ไม่มีใครจะแมนไปกว่า “ป๋อ ณัฐวุฒิ” ไปอีกแล้วกับการโชว์ทฤษฎีสามี 2020 ให้โลกได้รู้ว่าการ “กลัวเมีย” ไม่ใช่เรื่องน่าอายอีกต่อไปแล้ว เพราะการกลัวเมียนอกจากจะเป็นคำโบราณที่เล่าขานกันปากต่อปากแล้ว แต่การกลัวเมีย ยอมแพ้เมียบ้างก็ถือว่าเป็นเรื่องดีเพราะยังทำให้ครอบครัวได้เดินต่อไป รวมไปถึงเข้าใจที่หลายคนคิดว่าครอบครัวดารามักเลิกกัน แต่ถ้าไม่อยากให้เลิกกัน ต้องเริ่มจากตัวเราต้องไม่ไปอยู่ในที่เสี่ยง ยก “เอ๋ พรทิพย์” เป็นเมียผู้เสียสละ
“ชีวิตครอบครัวตอนนี้ดีมาก แฮปปี้นะเพราะว่าปีนี้เป็นปีที่เอ๋กลับมามีความมั่นใจอีกครั้ง คือความมั่นใจของเรา มันคืออย่างนี้ตอนเรามีลูก เราอาจจะไม่สวยแล้วไงล่ะ เราอ้วน หุ่นผู้หญิงมีลูก มันก็จะเสียทรงไปหมด แล้วผู้หญิงความมั่นใจก็คือรูปลักษณ์นึกออกไหม คุณต้องอย่าลืมว่าเขาเลี้ยงลูก เขาต้องหยุดงานไปถึง 6 ปี และที่ผ่านมา 6 ปีเขาก็หยุดไปเลย อย่างตอนนี้น้องภูอายุ 6 ขวบ รวมมีลูกจริงๆ ก็เกือบ7 ปีด้วยซ้ำ"
"เพราะว่าตอนท้องด้วยก็ต้องหยุดงานไป นั่นหมายความว่าเขาไม่ได้ทำงานเลย พอไม่ได้ทำงาน สังคมเพื่อนก็ไม่ได้เจอ แล้วก็ต้องหยุดเลี้ยงลูก สองตัวเองก็รูปร่างที่เปลี่ยนไป ฮอร์โมนแคลเซียมเคมีต่างๆ เด็กก็เอาไปหมดอารมณ์ สภาวะอารมณ์มีเยอะเพราะเรื่องราวในบ้านเรา เราก็ไม่ได้เล่าให้ใครฟังไง แต่เราขอใช้ว่าความมั่นใจแล้วกันคือมันสูญเสียทุกอย่างไปหมดพอสมควร คือเราได้ลูกมาคนนึงที่น่ารักมาก เรามีครอบครัวที่มีความสุขก็จริง แต่ในนั้นก็มีความสูญเสียของคนที่เป็นแม่ ที่ต้องแลกอะไรหลายๆ อย่าง"
"แล้วงานในวงการที่ไม่ได้ทำเลย ขณะที่เพื่อนฝูงไปงานนู้นงานนี้ ออกงานแต่งตัวสวยๆ กันหมด แต่เอ๋ต้องนั่งอยู่บ้าน ซึ่งบางคนอาจจะคิด แต่บางคนก็อาจจะไม่คิด แต่เหมือนวันนี้ทุกอย่างกลับมาอยู่ในมือเขาแล้ว เขากลับมามีรูปร่างที่ดี มีหน้าตาที่สวยเหมือนเดิม เขาได้กลับมาทำหน้าที่พิธีกรและเขาก็มีเงินซึ่งเป็นเงินของเขาเอง เขาอยากจะซื้ออะไร ก็ซื้อได้ เขาไม่ต้องมานั่งเกรงใจพี่ป๋อ พอเขากลับมาทำงานงานต่างๆ ได้ รวมไปถึงมีสินค้าติดต่อมาให้เป็นพรีเซ็นเตอร์ ก็ยิ่งกลายเป็นความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น ซึ่งมันเป็นความสุขข้างในของแต่ละคน ที่ไม่เกี่ยวกับความเป็นแม่ ไม่เกี่ยวกับครอบครัว แต่เกี่ยวกับส่วนตัวของเขาที่มีความเป็นเอ๋ พรทิพย์มันกลับมา พอกลับมาเขาก็มั่นใจ มีความสุขครอบครัวมันก็มีความสุขไปด้วย เพราะข้างในเขามีความสุขไง ทุกอย่างมันก็มีความสุข”
