xs
xsm
sm
md
lg

มีวันนี้เพราะฝีมือช่าง "แฮร์ริสัน ฟอร์ด" ช่างไม้ที่กลายเป็นซูเปอร์สตาร์

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เขาคือหนึ่งในนักแสดงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคปัจจุบัน ใครจะไปรู้ว่า "แฮร์ริสัน ฟอร์ด" เคยท้อแท้กับอาชีพนักแสดงจนถึงขั้นเคยเปลี่ยนเส้นทางชีวิตไปเป็นช่างไม้มาแล้ว ซึ่งก็เป็นอาชีพช่างนี่เอง ที่ทำให้เขาได้รับโอกาสดี ๆ ในชีวิต และเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ช่วยคว้าบทในหนังชุดระดับตำนาน Star Wars ในเวลาต่อมาด้วย

แฮร์ริสัน ฟอร์ด คือสัญลักษณ์ของหนัง "บล็อกบาสเตอร์" ฮอลลีวูดในตลอด 40 ปีที่ผ่านมา เขาคือดาราที่มีหนังทำเงินมากที่สุดคนหนึ่งของวงการ ถูกจดจำทั้งในชื่อ "ฮาน โซโล" และ "อินเดียนา โจนส์" รวมแล้วหนังทุกเรื่องทำเงินรวมกันเฉียดระดับ "หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ"

แต่เมื่อย้อนไปที่สุดเริ่มต้น เส้นทางการเป็นนักแสดงของ แฮร์ริสัน ฟอร์ด กลับเต็มไปด้วยความ "ขลุกขลัก" เขาเริ่มต้นงานสายนี้ค่อนข้างช้า, หางานไม่ค่อยได้จนมีปัญหาเรื่องเงิน และท้อถึงขั้นเกือบเลิกเป็นนักแสดงไปแล้ว เพื่อหันไปเป็นช่างไม้มาแล้ว


สนใจการแสดงเพราะอยากเอาชนะความ "อาย"

ในปี 1960 ฟอร์ด เริ่มเกี่ยวข้องกับงานสายสื่อ หลังได้ใช้เสียงเท่ ๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ในการจัดรายการวิทยุของโรงเรียนมัธยมที่ตัวเองเรียนอยู่ จนเมื่อเขาศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยในวิสคอนซิน ฟอร์ด ก็เริ่มสนใจศาสตร์ของการแสดง เมื่อเขาลงเรียนวิชาการละคร จากความตั้งใจที่จะเอาชนะความขี้อายของตัวเอง และเริ่มคิดจริง ๆ จัง ๆ ว่าตนเองอาจจะเอาดีกับงานในวงการบันเทิงได้ ถ้าไม่ใช่การเป็นนักแสดง ก็น่าจะเป็นการใช้เสียง

ในวัย 22 ปี ฟอร์ด เดินทางไปลอสแอนเจลิส เพื่อสมัครงานลงเสียงทางวิทยุ แต่สุดท้ายกลับได้เซ็นสัญญาเพื่อเป็นนักแสดงกับ Columbia Pictures ได้งานแสดงเป็นตัวประกอบที่ไม่มีบทพูด ได้เงินสัปดาห์ละ 150 เหรียญฯ

ช่วงแรก ๆ ชีวิตนักแสดงของเขากลับแทบไม่ก้าวหน้าเลย ฟอร์ด ได้รับแต่บทเล็ก ๆ บางครั้งไม่มีบทพูด และส่วนใหญ่ไม่ได้ขึ้นชื่อในเครดิตภาพยนตร์ด้วยซ้ำไป ผู้กำกับชื่อดัง ฌาค เดมี เคยเลือกให้ ฟอร์ด รับบทนำในโปรเจ็คฮอลลีวูดของตนเองเรื่อง Model Shop (1969) แต่ผู้บริหารของ Columbia Pictures ที่เป็นนายทุนกลับปฏิเสธเพราะคิดว่า "หมอนี่ดูไม่มีอนาคตเอาซะเลย"


อาชีพนักแสดงไม่รุ่ง มุ่งงานช่างไม้

ตอนนั้น ฟอร์ด แต่งงานแล้ว และมีลูก 2 คน ด้วยการรับงานแสดงอย่างเดียวไม่สามารถหาเลี้ยงครอบครัวได้ เขาจึงต้องหารายได้เสริม ฟอร์ด และเริ่มรับจ็อบเป็นช่างไม้ เพื่อหาเลี้ยงลูก และเมีย

