอยู่ด้วยกันตลอดเวลาประมาณ 30 วันในห้องเดียวกัน มันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียครับ (หัวเราะ) คือผมเชื่อว่ามันทำให้เราผูกพันกันมากขึ้น เพราะเราเจอกันทุกวัน ซึ่งไม่เคยใช้ชีวิตแบบนี้มาก่อนเลย เพราะต้องมีช่วงออกไปข้างนอก ออกไปทำงาน แต่ครั้งนี้มันทำให้เรารักกันมากขึ้นจริงๆ เชื่อว่าเราเข้าใจกันโดยที่ไม่ต้องพูดอะไรมาก"
ลีเดีย : "มันคือ 24 ชม.ที่ต้องอยู่ด้วยกันทุกวันจริงๆ ดูแลกันจริงๆ ในเรื่องของทั้งสุขภาพและจิตใจ ก็ต้องคอยให้กำลังใจกัน เพราะมันก็หนักเวลาอยู่ในนั้น ด้วยความวิตกกังวล คิดถึงลูก ทุกสิ่งอย่าง ถ้าอยู่คนเดียวเดียคิดว่าคงแย่กว่านี้เยอะ แต่การที่เราได้อยู่ด้วยกันเดียคิดว่าเราโชคดีที่ได้อยู่ข้างๆ กันมาตลอด ตอนที่อยู่ชีวิตมันก็ไม่ได้มีอะไรมากหรอก ไฮไลต์ประจำวันก็คือการได้เดินขึ้นลงตรงวอร์ดตรงนั้นแหละ เพราะมันอยู่แค่ในห้องสี่เหลี่ยมแล้วก็มองหน้ากัน (หัวเราะ)"
แมทธิว : "มันก็ทำให้เห็นว่าคนเราถึงอยู่แบบนี้ก็อยู่ได้นะ มันอาจจะไม่ต้องหวือหวา ไม่ต้องไปเดินซื้อของหรือไปเที่ยวตลอดเวลา แต่อยู่ด้วยกันสองคนในห้องก็มีความสุขได้ ก็ทำให้มีการเปลี่ยนความคิดหลายๆ อย่างเหมือนกัน"
เผยเพลงที่ร้องขอบคุณคุณหมอและพยาบาลเป็นแค่สิ่งเล็กๆ ที่อยากจะมอบให้เท่านั้น เพราะรู้ดีว่าแค่คำขอบคุณคงไม่พอ
แมทธิว : "เพลงที่ร้องขอบคุณคุณหมอก็คือความตั้งใจครับ คือพออยู่ไปนานๆ แล้วเราเห็นถึงการเสียสละและการตั้งใจทำงานของแพทย์และพยาบาล เขาทุ่มเทสุดๆ จริงๆ กว่าจะเข้ามาหาเราในห้องได้ในแต่ละครั้ง เขาใช้เวลาเกือบครึ่งชม.กับการแต่งตัว เพราะเขาจะต้องใส่อย่างที่ทุกคนเห็นเหมือนชุดอวกาศหัวจรดเท้าเลย เพื่อที่จะป้องกันตัวเองและครอบครัวเขา เขาก็ต้องแต่งแบบนี้ ออกจากห้องปั๊บเขาก็ต้องถอดใหม่ ก็ต้องใส่ๆ ถอดๆ อยู่อย่างนี้ แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว เราก็เห็นใจสุดๆ และเห็นถึงความพยายามของพวกเขาที่จะให้กำลังใจผู้ป่วยทุกๆ คนเลย ไม่ใช่แค่เรานะ เพราะเราก็เห็นเวลาที่เขาสัมผัสท่านอื่นๆ เขาทำให้คนป่วยมีจิตใจที่กลับมาดีได้ด้วยการพูด ด้วยการกระทำของเขา"
ลีเดีย : "เมื่อกี้ที่นั่งฟังคุณหมอวิชัยพูด ก็รู้สึกว่าเสียงๆ นี้เป็นเสียงที่ทำให้เราในวันที่กังวล กลัวมาก (เสียงสั่น) มีกำลังใจขึ้นมาเยอะมาก (ร้องไห้) ก็อยากขอบคุณคุณหมอมาก คือเป็นเสียงที่ในวันที่มันไม่มีอะไรแน่นอนเลย ไม่มีคำตอบว่าคุณจะอยู่ คุณจะรอด คุณจะเป็นอะไรไหม แต่เขาจะคอยให้กำลังใจเราตลอดว่าคุณจะโอเค ทุกอย่างมันจะดี ทุกอย่างมันดูโอเคอยู่ เราจะรักษาคุณอย่างดีที่สุด ก็เป็นเสียงที่คุ้นเคย"