“อย่างตอนแรกไม่เข้าใจ เพราะตอนแรกเราเข้าใจว่าเป็นแม่ต้องเสียสละ มันเป็นเรื่องปกติ ก็อยากมีลูกไม่ใช่เหรอ แล้วจะบ่นทำไม แต่สุดท้ายเราก็เรียนรู้จากการทะเลาะกันเนี่ยแหละ ทะเลาะกันไปเรื่อยๆ จนวันนึงมันไม่อยากรู้สึกทะเลาะกันแล้ว มันเหนื่อยจากการทะเลาะมาก จนผมรู้สึกว่าเราลองเข้าใจเขาหน่อยดีไหม ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องยากอะไร คำว่าเราเข้าใจเขาไหม ไม่สำคัญเท่ากับที่เราคิดได้ว่ายอมแพ้ไปเถอะ ไม่ต้องชนะหรอก สามีไม่จำเป็นต้องชนะภรรยาหรอก คือเราชนะเขาแล้วเราปีนอยู่บนยอดเขาคนเดียว เราไม่มีความสุขหรอก แม้เมียจะพ่ายแพ้อยู่ตีนเขา ซึ่งมันไม่มีประโยชน์อะไรที่เราจะขึ้นไปบนยอดเขาเพียงลำพัง”
เป็นสามีไม่จำเป็นต้องเป็นผู้นำเสมอไป รับ “ผู้ชายกลัวเมีย” ไม่ใช่เรื่องน่าอาย ยอมแพ้บ้างเพื่อให้ครอบครัวได้เดินต่อไป
“คือเข้าใจคนที่บอกว่าผู้ชายกลัวเมีย ผู้ชายยอมเมียมันไม่ใช่หรอก มันเป็นคำโบราณล้อกันเล่นๆ แต่จริงๆ แล้วมันคือการยอมแพ้เนี่ย ไม่ได้หมายความว่าการยอมแพ้ที่เราจะได้ทุกอย่างที่จะได้อยู่ด้วยกัน แต่ถ้าเราแข่งกัน เราชนะกันอยู่นั่นแหล่ะ เธอไม่ดีเขาก็มีเหตุผลของเขา เราก็มีเหตุผลของเรา มันไม่มีทางเข้าใจกันหรอก มันไม่เหมือนกัน"
"แล้วเราต้องมาเลี้ยงลูก 2 คนแล้วจะทะเลาะกันทำไมนักหนา ทำไมเราสงสารลูกเหรอ เธอไม่ต้องยอมหรอก เรายอมเอง พอเราเรียนรู้เรื่องนี้ เรื่องมันง่ายขึ้นเยอะเลย เรายอมเอง เราขอโทษ ไม่ทำล่ะ จนแบบเออ...มันแก้ไขได้ การพ่ายแพ้มันหมายความว่าเราไม่จำเป็นที่จะต้องชนะนี่หว่า ไม่จำเป็นต้องชนะก็ได้ เรื่องบางเรื่องวันนี้ไม่รู้จะกินอะไร ไม่รู้ดิตัวเองเลือก เรื่องแบบนี้คนจะทะเลาะกัน เรื่องแค่นี้พูดไปพูดมาแค่นี้มันก็ทะเลาะ บางครั้งก็ง่ายกลายเป็นว่าลูกสอนให้เราอดทน ลูกสอนให้เรายอมแพ้"
"เอ๋เขาก็รู้จักยอมแพ้มากขึ้น เมื่อก่อนเขาก็ไม่ยอมเหมือนกัน แต่สุดท้ายเขาก็เรียนรู้ที่จะเงียบ ถ้าเราร้อน เอ๋ต้องเย็น ถ้าเอ๋ร้อนเราก็จะเย็นและไม่ว่าอะไรก็ตาม แต่ให้มองหน้าลูกเอาไว้ว่าเราจะต้องทำอะไรหลายๆ อย่างให้เด็กสองคนนี้โตขึ้นมาอย่างมีความสุขให้ได้”
ยอมถูกเพื่อนด่า!! ดีกว่าเป็นปัญหาทะเลาะกันในครอบครัว
“อย่างคนอื่นจะมองว่าครอบครัวดารามักจะเลิกกัน คือคนจะเลิกกัน มันมีอยู่ไม่กี่เรื่อง คือหนึ่งนอกใจ สองทะเลาะกันจนไม่ไหว แล้วบวกกับความเป็นตัวเอง คือถ้าเรารู้ว่าปัญหามันมีแค่นี้ อย่างเรื่องนอกใจ เรายืนยันเลยว่าไม่มีแน่ คือเราพูดอยู่ว่า เราจะไม่ให้โอกาสตัวเอง พอตัดสินใจที่จะแต่งงานกันแล้ว คบหากันแล้ว มีลูกด้วยกันแล้ว คือต้องตัดเรื่องนี้ทิ้งไปเลย คือเลิกให้โอกาสตัวเอง เลิกไปร้องคาราโอเกะกับเพื่อน เลิกไปงานปาร์ตี้สังสรรค์ที่มันมีสุ่มเสี่ยง เลิกไปสถานที่บันเทิง"