ฟอร์ด ไม่ได้เรียนด้านช่างไม้มาโดยตรง เขาศึกษาจากการไปหาหนังสืออ่านที่ห้องสมุด เริ่มต้นจากการซ่อมบ้านตัวเองก่อน จนค่อย ๆ พัฒนาฝีมือถึงขั้นใช้ประกอบอาชีพได้

ว่ากันว่าตอนนั้น แฮร์ริสัน ฟอร์ด ได้งานซ่อมบ้าน, ต่อเฟอร์นิเจอร์ และงานช่างไม้ต่าง ๆ ในฮอลลีวูดอย่างต่อเนื่อง ลูกค้าของเขาก็คือพวกคอมโพสเซอร์ที่แต่งเพลงให้หนังดัง ๆ รวมถึง ผู้บริหารสตูดิโอในฮอลลีวูด และผู้กำกับดัง ๆ ซึ่งกลายเป็นว่างานช่างไม้นี่แหละที่ทำให้ ฟอร์ด ได้รับโอกาสในการเป็นนักแสดงอีกครั้ง

ครั้งหนึ่งผู้กำกับหนัง The Godfather อย่าง ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา ที่กำลังฮ็อตสุด ๆ ในช่วงนั้น กำลังมีแผนจะต่อเติมออฟฟิศ ก็เลยว่าจ้าง ฟอร์ด ให้มาช่วย จนทำให้ ฟอร์ด ได้รับบทเล็ก ๆ ในหนังของ คอปโปลา ใน The Conversation (1974) และ Apocalypse Now (1979)


หวนสู้เส้นทางนักแสดงเพราะฝีมือช่าง

เช่นเดียวกับผู้อำนวยการสร้างชื่อดัง เฟรเดอริก รูส ที่ตอนนั้นจ้างให้ ฟอร์ด มาช่วยทำประตูที่ออฟฟิศใน American Zoeotrope แต่กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ ฟอร์ด ได้รู้จักผู้กำกับหนุ่มมาแรง (ในขณะนั้น) อย่าง จอร์ ลูคัส และเป็นก้าวแรก ในการได้รับบท ฮาน โซโล ในเวลาต่อมา

"ช่วงนั้น แฮร์ริสัน ทำงานพวกช่างไม้ให้ผมหลาย ๆ ครั้งเลย" รูส เล่าถึงเรื่องนี้ "เขาร้อนเงิน ตอนนั้นมีลูกแล้วด้วย แต่ยังไม่ได้เป็นนักแสดงเต็มตัวเลย ซึ่งวันนั้นที่ ฟอร์ด มาทำงาน จอร์จ (ลูคัส) อยู่แถวนั้นพอดี เป็นเรื่องของโชคชะตาอย่างแท้จริง"

ส่วน ฟอร์ด ก็เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า "ตอนนั้นผมทำงานจนดึก จน จอร์จ ลูคัส กับ ริชาร์ด ไดรฟัส (นักแสดงดัง) มาอยู่ตรงนั้นพอดี ผมคุยกับทั้งคู่นิดหน่อย จนนั่นแหละ" สุดท้าย ฟอร์ด จึงได้รับงานแสดงในหนัง American Graffiti ของ ลูคัส แม้จะไม่ได้เป็นบทนำ แต่ก็เป็นบทที่คนจดจำได้ไม่น้อย

ตอนนั้น แฮร์ริสัน ฟอร์ด ยังไม่ได้โด่งดังขึ้นมาทันที แต่การสนิทสนมกับ จอร์จ ลูคัส ก็ทำให้เขาเริ่มมองเห็นโอกาสในฮอลลีวูดมากยิ่งขึ้น


จากคนต่อบท กลายเป็น "ฮาน โซโล"

จนในปี 1975 จอร์จ ลูคัส เริ่มเตรียมการถ่ายทำหนังที่ต่อมาได้เปลี่ยนฮอลลีวูดไปตลอดกาล ตอนนั้นไม่มีใครเชื่อเลยว่าหนังไซไฟแฟนตาซีที่ชื่อว่า Star Wars จะสามารถประสบความสำเร็จได้