แมทธิว : "เต็มที่จริงๆ ครับ เราก็อยากจะตอบแทนเขาครับ พูดขอบคุณผมว่ามันคงไม่เพียงพอหรอก ก็เลยอยากจะทำในสิ่งที่คิดว่าเดียเขาถนัดแหละ ตอนนั้นก็คิดว่าเราน่าจะมีสักเพลงนึงให้เขาจากใจเรา ก็ลงที่เพลงรักนี่แหละครับ ความหมายดี และที่คนชอบผมคิดว่ามันอาจจะเป็นความรู้สึกรวมๆ ของคนทั้งประเทศในตอนนั้นที่กังวล เครียดทุกคนอยู่แล้วแหละ แพทย์บางท่านก็ติดไปด้วย บางท่านก็เสียชีวิตด้วย บางท่านก็น่าสงสารมาก ผมว่ามันไม่ใช่เพลงจากแค่เราหรอกครับ มันเป็นเพลงจากประชาชนทุกท่านสู่บุคลากรทางการแพทย์ทุกคนจริงๆ ครับ"
ลีเดีย : "คือมันเหมือนเราอยู่กับเขามาจนเป็นเดือนกว่า เรารู้สึกว่าเขาเหมือนเป็นคนในครอบครัว เป็นคนที่ยึดมั่นจิตใจเราในวันที่มันย่ำแย่และไม่มีใครที่จะช่วยเราได้ แต่เขาเป็นคนที่ช่วยเราในทั้งสภาพร่างกายและจิตใจ ก็เลยรู้สึกว่าคำว่าขอบคุณคำเดียวตอนจะกลับบ้าน มันน้อยไป ถึงทำเพลงขอบคุณมาก็ยังรู้สึกว่ามันน้อยไป ก็ไม่รู้จะขอบคุณยังไงจริงๆ เราอยู่โรงพยาบาลก็มีเวลาที่อย่างน้อยก็ร้องเพลงๆ นี้ให้เขาได้ ก็รู้สึกว่าก็ยังได้ทำสิ่งเล็กๆ ที่จะมาขอบคุณและแทนใจเราค่ะ"
ฝากถึงคนไทยทุกคนอย่าเพิ่งการ์ดตก ยังต้องระวังตัวเองกันต่อไป แต่ขอให้อดทน และทุกอย่างจะผ่านไปได้
แมทธิว : "ก็ขอบพระคุณนะครับ (ยกมือไหว้) สำหรับคุณหมอและพยาบาลทุกคนนะครับ กับสิ่งดีๆ ที่มอบให้ประชาชนชาวไทยและคนทั่วโลกนะครับ ที่ดูแลอย่างเต็มที่สุดความสามารถของพวกท่าน ขอบคุณกำลังใจจากทางบ้านทุกคนจริงๆ พวกเราอ่านแทบจะทุกข้อความนะครับ ตอบบ้าง ไม่ตอบบ้างเพราะมันเยอะ แต่ทุกข้อความมีคุณค่าสำหรับพวกเรา เป็นกำลังใจที่ถ้าขาดไปเราสองคนก็ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงบ้างในตอนนี้ ก็ขอบคุณคนไทยที่มีความรับผิดชอบในสิ่งต่างๆ ที่ทางการแพทย์และทางรัฐแนะนำ มันยังไม่จบหรอกครับ และเราก็ไม่อยากให้ใครมาเจอแบบเรา เพราะฉะนั้นเว้นระยะห่างครับ ความสะอาดสำคัญ ใส่มาสก์กันต่อไปครับ นี่เป็นสิ่งที่่ง่ายที่สุดเลยครับ อย่าชะล่าใจ เพราะเป็นแล้วมันไม่สนุกครับ"
ลีเดีย : "ก็ล้างมือบ่อยๆ ค่ะ ใส่มาสก์ และการ์ดอย่าตก เราต้องระมัดระวังต่อไป และปรับชีวิตให้เข้ากับ new normal นะคะ ถ้ามีคลื่นลูกสองมาก็คงจะไม่หนักมาก หวังว่าประเทศไทยเราจะกำจัดโควิดไปได้โดยเร็วที่สุดค่ะ"
แมทธิว : "ทุกวงการโดนหมดครับ ก็ต้องกัดฟันสู้กันอีกสักพักนึง แต่ผมเชื่อว่าคนไทยเราเก่งและอึด เราทำได้แน่นอนครับ สู้ต่อไปครับ (ยิ้ม)"