"คือเลิกให้โอกาสตัวเองไปเลย เราก็จะอยู่บ้าน ซึ่งจริงๆ เราเป็นคนชอบอยู่บ้านอยู่แล้วไง เราเป็นคนไม่ชอบไปปาร์ตี้ ตอนที่เราตัวคนเดียวโสดๆ เราก็ไปปาร์ตี้ยับเลย อาจจะเป็นเพราะเราไปปาร์ตี้ยับ จนมันเบื่อแล้วมั้ง คือมันอิ่มตัว มันก็เหมือนเดิมเปล่า ไม่เห็นมันจะแตกต่างเลย เพลงมันก็เปลี่ยนไป แต่บรรยากาศมันก็เหมือนเดิม และสุดท้ายมันก็จบ แล้วสุดท้ายเราก็รู้ว่าเหนือสิ่งอื่นใด คือถ้ามีกิ๊ก มีผู้หญิงอื่นนั่น คือปัญหาของครอบครัวทันที”
“เราก็ต้องไม่ออกไปเสี่ยง ไม่ไปดูบอลข้างนอก หาอย่างอื่นทำ ทำสิ่งที่ชอบ แม้เราจะชอบดูฟุตบอล และมีคนมาชวนเราไปดูฟุตบอลตามผับ เราก็ไม่ไป เราก็ดูบอลอยู่บ้าน คือไม่ได้ฝืนนะ เพราะเราทำงานเยอะ เจอคนเยอะ เราออกนอกบ้านตลอด และการที่เราอยากอยู่บ้านพี่อยากอยู่บ้าน ไม่ชอบไปไหน แล้วเพื่อนด่าประจำ เราก็ต้องขอโทษเพื่อนผ่านไปเลยว่ามึงอย่าโกรธกูเลย บางทีมันขี้เกียจไป ขี้เกียจเจอคน อยากอยู่นิ่งๆ คือจริงๆ นะทำไมเวลาอยู่ข้างนอกเป็นคนตลก แต่ทำไมอยู่บ้าน เราเป็นคนไม่ค่อยพูด เอ๋ยังพูดเลยว่าเราก็ไม่พูดเลย"
"เพราะเวลาอยู่บ้าน เราจะเงียบๆ นั่งดูหนัง แต่การดูหนังก็คือการทำการบ้านของเหมือนกันนะ คือเราชอบดูหนัง เราชอบดูดาราคนนี้เล่น มันก็เป็นการทำการบ้านของเราด้วยอย่างหนึ่ง สองเราได้ทำสิ่งที่เราชอบด้วย แต่ไม่ให้โอกาสตัวเองในสิ่งอื่น แต่เรื่องการทะเลาะกันก็มีบ้าง เราก็เรียนรู้แล้วว่าการยอมแพ้มันเวิร์คนะ”
สุดแฮปปี้ยึดทฤษฎี “การยอมแพ้มันยิ้มกว้าง มากกว่าการที่เราเคยชนะมา”
“การยอมแพ้มันยิ้มกว้าง มากกว่าการที่เราเคยชนะมา ขออนุญาตใช้คำนี้นะ คือในวันหนึ่งถ้าเขียนใน ig ก็คือแสดงว่าเอามาจากนักข่าวแล้วกัน คือมันยิ้มกว้างมากกว่าจริงๆ คือบางครั้งการรักษาปราสาททองคำของเรา เราต้องเสียสละ เราเป็นผู้ชนะอย่างเดียวไม่ได้เพราะบางครั้งเราอยากชนะ แม้แต่กระทั่งภรรยาเราเอง เราจะเป็นคนที่ยืนอยู่บนยอดปราสาทเพียงคนเดียวอย่างโดดเดี่ยวและโคตรเหงา เราจะไม่มีเมียกับลูกยืนข้างๆ แล้วมันจะไปมีประโยชน์อะไร"
"เราจะมีเงินเยอะๆ ไปเพื่ออะไรเราจะมีบ้านหลังใหญ่ๆ ไปเพื่ออะไร ถ้าเกิดเราไม่มีเมียกับลูกนั่งเล่นอยู่ในสนามหญ้า ทะเลาะกับเมียยังนั่งเล่นกับลูกได้เลย งอนกันแป๊ปเดียว เราก็เล่นกับลูกคือเราไม่ได้ตัวคนเดียว เราพูดกับเอ๋เสมอว่าเอ๋จำไว้นะ คนเขาไม่เลิกกันตอนที่ลูกอยู่ในท้องหรือลูกตัวเล็กๆ หรอก มันจะเลิกกันตอนที่ลูก 3-4 ขวบกันทั้งนั้น เพราะมันจะกลับมาเป็นตัวเอง แล้วมันจะไม่ยอมกัน มันจะเริ่มเบื่อกับวิธีการอย่างนี้ แล้วมันเลิกเห่อกันแล้วโปรโมชั่นมันหมดแล้ว ก็โยนกันไปมาว่ามึงก็เลี้ยงสิลูก ซึ่งมันไม่ได้แล้ว คือมันต้องช่วยกันเอ๋ก็ต้องช่วยเรา”