ลูคัส ต้องทดสอบหน้ากล้องนักแสดงเป็นร้อยคน เพื่อหา "คนที่ใช้ที่สุด" สำหรับบทนำทั้ง 3 ตอนนั้นเขาจ้างเพื่อนเก่าอย่าง แฮร์ริสัน ฟอร์ด ให้มาช่วยอ่านบทสำหรับการแคสตัวบท "ลูค สกายวอร์คเกอร์" และ "เจ้าหญิงเลอา" ส่วนบท ฮาน โซโล นั้น ลูคัส มองดาราที่พอจะมีชื่อเสียงกว่านั้นเอาไว้ เขาหมายตา เคิร์ต รัสเซล, คริสโตเฟอร์ วอลเคน และ อัล ปาชิโน่ เอาไว้ นอกจากนั้น ทอม เซลเลค ก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกด้วย (หลายปีต่อมา เซลเลค ถูกวางตัวให้รับบทนำใน Indiana Jones แต่ก็พลาดไปอีก)

แฮร์ริสัน ฟอร์ด มาช่วยอ่านบทเพื่อเลือกนักแสดงเป็นร้อย ๆ คน โดยไม่ได้คิดว่าตัวเองจะได้ทำอะไรไปมากกว่านั้น เพราะคิดว่า ลูคัส ตัดสินใจว่าจะเลือกนักแสดงที่ไม่เคยร่วมงานด้วยมาก่อน และจะไม่ใช้คนที่เคยแสดงใน American Graffiti กับเขามาก่อนด้วย

"เรื่องมันมีอยู่ว่า ตอนนั้นเขามีตัวเลือกอยู่แล้ว 2 - 3 คน ผมไม่ได้คิดว่าตัวเองจะมีโอกาสอะไร จนอยู่ ๆ เขาก็ถามมาว่า "อยากเล่นรึเปล่า" ซึ่งผมก็ตอบไปว่า "เอาซิ ทำไมจะไม่เล่นล่ะ""


จากหมื่นเหรียญฯ ในภาคแรก กลายเป็น 30 ล้านเหรียญฯ ในภาค 7

ในวัย 35 ปี แฮร์ริสัน ฟอร์ด ได้รับนำนำเป็นครั้งแรก กลายเป็น 1 ใน 3 นักแสดงนำของ Star Wars ภาคแรกเมื่อ 43 ปีก่อน เขาได้ค่าตัวน้อยที่สุด รับเพียง 1,000 เหรียญต่อสัปดาห์ (รวมทำงานทั้งหมด 10 สัปดาห์ ) และไม่ได้รับส่วนแบ่งรายได้จากหนัง เทียบไม่ได้เลยกับ มาร์ค แฮมิล ที่ตอนนั้นมีชื่อเสียงอยู่บ้างแล้วจากงานในวงการทีวี จนได้ค่าตัวประมาณ 6 แสนเหรียญฯ กับส่วนแบ่งรายได้ 0.025% เท่า ๆ กับค่าตัวของ แคร์รี ฟิชเชอร์ ที่มีงานแสดงมาแล้วพอสมควร และยังเป็นลูกสาวของดาราดัง เด็บบี้ เรย์โนล ด้วย

Star Wars ภาคแรกอาจจะไม่ได้ทำเงินให้ แฮร์ริสัน ฟอร์ด อย่างมหาศาล (แต่ก็เป็นเงินไม่น้อย สำหรับนักแสดงที่ยังไม่ดังอย่างเขา) แต่นี่คือจุดเริ่มต้นความยิ่งใหญ่ของสุดยอดนักแสดงคนนี้ แม้หนังภาคแรกจะทำให้เขากลายเป็นดาราดัง และไม่ได้เซ็นสัญญาผูกพันสำหรับภาคต่อเอาไว้ แต่ ฟอร์ด ก็ยังยินดีที่จะรับเช็คเพียงแค่ แสนเหรียญฯ สำหรับ The Empire Strikes Back และ 5 แสนเหรียญฯ สำหรับ Return of the Jedi

ล่าสุด ฟอร์ด ได้รับค่าตัวประมาณ 30 ล้านเหรียญฯ จาก Star Wars: The Force Awakens และกำลังจะกลับไปแสดงเป็น อินเดียนา โจนส์ เป็นครั้งสุดท้ายในหนังภาค 5 .... และยังคงทำงานไม้เป็นงานอดิเรกเสมอ




กำลังโหลดความคิดเห็น